บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 11. ทำไมจึงยอมให้ความบาปเกิดขึ้น

1. ทำไมจึงยอมให้ความบาปเกิดขึ้น

พระลักษณะของพระเจ้า

“พระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:16 THSV) ทั้งพระลักษณะและพระบัญญัติของพระองค์ก็เป็นความรัก เป็นอย่างนั้นเสมอมา และจะเป็นอย่างนั้นสืบไปเป็นนิตย์ “องค์ผู้สูงเด่น คือผู้อยู่ในนิรันดร์กาล” และทางแห่ง “การเสด็จของพระองค์ก็เป็นดังดั้งเดิม” นั้น ไม่ทรงเปลี่ยนแปลง ในพระองค์ “ไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง” (อิสยาห์ 57:15 TH1971; ฮาบากุก 3:6 TH1971; ยากอบ 1:17 TH1971) {PP 33.1}

ทุกสิ่งที่ปรากฏโดยอำนาจการทรงสร้าง ล้วนแต่แสดงถึงความรักที่ไม่มีสิ้นสุด อำนาจอธิปไตยของพระเจ้าอำนวยพระพรอันเต็มเปี่ยมให้ทุกชีวิตที่พระองค์ทรงสร้าง ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “พระองค์มีพระกรอันทรงฤทธิ์ พระหัตถ์ของพระองค์ก็แข็งแรง พระหัตถ์ขวาของพระองค์ก็สูง ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์ ความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริตเดินนำหน้าพระองค์ ชนชาติที่รู้จักโห่ร้องอย่างชื่นบานก็เป็นสุข ข้าแต่พระเจ้า คือผู้ที่เดินในสว่างแห่งพระพักตร์ของพระองค์ ผู้เต้นโลดอยู่ในพระนามของพระองค์วันยังค่ำ และได้รับการเชิดชูโดยความชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระสิริแห่งกำลังของเขาทั้งหลาย…เพราะโล่ของเราทั้งหลายเป็นของพระเจ้า พระราชาของเราเป็นขององค์บริสุทธิ์แห่งอิสราเอล” (สดุดี 89:13–18 TH1971) {PP 33.2}

ประวัติแห่งการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่ว ตั้งแต่เริ่มต้นในสวรรค์จนในที่สุดการกบฏถูกโค่นล้ม และความบาปถูกทำลายลบล้างอย่างสิ้นเชิง ล้วนแต่แสดงถึงความรักของพระเจ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลง {PP 33.3}

พระเจ้าผู้ทรงครอบครองจักรวาลมิได้ทรงประกอบการดีของพระองค์แต่เพียงลำพัง พระองค์ทรงมีผู้ร่วมงานที่สามารถเข้าใจพระประสงค์ของพระองค์อย่างลึกซึ้ง ทั้งสามารถร่วมยินดีกับพระองค์ในการประทานความสุขให้แก่ผู้ที่พระองค์ทรงสร้าง “ในปฐมกาลพระวาทะดำรงอยู่ และพระวาทะทรงสถิตอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงดำรงอยู่กับพระเจ้า” (ยอห์น 1:1–2 TH1971) พระคริสต์ทรงเป็นพระวาทะนั้น พระองค์คือพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า พระองคทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาผู้ทรงสภาพอมตะตามลักษณะ พระอุปนิสัยและพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถเข้าส่วนในแผนการและพระประสงค์ทั้งหมดของพระเจ้าได้ “ท่านจะเรียกนามของท่านว่า ‘ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระบิดานิรันดร์ องค์สันติราช’” (อิสยาห์ 9:6 TH1971) “ดั้งเดิมของท่านมาจากสมัยเก่า จากสมัยโบราณกาล” (มีคาห์ 5:2 TH1971) พระบุตรของพระเจ้ายังตรัสถึงพระองค์เองอีกว่า “พระเจ้าได้ประทานกำเนิดแก่เราแล้วเมื่อพระองค์ทรงเริ่มงานของพระองค์ คือเป็นสิ่งแรกในบรรดาพระราชกิจโบราณของพระองค์ เราถูกสถาปนาไว้ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว ตั้งแต่แรก ก่อนปฐมกาลของแผ่นดินโลก…เมื่อพระองค์ทรงปักผังรากฐานของพิภพ เราอยู่ข้างพระองค์แล้วเหมือนอย่างนายช่าง เราเป็นความปีติยินดีประจำวันของพระองค์ เปรมปรีดิ์อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์เสมอ” (สุภาษิต 8:22–30 TH1971) {PP 34.1}

พระบิดาทรงสร้างชาวสวรรค์ทั้งปวงโดยทางพระบุตร “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น…ไม่ว่าจะเป็นเทวบังลังก์หรือเป็นเทพอาณาจักรหรือเป็นเทพผู้ครองหรือศักดิเทพ สรรพสิ่งทั้งสิ้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์” (โคโลสี 1:16 TH1971) ทูตสวรรค์เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า เจิดจรัสด้วยรัศมีภาพที่ส่องสว่างอย่างไม่ขาดสายจากเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และเร่งปีกบินไปเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระองค์ แต่พระบุตรผู้ที่พระเจ้าทรงเจิมไว้ต่างหากที่ทรงเป็น “แสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์” (ฮีบรู 1:3 TH1971) พระบุตรทรงอยู่เหนือทูตสวรรค์ทั้งปวง “พระที่นั่งรุ่งเรืองซึ่งตั้งอยู่สูงตั้งแต่เดิมนั้น” (เยเรมีย์ 17:12 TH1971) เป็นที่ประทับของพระองค์ “พระคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นพระคทาเที่ยงธรรม” (ฮีบรู 1:8 THSV) “เกียรติและความสูงส่ง มีอยู่ต่อเบื้องพระพักต์พระองค์ กำลังและความงามอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์” (สดุดี 96:6 TH1971) “ความรักมั่นคง และความสัตย์สุจริตเดินนำหน้าพระองค์” (สดุดี 89:14 TH1971) {PP 34.2}

