อยู่ด้วยความเชื่อ37. การอัศจรรย์ในวันสะบาโต

37. การอัศจรรย์ในวันสะบาโต

สาเหตุที่พระคัมภีร์บันทึกการอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงกระทำไว้มากมายก็เพื่อ “พวกท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้วท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ยอห์น 20:30–31) {LBF 114.1}

คำสอนของพระเจ้าและสาวกของพระองค์ทำให้เรารู้จักทางแห่งชีวิต แต่การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำผ่านพระเยซูกับเหล่าสาวกทำให้เราเห็นถึงความจริงของชีวิต ทั้งเห็นฤทธานุภาพของชีวิตนั้น ความจริงด้านจิตวิญญาณทุกประการในพระคัมภีร์ล้วนแต่เป็นบทเรียนที่สอดแทรกอยู่ในการอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระเยซูทรงรักษาคนเจ็บป่วย {LBF 114.2}

พระเจ้าประทานให้พระเยซู “มีสิทธิอำนาจเหนือมนุษย์ทั้งสิ้น เพื่อให้พระบุตรประทานชีวิตนิรันดร์” แก่ทุกคนที่มาหาพระองค์ (ยอห์น 17:2) พระเยซูทรงรักษาร่างกายของคนป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์จะทรงรักษาจิตวิญญาณของเราให้พ้นความผิดบาปด้วยฤทธานุภาพของพระองค์เช่นกัน “‘การที่พูดว่า “บาปต่างๆ ของท่านได้รับอภัยแล้ว” กับการพูดว่า “จงลุกขึ้นเดินไปเถิด” แบบไหนจะง่ายกว่ากัน ทั้งนี้เพื่อให้ท่านรู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้’ พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า ‘จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านของท่าน’ เขาจึงลุกขึ้นไปบ้าน เมื่อฝูงชนเห็นดังนั้น พวกเขาก็เกรงกลัว แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ประทานสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์” (มัทธิว 9:5–9) {LBF 114.3}

การอัศจรรย์ที่โดดเด่นมากที่สุดบางเรื่องของพระเยซูเกิดขึ้นในวันสะบาโต ดังที่จะหยิบยกมาดังต่อไปนี้ {LBF 114.4}

ชายที่ตาบอดแต่กำเนิด

“ขณะพระองค์เสด็จไปนั้น ทรงเห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด พวกสาวกของพระองค์ทูลถามพระองค์ว่า ‘พระอาจารย์ ใครทำบาป คนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาถึงเกิดมาตาบอด’ พระเยซูตรัสตอบว่า ‘ไม่ใช่คนนี้หรือพ่อแม่ของเขาที่ทำบาป แต่เขาเกิดมาตาบอดเพื่อให้พระราชกิจของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา เราต้องทำพระราชกิจของผู้ทรงใช้เรามาเมื่อยังวันอยู่ กลางคืนอันเป็นเวลาที่ไม่มีใครทำงานนั้นกำลังใกล้เข้ามา ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราก็เป็นความสว่างของโลก’ เมื่อตรัสอย่างนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงบ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วทรงเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอด แล้วตรัสสั่งเขาว่า ‘จงไปล้างโคลนออกในสระสิโลอัม’ (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับมาก็มองเห็น” “วันที่พระเยซูทรงทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันสะบาโต” (ยอห์น 9:1–7, 14) {LBF 114.5}

การอัศจรรย์ครั้งนี้เป็นหลักฐานประจักษ์ชัดว่าพระเยซูคือแสงสว่างของโลก คนขอทานตาบอดคนนั้นเชื่อพระดำรัสของพระคริสต์จึงมองเห็นได้ จากเรื่องนี้เราจึงมั่นใจว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริงที่ตรัสว่า “เราเป็นความสว่างของโลก คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต” (ยอห์น 8:12) เมื่อพระเยซูทรงเบิกตาชายคนนั้น เขาสามารถเห็นแสงอาทิตย์ แต่พระคริสต์ทรงเป็นแสงด้านจิตวิญญาณของเขา แสดงให้เห็นว่า แสงที่ส่องมาจากดวงอาทิตย์เป็นแสงที่ได้รับมาจากพระองค์ผู้ทรงเป็น “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม” อีกที (มาลาคี 4:2) {LBF 115.1}

