อยู่ด้วยความเชื่อ35. การอธิษฐาน

35. การอธิษฐาน

การอธิษฐานเป็นช่องทางที่จิตวิญญาณสื่อสารกับพระเจ้า และด้วยการอธิษฐานนี้เองความเชื่อของเราจึงขึ้นไปยังพระเจ้าและพระพรของพระองค์ลงมายังเรา คำอธิษฐานของธรรมิกชนลอยขึ้นไปยังพระเจ้าดุจดังเครื่องหอม (ดู สดุดี 141:2; วิวรณ์ 5:8; 8:3–4) การอธิษฐานเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงสภาพจิตวิญญาณของผู้อธิษฐาน ยากอบได้กล่าวถึง “การอธิษฐานด้วยความเชื่อ” และการอธิษฐานที่เต็มไปด้วยความสงสัยจนการอธิษฐานไร้ประโยชน์ นอกจากนั้นก็กล่าวถึง “คำวิงวอนของผู้ชอบธรรม” ที่ “มีพลังมากและเกิดผล” (ยากอบ 1:6–7; 5:15–16) การอธิษฐานของเราเป็นเครื่องวัดสภาพจิตวิญญาณที่แม่นยำ {LBF 109.1}

การอธิษฐานที่เกิดผลจะยึดพระวจนะของพระเจ้าไว้ด้วยความเชื่อ เพราะความเชื่อที่แท้จริงไม่เพียงแต่เชื่อว่ามีพระเจ้า แต่ยังเชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ “ขยันหมั่นเพียรแสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6 TKJV) การอธิษฐานด้วยความเชื่อไม่ใช่รูปแบบของพิธีกรรมหรือเป็นข้อปฏิบัติตามธรรมเนียม แต่ออกมาจากใจที่ตระหนักถึงความต้องการของตน ไม่ใช่ด้วยการสงสัยหรือการย่อท้อ แต่ด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสดับรับฟัง และจะทรงตอบเมื่อถึงเวลาอันควร {LBF 109.2}

การอธิษฐานที่เกิดผลต้องไม่ใช่การโต้แย้งกับพระเจ้า เพราะเราไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะโต้เถียงกับพระเจ้าได้ และก็ไม่ใช่การรายงานให้พระเจ้ารับรู้ในข้อมูลใหม่ หรือการชักชวนโน้มน้าวให้พระองค์ทรงทำในสิ่งที่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระองค์ การโต้เถียงหรือการหว่านล้อมของมนุษย์ไม่สามารถทำให้พระเจ้าผู้สัพพัญญูเปลี่ยนพระทัยได้ เราจะไม่ทูลขอพระเจ้าด้วยความเชื่อในลักษณะดังที่กล่าวมานี้ เราไม่ต้องการให้พระเจ้าทำตามวิธีการของเรา เพราะเราเชื่อพระวจนะของพระเจ้าที่ว่าความคิดและวิถีทางของพระองค์สูงกว่าของเราราวฟ้ากับดิน สิ่งที่เราอธิษฐานอยู่เสมอก็คือ ‘อย่าให้เป็นไปตามใจของข้าพระองค์ แต่ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์’ {LBF 109.3}

การอธิษฐานคืออะไร และเพราะเหตุใดเราจึงอธิษฐาน การอธิษฐานคือการแสดงออกถึงการน้อมรับในสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัยและทรงพร้อมที่จะกระทำเพื่อเรา เป็นการยินยอมให้พระองค์ทรงกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะแนะนำพระองค์ถึงความต้องการของเรา ด้วยว่าแม้ก่อนที่เราจะทูลขอ “พระบิดาของพวกท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการสิ่งทั้งปวงนี้” (มัทธิว 6:32) พระองค์ ทรงทราบความต้องการของเรามากกว่าที่เรารู้ความต้องการของตัวเอง “เพราะเราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร แต่พระวิญญาณทรงช่วยขอแทน ด้วยการคร่ำครวญซึ่งไม่อาจกล่าวเป็นถ้อยคำ” (โรม 8:26) {LBF 110.1}

พระเจ้าทรงรู้ความต้องการทุกอย่างของเรา และทรงพร้อมที่จะช่วยเหลือในแต่ละเรื่อง แต่พระองค์ทรงรอให้เราตื่นตัวและสำนึกก่อนว่าเราต้องการพระองค์ พระองค์ไม่สามารถอวยพรเราในด้านจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องถ้าเราไม่เห็นคุณค่าของพระพรเหล่านั้น เพราะถ้าทำเช่นนั้นจะเป็นการขัดต่อหลักการอันเต็มด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์ พระองค์ไม่สามารถช่วยเราโดยที่เราไม่ร่วมมือกับพระองค์ ซึ่งจิตใจของเราต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมก่อนที่จะรับพระพร เมื่ออยู่ในสภาพที่พร้อม เราจะเกิดความปรารถนาอย่างแรงกล้าซึ่งจะกล่าวออกมาเป็นคำอธิษฐาน และจะรู้สึกว่าเราต้องการความช่วยเหลือที่พระเจ้าเท่านั้นทรงช่วยได้ ทั้งจะร้องขึ้นจากใจว่า “กวางกระเสือกกระสนหาธารน้ำฉันใด ข้าแต่พระเจ้า จิตใจข้าพระองค์ก็กระเสือกกระสนหาพระองค์ฉันนั้น” (สดุดี 42:1) สิ่งที่ตามมาก็คือการเปิดช่องทางสื่อสารไว้ระหว่างพระเจ้ากับจิตวิญญาณของเรา พระพรที่พระองค์พร้อมที่จะประทานให้ทุกเมื่อจึงสามารถหลั่งไหลมาสู่เราได้ ประตูแห่งพระพรจะเปิดกว้างหรือแคบก็ขึ้นอยู่กับว่าความปรารถนาของเรามีความร้อนรนเพียงใด {LBF 110.2}

ขอให้เราตระหนักถึงความจริงอันยิ่งใหญ่นี้ให้ชัดเจนขึ้นว่า พระเจ้าทรงรู้เห็นทุกสิ่งที่เราต้องการ และทรงเตรียมพร้อมสำหรับความปรารถนาทุกอย่างของเรา พระองค์ทรงรู้ก่อนเราเสียอีกว่าเราต้องการอะไร งานของเราไม่ใช่การค้นหาแนวทางปฏิบัติเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ แต่คือการอยู่ในฐานะที่พระเจ้าสามารถอวยพรให้เป็นไปตามความปรารถนาของเราด้วยวิธีการของพระองค์ ให้เราเคลื่อนไหวตามแผนการของพระองค์ ไม่ใช่ให้พระองค์ทำตามแผนงานของเรา เพราะการกระทำเช่นนั้นจะเปล่าประโยชน์ {LBF 110.3}