พระบัญญัติแห่งความรักเป็นรากฐานการปกครองของพระเจ้า ความสุขของบรรดาผู้มีปัญญาจึงขึ้นอยู่กับการดำรงชีวิตที่สอดคล้องกับหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ของพระบัญญัตินั้น พระเจ้าทรงประสงค์ให้ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างรับใช้พระองค์ด้วยความรัก คือรับใช้เพราะซาบซึ้งในพระอุปนิสัยของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงพอพระทัยที่จะบังคับให้ใครเชื่อฟัง จึงทรงมอบสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจให้แก่ทุกคน เพื่อให้เขารับใช้พระองค์ด้วยใจสมัคร {PP 34.3}

เหตุที่สวรรค์ปั่นป่วน

ตราบใดที่บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างเห็นความสำคัญของการจงรักภักดีด้วยความรัก เขาก็มีความสามัคคีปรองดองกันอย่างพร้อมเพรียงทั่วทั้งจักรวาลของพระองค์ เป็นความสุขของชาวสวรรค์ที่จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้สร้าง พวกเขายกย่องสรรเสริญและสะท้อนพระสิริของพระองค์ด้วยความเปรมปรีดิ์ ตราบใดที่พวกเขารักพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง ก็ไม่มีการเห็นแก่ตัว แต่มีความไว้วางใจและความรักซึ่งกันและกัน ทุกสิ่งประสานกันอย่างกลมกลืนประดุจเพลงอันไพเราะที่ไม่มีเสียงเพี้ยนหรือแปร่งแต่อย่างใด แต่สภาพอันแสนสุขนี้ได้เปลี่ยนไป เพราะมีผู้หนึ่งใช้สิทธิเสรีภาพที่พระองค์ประทานให้นั้นในทางที่ผิด ความบาปได้เริ่มขึ้นกับผู้ที่มีตำแหน่งรองจากพระคริสต์ เขาได้รับเกียรติสูงสุดจากพระเจ้า มีอำนาจและสง่าราศีมากที่สุดท่ามกลางบรรดาชาวสวรรค์ทั้งปวง แต่เดิมนั้นลูซีเฟอร์ คือ “โอรสแห่งรุ่งอรุณ” (อิสยาห์ 14:12 THSV) และเป็นเครูบ1ผู้พิทักษ์ตัวเอก ผู้บริสุทธิ์ไม่มีที่ติ เขายืนอยู่เฉพาะพระพักต์พระผู้ทรงสร้างผู้ยิ่งใหญ่ รัศมีภาพที่ไม่รู้เสื่อมสลายของพระเจ้าองค์นิรันดร์ได้ห่อหุ้มเขาไว้ “พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ‘เจ้าเป็นตราแห่งความสมบูรณ์แบบ เต็มด้วยสติปัญญา และมีความงามอย่างพร้อมสรรพ เจ้าอยู่ในเอเดนพระอุทยานของพระเจ้า เพชรพลอยทุกอย่างเป็นเสื้อของเจ้า…เราตั้งเจ้าให้อยู่กับเครูบผู้พิทักษ์ที่ได้เจิมตั้งไว้ เจ้าอยู่บนภูเขาบริสุทธิ์แห่งพระเจ้า และเจ้าเดินอยู่ท่ามกลางศิลาเพลิง เจ้าก็ปราศจากตำหนิในวิธีการทั้งหลายของเจ้า ตั้งแต่วันที่เจ้าได้ถูกสร้างขึ้นมาจนพบความบาปชั่วในตัวเจ้า’” (เอเสเคียล 28:12–15) {PP 35.1}

ลูซีเฟอร์ค่อยๆ ปล่อยตัวแสวงหาเกียรติใส่ตนเอง พระคัมภีร์กล่าวว่า “จิตใจของเจ้าผยองขึ้นเพราะความงามของเจ้า เจ้ากระทำให้สติปัญญาของเจ้าเสื่อมทรามลง เพราะเห็นแก่ความงามของเจ้า” (เอเสเคียล 28:17 TH1971) “เจ้ารำพึงในใจของเจ้าว่า ‘ข้าจะขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ เหนือดวงดาวทั้งหลายของพระเจ้า ข้าจะตั้งพระที่นั่งของข้า ณ ที่สูงนั้น…ข้าจะกระทำตัวของข้าเหมือนองค์ผู้สูงสุด’” (อิสยาห์ 14:13–14 TH1971) ทั้งๆ ที่รัศมีที่ลูซีเฟอร์มีทั้งหมดนั้นมาจากพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์ผู้มหิทธิฤทธิ์องค์นี้กลับถือว่าเป็นของตนเอง ถึงแม้ลูซีเฟอร์ได้รับเกียรติเหนือชาวสวรรค์ทั้งปวง เขาก็ยังไม่พอใจกับตำแหน่งของตน เขาจึงบังอาจแสวงหาการยกย่องเทิดทูนที่สมควรเป็นของพระผู้สร้างเท่านั้น แทนที่จะหาแนวทางสนับสนุนบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างให้รักและภักดีต่อพระเจ้าเป็นที่หนึ่ง เขากลับพยายามให้ได้มาซึ่งความจงรักภักดี และให้ชาวสวรรค์ปรนนิบัติตน เขาโลภเอาพระสิริที่พระบิดาผู้ทรงยิ่งใหญ่เหลือคณาได้ประทานให้พระบุตร หัวหน้าทูตสวรรค์องค์นี้ต้องการพลังฤทธิ์เดชานุภาพซึ่งเป็นสิทธิของพระคริสต์เท่านั้น {PP 35.2}

บัดนี้ความสามัคคีกลมเกลียวที่เคยมีอย่างสมบูรณ์ในสวรรค์ได้ขาดสะบั้นลง ทูตสวรรค์ที่เห็นว่าพระเจ้าสมควรได้รับเกียรติอันสูงสุดก็ถึงกับประหวั่นพรั่นพรึงเพราะเหตุที่ลูซีเฟอร์รับใช้ตนเองแทนพระผู้สร้าง ณ ที่ประชุมในสวรรค์ทูตสวรรค์ได้อ้อนวอนลูซีเฟอร์ และพระบุตรของพระเจ้าทรงสำแดงให้ลูซีเฟอร์เห็นถึงพระบารมี ความยิ่งใหญ่ และความยุติธรรมของพระผู้สร้างพร้อมกับชี้แจงถึงพระบัญญัติอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ พระเจ้าเองทรงเป็นผู้วางระเบียบในสวรรค์ และถ้าลูซีเฟอร์ละทิ้งกฎระเบียบเหล่านี้ก็เท่ากับเป็นการลบหลู่พระเกียรติพระเจ้า ซึ่งจะนำความพินาศมาสู่ตน ถึงแม้ว่าพระองค์ทรงตักเตือนด้วยความรักและมีพระทัยเมตตาอย่างไม่จำกัด ลูซีเฟอร์ก็ยังจะขัดขืนมากขึ้นอยู่นั่นเอง เขายอมให้ความอิจฉาที่มีต่อพระคริสต์มีชัยเหนือตน จึงมีความมุ่งมั่นมากยิ่งขึ้น {PP 35.3}