เราไม่สามารถมองเห็นพระคริสต์ และเราไม่อาจเข้าใจได้ว่าชีวิตของพระองค์จะประทานให้เรามีความชอบธรรมและชีวิตนิรันดร์ได้อย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่เรารู้คือ ดวงอาทิตย์ส่องแสงมายังโลก และในแสงนั้นมีพลังที่ให้ชีวิต การอัศจรรย์ที่พระเยซูทรงรักษาคนตาบอดแสดงให้เห็นว่าแสงและชีวิตนี้มาจากพระคริสต์ เราจึงได้รู้ว่าพระองค์สามารถประทานชีวิตอันชอบธรรมของพระองค์แก่เราได้เช่นกัน พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดจากความบาปและความตาย เป็นความจริงที่เห็นชัดพอๆ กับที่จะเชื่อว่าแสงอาทิตย์บันดาลให้มีชีวิตและผลผลิตอยู่ในโลก {LBF 115.2}

ความบาปคือความมืด และใจของเราจะมืดมนเมื่อเราไม่ให้เกียรติพระเจ้าในฐานะที่ทรงเป็นพระเจ้า (ดู โรม 1:21) “ความคิดของ [คนบาป] ถูกทำให้มืดมนไป และเขาขาดจากชีวิตที่มาจากพระเจ้าเนื่องจากความไม่รู้ที่อยู่ในตัว” (เอเฟซัส 4:18) พระเยซูทรงรักษาคนตามืดบอดให้มองเห็นได้ พระองค์ก็จะทรงยกเอาใจมืดแห่งบาปออกไปและประทานแสงแห่งชีวิตแก่ทุกคนที่จะรับพระองค์ในฐานะที่พระองค์ทรงเป็นความจริง {LBF 115.3}

การรักษาหญิงหลังโกง

“ขณะที่พระเยซูทรงสั่งสอนอยู่ที่ธรรมศาลาแห่งหนึ่งในวันสะบาโต มีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิง ซึ่งทำให้นางเป็นโรคมา 18 ปีแล้วอยู่ที่นั่นด้วย หลังของนางก็โกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นจึงทรงเรียกและตรัสกับนางว่า ‘หญิงเอ๋ย เธอได้รับการปลดปล่อยให้พ้นจากโรคของเธอแล้ว’ เมื่อพระองค์วางพระหัตถ์บนตัวนาง ทันใดนั้นนางก็ยืดตัวตรงได้ และสรรเสริญพระเจ้า แต่นายธรรมศาลาไม่พอใจ เพราะพระเยซูทรงรักษาโรคในวันสะบาโต จึงพูดกับฝูงชนว่า ‘มีถึงหกวันสำหรับทำงาน จงมาและรับการรักษาโรคภายในหกวันนั้น อย่าทำในวันสะบาโต’ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบเขาว่า ‘โอ พวกหน้าซื่อใจคด พวกท่านทุกคนก็ปล่อยวัวปล่อยลาออกจากคอกของมันพาไปกินน้ำในวันสะบาโตไม่ใช่หรือ ผู้หญิงคนนี้เป็นบุตรสาวของอับราฮัมซึ่งถูกซาตานผูกมัดไว้ถึง 18 ปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้นางหลุดพ้นจากเครื่องจำจองนี้ในวันสะบาโต’ เมื่อพระองค์ตรัสอย่างนั้นแล้ว พวกที่เป็นศัตรูกับพระองค์ก็ได้รับความอับอาย แต่ฝูงชนทั้งหมดชื่นชมยินดีกับคุณความดีทุกประการที่พระองค์ทรงทำ” (ลูกา 13:10–17) {LBF 115.4}

