อยู่ด้วยความเชื่อ3. ความเชื่อที่แท้จริง

3. ความเชื่อที่แท้จริง

วันหนึ่งมีนายร้อยคนหนึ่งมาทูลพระเยซูว่า “‘พระองค์เจ้าข้า คนรับใช้ของข้าพระองค์นอนป่วยเป็นอัมพาตอยู่ที่บ้านทนทุกข์ทรมานยิ่งนัก พระเยซูตรัสแก่นายร้อยนั้นว่า ‘เราจะไปรักษาเขา’ เขาทูลว่า ‘พระองค์เจ้าข้า ข้าพระองค์ไม่คู่ควรที่จะให้พระองค์เสด็จมาใต้ชายคาบ้านของข้าพระองค์ เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้น คนรับใช้ของข้าพระองค์ก็จะหายป่วย…เมื่อพระเยซูทรงได้ยินเช่นนั้นก็ทรงประหลาดพระทัยและตรัสกับบรรดาผู้ติดตามพระองค์ว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เราไม่เคยพบใครสักคนในอิสราเอลที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่เพียงนี้’” (มัทธิว 8:6–10 TNCV) {LBF 10.1}

สิ่งที่นายร้อยคนนั้นแสดงออก พระเยซูทรงเรียกว่าเป็นความเชื่อ เมื่อเราเข้าใจในเรื่องนี้ เราก็จะเข้าใจอย่างแน่ชัดว่าความเชื่อคืออะไร เพราะพระคริสต์ทรงเป็น “ผู้ริเริ่มความเชื่อ” (ฮีบรู 12:2 TKJV) และพระองค์ตรัสว่า สิ่งที่นายร้อยคนนั้นแสดงออกคือความเชื่อ และไม่ใช่ความเชื่อธรรมดา แต่เป็นความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ {LBF 10.2}

แล้วความเชื่อนั้นอยู่ที่ไหน นายร้อยผู้นี้ต้องการบางสิ่งที่ตนปรารถนาให้พระเยซูทรงกระทำ แต่เมื่อพระองค์ตรัสว่าจะเสด็จไปกับเขา นายร้อยได้ห้ามพระองค์ไว้และทูลว่า “เพียงแต่พระองค์ตรัสสั่งเท่านั้น” แล้วมันจะเป็นไปตามที่ทูลขอ {LBF 10.3}

นายร้อยผู้นี้วางใจในพระดำรัสให้เกิดผล เป็นการพึ่งพาพระวจนะนั้นเองเพื่อให้คนใช้ของเขาหายป่วย {LBF 10.4}

องค์พระเยซูเจ้าทรงเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นความเชื่อ {LBF 10.5}

นายร้อยคนนี้เป็นชาวโรมันซึ่งเป็นที่ชิงชังรังเกียจของคนอิสราเอล เพราะถือว่าเป็นคน ‘นอกศาสนา’ คนอิสราเอลเชื่อว่าคนเช่นนี้เป็นที่เกลียดชังของพระเจ้า เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางอิทธิพลของคนที่ไม่นับถือพระเจ้าและขาดโอกาสที่จะเข้าถึงพระวจนะ แต่เขาพบว่า เมื่อองค์พระคริสต์ตรัส พระดำรัสของพระองค์มีพลังให้บังเกิดผลตามที่ตรัสไว้ เขาจึงไว้วางใจให้พระดำรัสสำเร็จตามที่ตรัสนั้น {LBF 10.6}

ส่วนประชาชนอิสราเอลที่มีความสัมพันธ์กับพระวจนะของพระเจ้าอยู่ทุกวี่วัน และมีความภาคภูมิใจที่ได้ชื่อว่าตนเป็น ‘กลุ่มคนที่ยึดพระคัมภีร์เป็นบรรทัดฐาน’ ทั้งชอบอวดอ้างว่ารู้จักพระวจนะของพระเจ้าเป็นอย่างดี แต่พวกเขายังไม่เรียนรู้ว่าในพระวจนะนั้นมีฤทธิ์เดชที่จะสัมฤทธิ์ผลตามที่เขียนไว้ {LBF 11.1}

พวกเขาได้รับฟังพระวจนะที่กระจ่างชัดมาตลอดชั่วชีวิตว่า “เฉกเช่นฝนและหิมะโปรยลงมาจากฟ้าสวรรค์ และไม่กลับไปที่นั่นจนกว่าจะทำให้แผ่นดินโลกชุ่มฉ่ำ และทำให้พืชพันธุ์แตกหน่องอกงามเพื่อให้มันเกิดเมล็ดสำหรับผู้หว่าน และอาหารสำหรับผู้บริโภค ถ้อยคำที่ออกจากปากของเราก็เป็นเช่นนั้น มันจะไม่กลับคืนมายังเราโดยเปล่าประโยชน์ แต่จะสัมฤทธิ์ผลตามที่เราปรารถนา และสำเร็จตามเป้าหมายที่เราตั้งไว้” (อิสยาห์ 55:10–11 TNCV) {LBT 11.2}