จอมเทพไทองค์นี้ตั้งหน้าขัดแย้งกับตำแหน่งสูงสุดของพระบุตรพระเจ้า ซึ่งเท่ากับเป็นการกล่าวหาพระปัญญาและความรักของพระผู้สร้าง เขากำลังจะเพ่งพลังสมองอันปราดเปรื่องเพื่อจุดประสงค์นี้ ซึ่งนอกจากพระคริสต์แล้วเขาเป็นผู้ที่เหนือกว่าบรรดาชาวสวรรค์ทั้งปวง แต่พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ผู้ที่พระองค์ทรงสร้างนั้นมีสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจ จึงไม่ทรงปล่อยให้ใครไร้ที่พึ่งจากกลอุบายอันแยบยลและข้อแก้ตัวอันชวนหลงใหลคล้อยตามของฝ่ายกบฏเลย ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้น ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจน้ำพระทัยอันแท้จริงของพระองค์อย่างชัดเจน เพราะพระปัญญาและพระบารมีของพระองค์เป็นแหล่งที่มาของความสุขทั้งมวล {PP 36.1}

ชาวสวรรค์ร่วมประชุม

พระมหากษัตริย์แห่งจักรวาลทรงเรียกบรรดาชาวสวรรค์มาเข้าเฝ้า เพื่อทรงชี้แจงให้ทราบถึงสถานภาพอันแท้จริงของพระบุตรและความสัมพันธ์ที่พระองค์ทรงมีต่อชีวิตทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง พระบุตรของพระเจ้าทรงครองบังลังก์ร่วมกับพระบิดาและมีรัศมีภาพจากผู้ทรงสภาพนิรันดร์ ผู้ทรงดำรงพระชนม์ด้วยพระองค์เองปกคลุมทั้งสองไว้ ทูตสวรรค์บริสุทธิ์ “เป็นอันมากนับเป็นโกฏิๆ เป็นแสนๆ” (วิวรณ์ 5:11) เหลือคณานับ ได้ล้อมพระที่นั่งอยู่สุดสายตา มีเทพเจ้าผู้สูงศักดิ์มารวมกันในฐานะพลเมืองและผู้รับใช้ เขาเหล่านั้นปลาบปลื้มปีติที่ได้เข้ามาอยู่ในแสงรัศมีที่ฉายมาจากพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าพระมหากษัตริย์ทรงประกาศต่อหน้าบรรดาชาวสวรรค์ที่ชุมนุมพร้อมเพรียงกันอยู่นั้นว่า มีเพียงพระคริสต์พระบุตรองค์เดียวของพระองค์เท่านั้นที่สามารถเข้าร่วมอยู่ในพระประสงค์ของพระองค์ได้อย่างสมบูรณ์ พระเจ้าทรงมอบหมายให้พระคริสต์รับผิดชอบแผนการของพระองค์ที่ทรงวางไว้ด้วยพระปรีชาสามารถ พระบุตรทรงกระทำตามน้ำพระทัยของพระบิดาในการทรงสร้างบรรดาชาวสวรรค์ จึงสมควรได้รับความเคารพและความจงรักภักดีเช่นเดียวกับพระบิดา และพระคริสต์ยังจะได้ใช้ฤทธานุภาพของพระเจ้าในการสร้างโลกกับบรรดาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในโลกอีกด้วย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพระองค์จะไม่ทรงแสวงหาเกียรติยศหรืออำนาจเพื่อพระองค์เองอันเป็นการขัดแย้งกับแผนการของพระเจ้า แต่พระคริสต์จะทรงเชิดชูพระเกียรติของพระบิดาและทำให้แผนการอันเต็มไปด้วยความดีและความรักของพระองค์สำเร็จ {PP 36.2}

เหล่าทูตสวรรค์รักและเคารพบูชาพระคริสต์โดยกราบลงแทบพระบาทของพระองค์ และยอมรับตำแหน่งสูงสุดของพระองค์ด้วยความยินดี ลูซีเฟอร์ก็กราบลงด้วย แต่แปลกตรงที่ในใจของเขามีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงระหว่างความจริง ความยุติธรรม และความจงรักภักดีกับความอิจฉาริษยา ดูเหมือนว่าอิทธิพลของทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์จะจูงใจลูซีเฟอร์ไปได้ระยะหนึ่ง ขณะที่นักร้องนับหมื่นๆ แสนๆ เปล่งเสียงเพลงไพเราะกังวานแซ่ซ้องสรรเสริญด้วยใจเบิกบาน ความคิดชั่วในใจของลูซีเฟอร์ดูเหมือนจะถูกยับยั้งไปชั่วขณะหนึ่ง เขารู้สึกซาบซ่านไปทั้งตัว หัวใจก็เต็มตื้นกับความรักที่เขาไม่อาจบรรยายได้ จิตวิญญาณของเขาร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้ไร้ความบาปในการนมัสการพระบิดาและพระบุตรด้วยความรักอย่างพร้อมเพรียง แต่ความหยิ่งยโสในเกียรติยศอันทรงศักดิ์ของตนได้เข้ามาแทนที่อีกครั้ง เขาปล่อยใจให้หมกมุ่นกับความริษยาที่มีต่อพระคริสต์และความรู้สึกอยากเป็นใหญ่ก็กลับคืนมา เขาไม่ตระหนักว่าเกียรติยศอันสูงส่งที่เขาได้รับนั้นเป็นของประทานพิเศษจากพระเจ้า จึงไม่สำนึกในพระคุณของพระผู้สร้าง ลูซีเฟอร์หลงในตำแหน่งและความสุกใสโชติช่วงของตัวเอง และทะเยอทะยานที่จะตีตนเสมอพระเจ้า ชาวสวรรค์เคารพรักลูซีเฟอร์และปฏิบัติตามคำสั่งของเขาด้วยความยินดี เขาประกอบด้วยปัญญาและรัศมีภาพมากยิ่งกว่าผู้ใด ณ ที่นั้น ถึงกระนั้นพระบุตรของพระเจ้าก็ยังได้รับการเชิดชูเหนือเขาอยู่ดีในฐานะที่ทรงร่วมเป็นหนึ่งเดียวในอำนาจสิทธิ์ขาดและพระเดชานุภาพของพระบิดา พระองค์ได้ทรงร่วมวางแผนกับพระบิดาขณะที่ลูซีเฟอร์ไม่อาจเข้าถึงพระประสงค์ของพระเจ้าได้ แล้วเทพมหิทธิฤทธิ์องค์นี้ก็ถามขึ้นว่า ‘เพราะอะไรหรือ พระคริสต์ถึงได้รับตำแหน่งสูงสุด ทำไมพระองค์จึงได้รับเกียรติยศเหนือข้า’ {PP 36.3}