ผู้หญิงคนนี้ถูกจำจองโดยซาตาน และการที่พระเยซูทรงรักษาเขาให้หายเป็นตัวอย่างที่เด่นชัดถึงฤทธานุภาพของพระคริสต์ในการปลดปล่อยคนจากความบาป เพราะว่า “ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป” (ยอห์น 8:34) และ “ก็มาจากมาร” (1 ยอห์น 3:8) และ “เพราะว่าผู้ใดพ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น” (2 เปโตร 2:19) {LBF 116.1}

นางไม่สามารถยืนตรงได้ เหมือนข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า “ความชั่วของข้าพระองค์ตามทันข้าพระองค์ จนข้าพระองค์ไม่อาจเงยหน้าขึ้นมอง” (สดุดี 40:12 แปลจากฉบับ KJV) แต่เมื่อเราเห็นฤทธานุภาพของพระคริสต์ที่ทรงรักษานาง เราจึงพูดได้ว่า “โอ ข้าแต่พระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเป็นโล่ล้อมรอบตัวข้าพระองค์ พระองค์ทรงเป็นสง่าราศีของข้าพระองค์ และทรงเป็นผู้ชูศีรษะของข้าพระองค์ไว้” (สดุดี 3:3 TKJV) {LBF 116.2}

นาง “มีผีเข้าสิง” แต่พระคริสต์ทรงสงสารและรักษานาง เราจึงรู้ว่า “เราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา” (ฮีบรู 4:15) และพระเมตตาของพระองค์ก็เป็นรูปธรรม ในการอัศจรรย์เหล่านี้เรามีตัวอย่างของฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ในการเบิกตาของเรา ตามที่เขียนไว้ว่า “เพื่อให้พวกเขาหันจากความมืดมาหาความสว่าง จากอำนาจของซาตานมาหาพระเจ้า” (กิจการ 26:18) {LBF 116.3}

ทำไมจึงรักษาโรคในวันสะบาโต

พระคัมภีร์ระบุไว้อย่างชัดเจนว่า พระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์เหล่านี้ในวันสะบาโต และขอให้สังเกตว่าคนป่วยและคนพิการในทั้งสองกรณีที่ยกมานี้ไม่จำเป็นต้องรักษาด่วนในตอนนั้น ถ้าจะให้คนตาบอดรอไปอีกสักวันก็ไม่เป็นไร ส่วนผู้หญิงคนนั้นก็ไม่สบายมาตั้ง 18 ปีแล้ว และอาการก็ไม่ถึงขั้นอันตราย ทั้งสองคนก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้รับการรักษาด้วย พวกเขาคงไม่ผิดหวังแต่อย่างใดถ้าพระเยซูทรงรอให้พ้นวันสะบาโตก่อนแล้วจึงรักษา {LBF 116.4}

แต่พระเยซูมิได้ทรงรีรอแม้แต่ชั่วโมงเดียว มิหนำซ้ำพระองค์ทรงรักษาพวกเขาในวันสะบาโต ทั้งที่ทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่าจะทำให้พวกฟาริสีไม่พอใจและยิ่งเกลียดชังพระองค์มากขึ้น แสดงว่าพระองค์ต้องมีพระประสงค์ที่ชัดเจนในการทำการอัศจรรย์เหล่านั้นในวันสะบาโต และพระวิญญาณบริสุทธิ์มีพระประสงค์พิเศษที่ให้ระบุวันที่การอัศจรรย์เกิดขึ้นไว้ในพระคัมภีร์ แต่พระประสงค์นั้นคืออะไร คำตอบอยูในยอห์น 20:31 {LBF 117.1}

เพราะว่าพระเยซูทรงกระทำการอัศจรรย์เหล่านั้นด้วยเหตุผลอันเดียวกันที่บันทึกไว้ นั่นคือเพื่อ “ท่านจะได้เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตโดยพระนามของพระองค์” (ยอห์น 20:31) {LBF 117.2}