มีหลักฐานอย่างชัดเจนในธรรมชาติมาโดยตลอดว่าแผ่นดินไม่อาจบังเกิดพืชผักเองได้ แต่เป็นความชุ่มชื่นจากฝนและหิมะที่ตกลงมารดแผ่นดินต่างหากที่ทำให้เกิดผลงอกงาม {LBT 11.3}

แล้วพระเจ้าตรัสว่า “ถ้อยคำที่ออกจากปากของเราก็เป็นเช่นนั้น” (อิสยาห์ 55:11 TNCV) ท่านทั้งหลายไม่ต่างกับแผ่นดินโลกที่บังเกิดผลเองไม่ได้ การที่พืชผักงอกงามได้ก็มาจากฝนและหิมะที่โปรยปรายลงมารดแผ่นดินให้ชุ่มฉ่ำ เช่นเดียวกัน พระวจนะของพระเจ้าจะบันดาลให้ท่านบังเกิดผลแห่งความชอบธรรมเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์ ตามที่เขียนไว้ว่า “คำของเรา…จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้” (อิสยาห์ 55:11 TH1971) {LBF 11.4}

คนอิสราเอลเคยอ่านข้อความนี้มาหลายต่อหลายครั้ง ปีแล้วปีเล่าที่พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าและปฏิญาณว่า ‘เราจะทำตามพระวจนะของพระเจ้า และเราจะทำให้สำเร็จตามที่พระองค์ทรงมุ่งหมายไว้’ {LBF 11.5}

เพื่อให้มั่นใจว่าได้ทำตามพระวจนะของพระเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วน คนอิสราเอลจึงแบ่งพระวจนะออกเป็นหมวดเป็นตอน และจำแนกออกเป็นข้อๆ เพื่อง่ายต่อการปฏิบัติ แล้วจึงกระทำตามแต่ละข้ออย่างระมัดระวังด้วยกำลังของตนเอง {LBF 11.6}

แน่นอน การทำเช่นนี้ก็ไม่ได้นำมาซึ่งสันติสุขหรือความชื่นชมยินดีแต่อย่างใด เหมือนยิ่งทำยิ่งหาความสำเร็จไม่เจอ และยิ่งห่างไกลจากมาตรฐานที่พระวจนะระบุไว้ คือห่างไกลมากจนคนอิสราเอลถึงกับร้องออกมาด้วยความสิ้นหวังว่า ‘ถ้าใครสักคนหนึ่งรักษาธรรมบัญญัติทั้งหมดได้เพียงวันเดียว และไม่ผิดสักข้อหนึ่ง หรือไม่ก็เพียงถือรักษาธรรมบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับวันสะบาโตอย่างถูกต้องเท่านั้น ความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ของชนชาติอิสราเอลจะหมดไป และพระเมสสิยาห์จะเสด็จมาในที่สุด’ แต่พวกเขายังสืบเท้าก้าวต่อไปเหมือนเดินบนลู่วิ่ง พยายามให้ถึงเป้าหมายด้วยกำลังของตนเองแต่ไปไม่ถึงสักที เพราะอาศัยแต่ความพยายามและกำลังของมนุษย์ ไม่ได้อาศัยความเชื่อ พวกเขาหวังให้ตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ได้พึ่งพาพระเจ้า ความพยายามเหล่านั้นไร้ประโยชน์เพราะกำลังของมนุษย์ไม่สามารถทำให้บังเกิดผลได้ เมื่อไม่ไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้าให้ออกฤทธิ์แล้ว ผลจึงไม่บังเกิด {LBF 11.7}

ท่ามกลางความแห้งแล้งทางจิตวิญญาณในหมู่คนอิสราเอล พระเยซูพอพระทัยเป็นอย่างมากเมื่อพบเจอชายคนหนึ่งที่ตระหนักว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นความจริง และรู้ว่าพระวจนะนั้นจะสัมฤทธิ์ผลตามที่พระเจ้าตรัสไว้ เป็นผู้ที่พึ่งพาพระวจนะเพียงอย่างเดียว นี่คือความเชื่อ ซึ่งความเชื่อเช่นนี้ได้เปิดทางให้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต ทำให้ชีวิตนั้นเกิดผลสำเร็จอันเป็นที่ชอบพระทัยของพระองค์ {LBF 12.1}

คำของเรา…จะสัมฤทธิ์ผลซึ่งเรามุ่งหมายไว้” ไม่ใช่ “ท่านจะสัมฤทธิ์ผล” แต่ “พระวจนะของพระเจ้าซึ่งทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13) ความเชื่อคือการพึ่งพาให้พระวจนะสัมฤทธิ์ผลในชีวิตของเราให้เป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้า การเรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระวจนะคือการพัฒนาความเชื่อ {LBF 12.2}