ลูซีเฟอร์ได้ออกไปจากที่ประจำการจำเพาะพระพักตร์พระบิดาเพื่อกระจายความไม่พอใจท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์ เขาทำงานอย่างลึกลับและมีเงื่อนงำ ทั้งยังสามารถซ่อนเร้นความมุ่งหมายอันแท้จริงของตนไว้ได้ชั่วขณะหนึ่ง โดยแสร้งทำเป็นว่าถวายเกียรติแด่พระเจ้า เขาเริ่มพูดเป็นเชิงว่ากฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองชาวสวรรค์นั้นเป็นที่น่าแคลงใจ กฎเกณฑ์เหล่านี้อาจจะเหมาะกับผู้ที่อาศัยอยู่ในโลกต่างๆ แต่ทูตสวรรค์ได้รับเกียรติยศสูงกว่า และมีสติปัญญาพอที่จะไม่หลงผิดจึงไม่จำเป็นต้องมีข้อบังคับเหล่านี้เลย ความคิดของพวกเขาบริสุทธิ์ และมิอาจทำให้พระเจ้าเสียเกียรติได้เลย พระเจ้าไม่อาจผิดพลาดฉันใด พวกเขาก็ไม่น่าจะผิดพลาดได้ ฉันนั้น ลูซีเฟอร์ปลุกปั่นให้เห็นว่าการที่พระบุตรได้รับเกียรติเท่าเทียมกับพระบิดานั้นไม่ยุติธรรมสำหรับตน ทั้งๆ ที่ตนก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่ควรได้รับความเคารพยำเกรงด้วย หากเพียงแต่เทวเทพองค์นี้ได้ขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งสูงส่งที่เขาพึงได้รับโดยชอบแล้ว ชาวสวรรค์ทั้งปวงก็คงได้รับประโยชน์อย่างมากมาย เพราะเขานั้นมีแต่จะแสวงหาสิทธิเสรีภาพให้กับทุกฝ่ายอยู่แล้ว แต่บัดนี้อิสรภาพที่พวกเขาเคยชื่นชมมาโดยตลอดได้จบสิ้นลงเสียแล้ว เพราะพระเจ้าได้ทรงแต่งตั้งผู้เผด็จการที่ทุกฝ่ายจะต้องยอมก้มกราบถวายบังคมอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของพระองค์ ลูซีเฟอร์ใช้เล่ห์เพทุบายที่แนบเนียนเพื่อให้ความเท็จนี้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองสวรรค์อย่างรวดเร็ว {PP 37.1}

ความจริงแล้วอำนาจและตำแหน่งของพระคริสต์ไม่ได้เปลี่ยนแปลง แต่เนื่องจากลูซีเฟอร์อิจฉาพระองค์และได้บิดเบือนความจริง โดยอ้างว่าตนมีสถานภาพเท่าเทียมกับพระคริสต์ พระเจ้าจึงต้องประกาศถึงตำแหน่งที่แท้จริงของพระบุตร คือตำแหน่งที่พระองค์ทรงมีตั้งแต่ปฐมกาล ถึงกระนั้นก็มีทูตสวรรค์มากมายที่หลงเชื่อคำหลอกลวงของลูซีเฟอร์จนได้ {PP 38.1}

หลงเชื่อ

บรรดาชาวสวรรค์ไว้วางใจ ทั้งซื่อสัตย์ และจงรักภักดีต่อลูซีเฟอร์ในฐานะผู้บังคับบัญชา ลูซีเฟอร์จึงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมืออย่างชาญฉลาดในการก่อให้เกิดความระแวงแคลงใจเช่นเดียวกับตน แล้วความไม่พอใจนั้นก็ค่อยๆ ลุกลามเข้าไปในใจของชาวสวรรค์โดยไม่ทันรู้ตัวว่านั่นเป็นกลอุบาย ลูซีเฟอร์ใส่ร้ายป้ายสีและกล่าวบิดเบือนพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อเร้าให้เกิดการคัดค้านและการแตกแยก เขาหลอกล่ออย่างมีเล่ห์เหลี่ยมเพื่อเหล่าทูตสวรรค์จะได้ระบายความรู้สึกในใจออกมา และเมื่อสบโอกาสก็จะอ้างถ้อยคำเหล่านั้นมาเป็นหลักฐานว่าทูตสวรรค์ไม่ได้เห็นด้วยกับการปกครองของพระเจ้าเสียทั้งหมด ขณะที่เขาอ้างว่าตนมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอย่างสมบูรณ์นั้น เขาพยายามผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์และระเบียบการในสวรรค์ โดยอ้างว่าทำไปเพื่อเสถียรภาพแห่งการปกครองของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ในขณะที่เขาพยายามเร่งเร้าการต่อต้านพระบัญญัติของพระเจ้า และกระทำให้เหล่าทูตสวรรค์ที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตนร่วมรู้สึกไม่พอใจไปด้วยนั้น เขาก็ทำทีเป็นว่ากำลังหาวิธีช่วยไกล่เกลี่ยทูตสวรรค์ที่กำลังไม่พอใจให้กลับมาอยู่ในระเบียบวินัยของสวรรค์ ขณะที่ความบาดหมางกำลังคุกรุ่นอยู่ภายในนั่นเอง เขาใช้กลเม็ดเด็ดพรายอย่างช่ำชองเพื่อทำให้ภายนอกดูเหมือนว่าเขาปรารถนาเพียงอย่างเดียว คือการส่งเสริมความจงรักภักดี และการรักษาไว้ซึ่งสันติและความปรองดองกัน {PP 38.2}