พระเยซูไม่ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์เหล่านี้เพื่อเป็นการลบหลู่วันสะบาโต เพราะพระองค์ทรงรักษาพระบัญญัติทั้งหมด บางคนเข้าใจผิดว่าพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ในวันสะบาโตเพื่อแสดงให้เห็นว่าเราสามารถละเมิดวันสะบาโตได้ในกรณีจำเป็น แต่พระเยซูไม่ได้ละเมิดวันสะบาโตถึงแม้ว่าคนยิวจะใส่ร้ายพระองค์ในเรื่องนี้ก็ตาม ไม่มีครั้งไหนที่ “จำเป็น” ต้องละเมิดวันสะบาโต แต่พระเยซูเองตรัสสอนว่า “การทำความดีในวันสะบาโตก็ถูกต้องตามบทบัญญัติ” (มัทธิว 12:12 TNCV) {LBF 117.3}

พระเยซูทรงสำแดงให้เห็นถึงความหมายที่แท้จริงของวันสะบาโต จริงอยู่ที่พระองค์ทรงประกอบกิจในวันสะบาโต แต่การประกอบกิจนั้นล้วนแต่อาศัยพระวจนะของพระองค์ ตั้งแต่เสร็จสิ้นการสร้างโลก “ในวันที่เจ็ดนั้น พระเจ้าทรงหยุดพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์” (ฮีบรู 4:4) แต่พระองค์ยังทรงค้ำจุนสิ่งสารพัดด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ (ดู ฮีบรู 1:3) {LBF 117.4}

พระเจ้าประทานวันสะบาโตให้มนุษย์เพื่อให้รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์ (ดู เอเสเคียล 20:12) ฉะนั้นในการทำการอัศจรรย์ต่างๆ ในวันสะบาโต พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่าจุดประสงค์ของวันสะบาโตคือการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ วันสะบาโตเป็นเครื่องเตือนให้ระลึกถึงการทรงสร้างของพระองค์ และด้วยฤทธานุภาพแห่งการทรงสร้างนี้เราจึงถูกสร้างขึ้นให้เป็นคนใหม่ในพระคริสต์เมื่อเราเชื่อในพระองค์ เพราะ “เราผู้ที่เชื่อแล้วก็ได้เข้าสู่การหยุดพัก” (ฮีบรู 4:3) คือการหยุดพักของพระเจ้า {LBF 117.5}

พระเจ้าทรงหยุดพักจากการงานเมื่อพระราชกิจของพระองค์เสร็จสิ้น พระองค์ทรงหยุดพักโดยอาศัยพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ ฉะนั้นเราหยุดพักในการงาน ซึ่งไม่ใช่การงานของเราแต่เป็นของพระเจ้า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 6:29) ดังที่เห็นแล้วว่า ความเชื่อทำให้เราได้หยุดพัก พระราชกิจของพระเจ้าทำให้เราได้หยุดพักจากความบาป เพราะเราได้รับชัยชนะด้วยพระราชกิจของพระองค์ (ดู สดุดี 92:4) {LBF 117.6}

จากการอัศจรรย์เหล่านี้พระเยซูทรงสอนเราว่า วันสะบาโต คือวันที่เจ็ดในสัปดาห์ เป็นมงกุฎและศักดิ์ศรีของข่าวประเสริฐ ถ้ารักษาวันสะบาโตตามพระประสงค์ของพระเจ้า เราจะเห็นพระเยซูในฐานะพระผู้ไถ่และพระผู้สร้าง เพราะฤทธานุภาพของพระองค์ในการทรงไถ่คือฤทธานุภาพแห่งการทรงสร้างนั่นเอง วันสะบาโตของพระเจ้าอันเป็นอนุสรณ์เพื่อระลึกถึงการทรงสร้างจะเตือนสติให้เราระลึกถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าในการช่วยทุกคนที่มีความเชื่อให้ได้รับความรอด วันสะบาโตสำแดงให้เห็นชัดเจนยิ่งกว่าสิ่งใดว่า พระวิญญาณทรงเจิมพระคริสต์ไว้เพื่อ “นำข่าวดีมายังคนยากจน” ให้ “ประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 4:18–19) {LBF 117.7}