เมื่อความชิงชังได้ก่อตัวขึ้นแล้ว สิ่งที่ตามมาคือความชั่วร้ายแพร่กระจายออกไป ถึงแม้ว่าการประท้วงยังไม่เป็นไปอย่างเปิดเผย แต่การแบ่งฝักแบ่งฝ่ายค่อยๆ คืบคลานเข้ามาท่ามกลางเหล่าทูตสวรรค์จนไม่ทันตั้งตัว บ้างก็เห็นด้วยกับคำพูดเป็นนัยๆ ของลูซีเฟอร์ที่ต่อต้านการปกครองของพระเจ้า ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเองมีความเห็นพ้องต้องกันอย่างสิ้นเชิงกับระเบียบการที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ก็ตาม บัดนี้กลับรู้สึกทั้งรำคาญและไม่พอใจที่ไม่สามารถหยั่งรู้ถึงน้ำพระทัยอันล้ำลึกของพระองค์ได้ และคัดค้านต่อพระประสงค์ของพระเจ้าในการทรงยกย่องพระคริสต์ พวกเขาพร้อมที่จะสนับสนุนการเรียกร้องของลูซีเฟอร์ให้มีอำนาจเทียบเท่ากับพระบุตรของพระเจ้า แต่ทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดียืนยันถึงพระปัญญาของพระเจ้าว่าประกาศิตของพระองค์นั้นยุติธรรม พวกเขาพยายามไกล่เกลี่ยให้ลูซีเฟอร์กลับมาดำเนินตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดาก่อนที่ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะถูกสร้างขึ้นมา พระองค์ทรงประทับ ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดาเสมอมา ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยมีใครสงสัยในตำแหน่งสูงสุดของพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระพรและพระกรุณาต่อผู้ที่อยู่ใต้การปกครองของพระองค์ ชาวสวรรค์ทั้งปวงมีความปรองดองกันอย่างกลมเกลียวตลอดมา เหตุไฉนบัดนี้จึงมีการแตกแยกกันเล่า เหล่าทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีเห็นว่าการแตกแยกนั้นมีแต่จะเกิดผลเลวร้ายตามมา จึงอ้อนวอนขอร้องผู้ที่กำลังไม่พอใจให้ละทิ้งความคิดต่อต้านเสีย และมาพิสูจน์ถึงความจงรักภักดีของตนที่มีต่อพระเจ้า โดยปฏิบัติอย่างสัตย์ซื่อต่อการปกครองของพระองค์ {PP 38.3}

ลูซีเฟอร์กลายเป็นซาตาน

พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยต่อลูซีเฟอร์ไว้มาช้านานด้วยพระเมตตาคุณอันมากยิ่งตามพระลักษณะนิสัยของพระองค์ ในสวรรค์ไม่เคยรู้จักความห่างเหินหรือความไม่พอใจกันมาก่อน มันเป็นเรื่องลึกลับที่แปลกใหม่และอธิบายไม่ได้ เมื่อแรกเริ่มนั้นลูซีเฟอร์เองก็ไม่เข้าใจธาตุแท้ของความรู้สึกของตน เขากลัวที่จะเผยความคิดฝันในใจไประยะหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ได้เลิกล้มกระบวนการในใจ เขามองไม่เห็นว่าตนกำลังเลื่อนลอยไปสู่ที่ใด แต่พระเจ้าทรงใช้พระปัญญาและความรักอันไม่จำกัดของพระองค์เพื่อช่วยให้ลูซีเฟอร์สำนึกผิด พระเจ้าทรงพิสูจน์ให้ลูซีเฟอร์เห็นว่าการที่เขาไม่พอใจนั้นก็ปราศจากสาเหตุ พระองค์ทรงให้ลูซีเฟอร์เห็นว่าถ้าเขาขืนกบฏต่อไปผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ลูซีเฟอร์ก็รู้อยู่แก่ใจว่าตนผิด เขาเห็นว่า “พระเจ้าทรงชอบธรรมตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ และทรงเอ็นดูในการกระทำทั้งสิ้นของพระองค์” (สดุดี 145:17 TH1971) เขาเห็นว่าบรรดากฎเกณฑ์ของพระเจ้ายุติธรรม และเขาควรจะยอมรับกฎเกณฑ์เหล่านี้ต่อหน้าชาวสวรรค์ทั้งหลาย หากลูซีเฟอร์ได้ทำอย่างนั้นแล้ว ก็คงได้ช่วยให้ทั้งตัวเองและทูตสวรรค์จำนวนมากพ้นโทษ ในขณะนั้นเขายังไม่ได้ละทิ้งความจงรักภักดีต่อพระเจ้าไปเสียทั้งหมด ถึงแม้ว่าเขาได้ออกจากตำแหน่งเครูบผู้พิทักษ์แล้วก็ตาม แต่ถ้าเขายอมกลับมาหาพระเจ้าโดยยอมรับพระปัญญาของพระผู้สร้าง และพึงพอใจกับตำแหน่งที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้เขาตามแบบแผนอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว พระเจ้าคงได้คืนตำแหน่งเดิมให้เขา แล้วในที่สุดก็ถึงเวลาที่ลูซีเฟอร์จะต้องตัดสินใจว่า เขาจะยอมอยู่ภายใต้การปกครองของพระเจ้าแต่โดยดี หรือจะกบฏอย่างเปิดเผย เขาเกือบจะกลับใจ แต่ความหยิ่งได้ยับยั้งเขาไว้ เขารู้สึกว่าเป็นการลดตัวเกินไปสำหรับผู้มีเกียรติยศอย่างเขาที่จะสารภาพว่าตนผิดที่มีจินตนาการและความคิดฝันที่ไม่ถูกต้อง และที่จะยอมจำนนต่ออำนาจที่เขาเองได้ทุ่มเทเพื่อพิสูจน์ว่าไม่ยุติธรรม {PP 39.1}

พระผู้สร้างทรงมีความสมเพชเวทนาต่อลูซีเฟอร์และพรรคพวกมากยิ่งนักจึงทรงคอยฉุดพวกเขาไว้จากห้วงเหวลึกที่กำลังจะถลำลงไปนั้น แต่ลูซีเฟอร์ตีตวามหมายพระเมตตาของพระเจ้าผิดไป เขาชี้แจงกับบรรดาทูตสวรรค์ว่าการอดกลั้นพระทัยช้านานของพระเจ้านั้นเป็นหลักฐานว่าตนเหนือกว่าพระองค์ แล้วพระมหากษัตริย์แห่งจักรวาลก็จะต้องยินยอมต่อเงื่อนไขของเขาในที่สุด ลูซีเฟอร์ประกาศว่าถ้าเหล่าทูตสวรรค์จะยืนหยัดร่วมกับเขาก็จะได้ดังใจปรารถนาทุกอย่าง เขายืนกรานเพื่อกล่าวปกป้องวิถีทางของตนและยังคงตั้งหน้าต่อสู้กับพระผู้สร้างต่อไปอย่างสุดชีวิต ถึงแม้ลูซีเฟอร์เป็น “ดาวประจำกลางวัน” ทั้งมีส่วนร่วมในรัศมีภาพของพระเจ้าและยืนอยู่ข้างพระบัลลังก์ของพระองค์ แต่เนื่องจากเขาได้ล่วงละเมิดกฎเกณฑ์ที่พระเจ้าทรงวางไว้จึงกลายเป็นซาตาน ซึ่งแปลว่า “ปรปักษ์” คือเป็นศัตรูของพระเจ้าและบรรดาผู้บริสุทธิ์ และเป็นผู้ทำลายผู้ที่สวรรค์ได้มอบหมายให้เขาคุ้มครองและแนะแนว {PP 39.2}

ไม่ยอมกลับใจ

ลูซีเฟอร์ปฏิเสธพร้อมกับดูถูกเหตุผลและคำอ้อนวอนของเหล่าทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า โดยสรุปว่าพวกเขาเป็นทาสที่หัวอ่อน และยังกล่าวอีกว่าที่พระคริสต์ได้รับสิทธิพิเศษนั้นไม่เป็นธรรมสำหรับตนกับชาวสวรรค์ทั้งปวง เขาประกาศว่าจะไม่ยอมจำนนต่อการถูกละเมิดสิทธิกันเช่นนี้อีก นับแต่นี้ไปเขาจะไม่ยอมรับว่าพระคริสต์มีตำแหน่งสูงสุด เขาตั้งใจฉกชิงเอาเกียรติยศที่คิดว่าตนสมควรจะได้รับ และครอบครองบรรดาผู้ที่จะติดตามเขา โดยยื่นคำมั่นสัญญากับผู้ที่เข้ามาอยู่ฝ่ายเขาว่าจะได้รับการปกครองแบบใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งทุกชีวิตจะพึงพอใจกับเสรีภาพ ทูตสวรรค์จำนวนมากแสดงเจตนารมณ์ของตนออกมาว่าจะยอมรับลูซีเฟอร์เป็นผู้นำ ลูซีเฟอร์เกิดความหลงตัวเองขึ้นมาทันที เมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นขานรับข้อเสนอของตน เขาจึงหวังที่จะได้ทูตสวรรค์มาอยู่ฝั่งเขาทั้งหมดเลยทีเดียว และปรารถนาที่จะเท่าเทียมกับพระเจ้า และให้บรรดาชาวสวรรค์ทั้งหลายอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของตน {PP 40.1}

แต่ทูตสวรรค์ที่จงรักภักดียังคงอ้อนวอนลูซีเฟอร์กับผู้ที่เห็นพ้องกันกับเขาให้ยอมจำนนต่อพระเจ้าเสีย หาไม่แล้วผลร้ายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จะตามมา พระผู้ทรงสร้างเขาทั้งหลายย่อมสามารถโค่นอำนาจของพวกเขาและลงโทษทัณฑ์ให้สมกับที่บังอาจกบฏ ไม่มีทูตสวรรค์องค์ใดที่อาจต่อต้านพระบัญญัติของพระเจ้าซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์เท่าเทียมกับพระองค์เองได้ ทูตสวรรค์ที่ซื่อสัตย์เตือนทูตสวรรค์ทั้งหลายให้ปิดหูไว้ไม่ต้องรับฟังเหตุผลจอมปลอมของลูซีเฟอร์ และเร่งเร้าลูซีเฟอร์กับพรรคพวกให้รีบไปเข้าเฝ้าพระเจ้าและสารภาพความผิดที่คิดสงสัยต่อพระปัญญาและอำนาจอธิปไตยของพระองค์ {PP 40.2}

ทูตสรรค์หลายองค์เริ่มโอนเอนตามคำแนะนำนี้ที่ให้สารภาพความไม่พอใจ แล้วแสวงหาทางให้เป็นที่พอพระทัยของพระบิดาและพระบุตรอีก แต่ลูซีเฟอร์ได้เตรียมเล่ห์เพทุบายแบบใหม่ไว้รองรับพร้อมแล้ว นักกบฏผู้เรืองอำนาจยังได้แถลงการณ์ว่าทูตสวรรค์ที่เข้าร่วมอยู่ฝ่ายเขานั้นได้ออกมาไกลเกินที่จะหันกลับเสียแล้ว เขาอ้างว่าตนคุ้นเคยกับพระบัญญัติและรู้ดีว่าพระเจ้าคงจะไม่มีวันให้อภัย ลูซีเฟอร์ประกาศว่าถึงแม้ใครจะยอมจำนนต่ออำนาจของสวรรค์ เขาก็ยังจะถูกปลดออกจากตำแหน่งและรับความอัปยศอดสูอยู่ดี สำหรับตนนั้นตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมรับอำนาจของพระคริสต์อีกเลย เขากล่าวต่อไปอีกว่าเหลือเพียงทางเดียวสำหรับเขาและพรรคพวก คือจะต้องยืนหยัดในอิสรภาพของตน โดยใช้กำลังฉกชิงสิทธิอำนาจนั้นที่พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยที่จะประทานแก่พวกเขามาให้จงได้ {PP 40.3}

จริงอยู่ว่าในขณะนั้นซาตานหลงผิดไปไกลเกินที่จะกลับใจได้ แต่ผู้ที่หลงเชื่อตามคำหลอกลวงของเขานั้นก็มิได้เป็นเช่นนั้น คำแนะนำชักชวนของทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีได้เปิดประตูแห่งความหวังให้กับทูตสวรรค์กลุ่มนี้ หากเขายอมปฏิบัติตามคำตักเตือนนั้น ก็คงหลุดพ้นจากกับดักของซาตานไปได้ แต่คำวิงวอนที่เต็มไปด้วยความรักและความเมตตาของพระเจ้าก็ถูกพวกเขาปฏิเสธลงในที่สุด ทั้งความหยิ่ง ความจงรักภักดีที่มีต่อลูซีเฟอร์ในฐานะผู้นำ และความปรารถนาอิสรภาพแบบไร้ขอบเขตได้ครอบงำพวกเขาเสียแล้ว {PP 41.1}

เหตุใดไม่ทำลายซาตานเสียทันที

พระเจ้าทรงยอมให้ซาตานแสดงการคัดค้านต่อไปจนเกิดการปฏิวัติเต็มรูปแบบ จำเป็นที่จะต้องปล่อยให้แผนการของซาตานดำเนินไปจนถึงจุดอิ่มตัว เพื่อทุกชีวิตจะได้เห็นถึงธาตุแท้ของมันว่าจะนำไปสู่ทิศทางใด ในฐานะเครูบผู้พิทักษ์ ลูซีเฟอร์ได้รับเกียรติยศอันสูงส่ง บรรดาชาวสวรรค์มีความรักต่อเขาเป็นอย่างยิ่ง อิทธิพลของเขาที่แผ่ออกไปก็แรงกล้า พระเจ้ามิได้ปกครองเพียงเฉพาะบรรดาผู้ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์เท่านั้น แต่ยังปกครองบรรดาชีวิตอื่นๆ ในดาวเคราะห์ต่างๆ ที่พระองค์ทรงสร้างด้วย ลูซีเฟอร์ลงความเห็นว่าถ้าเขาสามารถรวบรวมเอาทูตสวรรค์มาอยู่ฝ่ายตนเองได้ เขาก็คงสามารถรวบรวมเอาบรรดาโลกต่างๆ ไว้ได้ด้วย เขาใช้อุบายอย่างชาญฉลาดเพื่อหาเหตุผลเข้าข้างตัวเอง และใช้วิธีตบตาได้อย่างแนบเนียน เขามีพลังอำนาจในการหลอกลวงยิ่งนัก ด้วยการอำพรางตัวภายใต้เสื้อคลุมแห่งความเท็จ ทำให้เขาได้เปรียบมาก กิจการของเขามีความลึกลับมากจนเหล่าทูตสวรรค์ไม่อาจประจักษ์ถึงธาตุแท้ได้เลยว่าเป็นอย่างไร ความไม่พอใจของเขาจะไม่ปรากฏชัดออกมาว่าเป็นการกบฏ จนกระทั่งมันได้เติบโตเต็มที่แล้วจึงจะเห็นได้ว่ามันชั่วร้ายมากมายเพียงใด แม้แต่ทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีก็ยังไม่สามารถล่วงรู้ถึงอุปนิสัยอันแท้จริงของเขา หรือมองเห็นได้ว่าสิ่งที่เขาทำอยู่นั้นจะนำไปสู่อะไร {PP 41.2}

ตอนแรกๆ ลูซีเฟอร์หลอกล่อโดยทำทีเป็นกลาง เขากล่าวหาทูตสวรรค์ที่เขาไม่สามารถนำมาอยู่ฝ่ายตนอย่างเต็มภาคภูมิว่าเพิกเฉยต่อประโยชน์ส่วนรวมของบรรดาชาวสวรรค์ เขาใส่ร้ายทูตสวรรค์ที่จงรักภักดีในข้อหาที่ความจริงแล้วเขาต่างหากที่เป็นผู้กระทำ กลวิธีของเขาเจตนาทำให้ผู้อื่นสับสนงงงันโดยใช้เหตุผลที่เข้าใจยากเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า สิ่งใดที่ง่ายเขากลับทำให้เป็นปมปริศนา และใช้ไหวพริบของตนบิดเบือนพระดำรัสที่ชัดแจ้งที่สุดของพระเยโฮวาห์2 ให้เป็นที่น่ากังขาไปเสีย เนื่องจากว่าเขามีตำแหน่งสูงที่มีความสัมพันธ์กับการปกครองของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด ทำให้คำพูดของเขามีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น {PP 41.3}

พระเจ้าทรงสามารถใช้เฉพาะแต่วิธีการที่สอดคล้องกับความจริงและความชอบธรรมเท่านั้น แต่ซาตานใช้สิ่งที่พระเจ้าไม่อาจใช้ได้ คือการประจบสอพลอและการหลอกลวง ซาตานพยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจพระวจนะและพระประสงค์ในการปกครองของพระเจ้าผิดไป โดยอ้างว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมในการวางกฎเกณฑ์ให้เหล่าทูตสวรรค์ และที่พระองค์ทรงประสงค์ให้บรรดาผู้ที่พระองค์ทรงสร้างยอมเชื่อฟังพระองค์นั้น ก็เป็นเพียงเพราะพระองค์ทรงแสวงหาเกียรติสำหรับพระองค์เองกระมัง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการพิสูจน์ให้ชาวสวรรค์และเหล่าผู้ที่อาศัยในโลกต่างๆ ได้เห็นว่าพระเจ้าทรงปกครองด้วยความยุติธรรม และพระบัญญัติของพระองค์นั้นสมบูรณ์ไม่มีที่ติ ซาตานทำทีเป็นว่ามันเองกำลังหาช่องทางส่งเสริมและอำนวยประโยชน์ให้กับจักรวาล แต่ทุกฝ่ายจะต้องเข้าใจอุปนิสัยและวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของนักช่วงชิงผู้นี้ กว่าผลงานอันชั่วร้ายของมันจะปรากฏออกมาปรักปรำมันเองก็ต้องใช้เวลา {PP 42.1}

ความแตกแยกที่เกิดขึ้นในสวรรค์นั้นเป็นผลจากการกระทำของซาตาน แต่มันกลับบอกว่าเป็นเพราะการปกครองของพระเจ้าบกพร่อง มันกล่าวว่าความชั่วทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลจากการบริหารของพระเจ้า โดยอ้างว่าวัตถุประสงค์ของมันคือมุ่งที่จะพัฒนาพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์ ด้วยเหตุนี้เองพระเจ้าจึงทรงยอมให้ซาตานแสดงถึงธาตุแท้ในสิ่งที่มันอ้างนั้นเพื่อให้เป็นที่ประจักษ์ว่าผลของการพยายามเปลี่ยนแปลงพระบัญญัติของพระองค์ตามที่มันเสนอนั้นจะเป็นอย่างไร ต้องปล่อยให้ผลงานที่ออกมานั่นแหละกล่าวโทษมันเอง ซาตานอ้างตั้งแต่แรกแล้วว่าตนไม่ได้กบฏ แต่ทั่วทั้งจักรวาลจะต้องได้เห็นจอมหลอกลวงถูกถลกหน้ากากในที่สุด {PP 42.2}

ถึงแม้ว่าซาตานถูกขับออกจากสวรรค์แล้ว แต่พระเจ้าผู้ทรงมีพระปัญญาอย่างไม่จำกัดไม่ได้ทำลายมันเสียทันที เนื่องจากพระองค์ทรงยอมรับได้เฉพาะแต่การปรนนิบัติรับใช้ที่กระทำด้วยความรักเท่านั้น ฉะนั้นความจงรักภักดีของสรรพชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความมั่นใจในความยุติธรรมและพระเมตตาคุณของพระองค์ ผู้ที่อาศัยในสวรรค์และโลกอื่นยังไม่พร้อมที่จะเข้าใจสภาพหรือผลของความบาป หากพระเจ้าได้ทำลายซาตานทันทีเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจเห็นหรือเข้าใจได้ว่าเป็นการยุติธรรม และจะมีหลายชีวิตรับใช้พระองค์เพราะความกลัวแทนที่จะรับใช้ด้วยความรัก อิทธิพลของผู้หลอกลวงก็คงไม่หมดไป และรากเหง้าของการกบฏคงไม่ถูกถอนให้หมดสิ้นไปได้ เพื่อประโยชน์ของทั้งจักรวาลสืบไปเป็นนิตย์ หลักการของซาตานจะต้องได้ดำเนินต่อไปจนถึงจุดอิ่มตัว เพื่อบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงสร้างจะได้ประจักษ์ถึงการปกครองของพระองค์ที่ซาตานกล่าวหา และเพื่อไม่ให้มีใครอาจสงสัยความยุติธรรม พระเมตตา และความไม่เปลี่ยนแปลงแห่งพระบัญญัติของพระองค์ได้อีกเลย {PP 42.3}

บทเรียนที่ได้รับ

พระเจ้ามีพระประสงค์ให้การกบฏของซาตานเป็นบทเรียนสำหรับจักรวาลไปตลอดกาล ให้เป็นหลักฐานอันถาวรถึงธาตุแท้ของความบาปและผลที่เลวร้ายของมัน รวมไปถึงระบอบการปกครองของซาตานและผลกระทบทั้งต่อมนุษย์และทูตสวรรค์ ทั้งหมดนี้จะแสดงให้เห็นถึงผลที่เกิดขึ้นเมื่อมีการละทิ้งการปกครองของพระเจ้า จะเป็นหลักฐานยืนยันว่าความผาสุกของชีวิตทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นขึ้นอยู่กับการปกครองของพระองค์ ดังนั้นประวัติการกบฏอันเลวร้ายที่ซาตานทดลองการปกครองแบบใหม่นี้จะเป็นประดุจเครื่องป้องกันภัยอันถาวรแก่บรรดาผู้บริสุทธิ์ทั้งปวงไม่ให้ถูกหลอกลวงเรื่องสภาพอันแท้จริงของการล่วงละเมิด ทั้งเป็นการช่วยเขาให้รอดพ้นจากการกระทำบาปและการทนทุกข์ทรมานเพราะโทษของมัน {PP 42.4}

พระผู้ทรงครอบครองบรรดาสวรรคสถานทอดพระเนตรเห็นตั้งแต่เริ่มแรกจนถึงวาระสุดปลาย ผู้ทรงประจักษ์ถึงความลี้ลับตั้งแต่อดีตไปจนถึงอนาคตกาลเหมือนๆ กัน พระองค์ทอดพระเนตรทะลุความเศร้าโศก ความมืด และการถูกทำลายอันเป็นผลของความบาป ทรงเห็นความสำเร็จแห่งพระประสงค์อันกอปรด้วยความรักและพระพรของพระองค์ ถึงแม้ว่ามี “เมฆและความมืดทึบอยู่รอบพระองค์” แต่ “ความชอบธรรมและความยุติธรรมเป็นรากฐานแห่งบัลลังก์ของพระองค์” (สดุดี 97:2 TH1971) และจะมีวันหนึ่งที่ชีวิตทั้งหลายในจักรวาลทั้งผู้ที่จงรักภักดีและไม่จงรักภักดีจะเข้าใจว่า “พระราชกิจของพระองค์ก็สมบูรณ์ พระมรรคาทั้งหลายของพระองค์ก็ยุติธรรม พระเจ้าที่เที่ยงธรรมและปราศจากความผิด พระองค์ทรงยุติธรรมและเที่ยงตรง” (เฉลยธรรมบัญญัติ 32:4 TH1971) {PP 43.1}

Footnotes

  1. ทูตสวรรค์พิเศษที่เฝ้าประจำการเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

  2. พระนามของพระเจ้า มีความหมายว่า “เราเป็น” (อพยพ 3:13–14)