31. รอดโดยพระชนม์ชีพ
การสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ทำให้คนบาปที่มีความเชื่อได้คืนดีกับพระเจ้า ตามธรรมชาติแล้วมนุษย์เป็นศัตรูกับพระเจ้า เพราะเราไม่เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ (ดู โรม 8:7) พระบัญญัติของพระเจ้าคือชีวิตของพระองค์ และชีวิตของพระองค์คือสันติสุข พระคริสต์จึงเป็นสันติสุขของเรา ด้วยว่าเราได้รับความชอบธรรมของพระเจ้า ชีวิตจึงเปลี่ยนไปตามชีวิตของพระองค์ เมื่อพระคริสต์สละพระชนม์ชีพของพระองค์ พระองค์ประทานชีวิตให้แก่ทุกคนที่จะยอมรับไว้ และเมื่อรับชีวิตของพระองค์แล้วเราสามารถกล่าวได้ว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20) เราได้คืนดีกับพระเจ้าเพราะเรามีชีวิตของพระองค์ คือเราได้เอาชีวิตเก่ามอบให้พระคริสต์ และน้อมรับเอาชีวิตของพระองค์มาแทนที่ {LBF 98.1}
เมื่อพระคริสต์ประทานชีวิตของพระองค์แก่เรานั้น พระองค์ไม่ได้ประทานเพียงช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต แต่ทรงให้ทั้งหมด คือชีวิตในวัยเด็ก วัยหนุ่ม และวัยผู้ใหญ่ เมื่อเรายอมรับว่าชีวิตทั้งหมดของเรามีแต่ความบาป และยอมทิ้งชีวิตเก่าเพื่อพระคริสต์นั้น ก็เป็นการแลกกันอย่างสิ้นเชิง คือเราจะได้รับชีวิตของพระคริสต์ทั้งหมดในทุกวัยแทนชีวิตเก่าของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงจะถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า และที่เราเป็นคนชอบธรรมไม่ใช่เพราะพระเจ้าทรงเลือกที่จะมองข้ามความบาปของเราเพื่อเห็นแก่ความเชื่อของเรา แต่พระองค์ทรงกระทำให้เราเป็นคนชอบธรรม (คือผู้ประพฤติตามพระบัญญัติ) ด้วยการประทานชีวิตอันชอบธรรมของพระองค์ให้แก่เรา {LBF 98.2}
“ในพระบุตรนั้นเราได้รับการไถ่ คือการยกโทษจากบาปทั้งหลาย” (โคโลสี 1:14) นั่นแสดงว่าเมื่อเรารับชีวิตของพระคริสต์แทนที่ชีวิตเก่าของเรา เราได้รับการอภัยบาป “โลหิตเป็นสิ่งที่ทำการลบมลทินบาป” ด้วยว่า “ชีวิตของเนื้อหนังอยู่ในเลือด” (เลวีนิติ 17:11 TH1971) เราจึงได้รับการทรงไถ่ด้วยพระโลหิตของพระคริสต์ และได้คืนดีกับพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ เพราะในการสิ้นพระชนม์นั้นพระคริสต์ทรงมอบชีวิตของพระองค์ให้แก่เรา {LBF 98.3}
เมื่อเรารับชีวิตของพระองค์ด้วยความเชื่อแล้ว เราจึงยืนอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเสมือนหนึ่งเราไม่เคยทำบาป เราได้รับการตรวจสอบด้วยพระบัญญัติอย่างละเอียดแต่ไม่พบความผิด เพราะชีวิตเก่าได้สูญสิ้นไปแล้ว และชีวิตที่เรามี คือชีวิตของพระคริสต์ เป็นชีวิตที่ไม่เคยทำความผิดประการใดเลย แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไรเล่า เมื่อเราได้คืนดีกับพระเจ้าโดยการสิ้นพระชนม์ของพระบุตร เราจึงรอดด้วยชีวิตของพระองค์ที่ประทานให้เราโดยการสิ้นพระชนม์นั้น แล้วทำอย่างไรให้ชีวิตของพระองค์ยังคงดำรงอยู่กับเราตลอดไป ก็ด้วยการกระทำเหมือนครั้งที่เรารับเอาชีวิตนั้นในตอนแรก “ท่านได้ต้อนรับเอาพระเยซูคริสต์เจ้ามาแล้วอย่างไร ก็ให้ดำเนินชีวิตในพระองค์อย่างนั้น” (โคโลสี 2:6 TKJV) ในครั้งนั้นเรารับเอาพระองค์อย่างไร ก็ด้วยความเชื่อ ดังนั้นให้ชีวิตของพระองค์ดำรงอยู่ในเราต่อไปด้วยความเชื่อเช่นกัน ด้วยว่า “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (โรม 1:17) ความเชื่อในพระคริสต์ให้ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเช่นเดียวกับการรับประทานอาหารที่ให้ชีวิตแก่ร่างกาย องค์พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้” (ยอห์น 6:54–55) การกินเนื้อของพระองค์ ณ ที่นี้ก็คือการอ่านพระวจนะ (ข้อ 63) เพราะมีคำเขียนไว้ว่า เราจะดำรงชีวิต “ด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” (มัทธิว 4:4) {LBF 99.1}
เรารอดโดยชีวิตของพระคริสต์ ซึ่งเป็นชีวิตที่ปราศจากบาป เพราะพระคัมภีร์เขียนว่า “ไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย” “บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติ” (1 ยอห์น 3:5, 4) ฉะนั้นชีวิตที่ทรงไถ่เรานั้นคือความชอบธรรมของธรรมบัญญัติ พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และตลอดไปเป็นนิตย์ (ดู ฮีบรู 13:8) ด้วยเหตุนี้ชีวิตของพระองค์ที่จะดำเนินอยู่ในเรานั้นเป็นชีวิตเดียวกันกับที่ทรงดำเนินเมื่อ 2,000 ปีก่อน พระองค์เสด็จมาเพื่อให้แบบอย่างที่สมบูรณ์แห่งชีวิตของพระเจ้า พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำในสมัยก่อนพระองค์จะทรงกระทำอีกผ่านชีวิตของเราในทุกวันนี้เมื่อเราเปิดใจรับพระองค์ และเนื่องจากพระองค์ไม่ได้ทรงทำบาป เราก็จะไม่ทำบาปเหมือนกันตราบใดที่เราดำเนินชีวิตของพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ ให้เราสังเกตรายละเอียดบางประการว่าพระเยซูทรงดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างไร {LBF 99.2}
พระบัญญัติข้อที่เก้า: พระเยซู “ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์” (วิวรณ์ 3:14) “พระองค์ไม่ได้ทรงทำบาปเลย และไม่พบการล่อลวงในพระโอษฐ์ของพระองค์เลย” (1 เปโตร 2:22) ฉะนั้นเราจะพูดแต่ความจริงเมื่อพระคริสต์สถิตอยู่ในเรา {LBF 99.3}
พระบัญญัติข้อที่หก: “เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด” (ลูกา 9:56 TKJV) “พระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์” (กิจการ 10:38) พระองค์เสด็จมาเพื่อ “ทำลายความตายให้สูญสิ้น และทรงทำให้ชีวิตและสภาพอมตะปรากฏชัดโดยทางข่าวประเสริฐ” (2 ทิโมธี 1:10) ดังนั้นขณะที่เรารับพระคริสต์ พระองค์จะทรงดำเนินชีวิตแห่งความรักภายในเราให้มีไมตรีจิตต่อทุกคน {LBF 99.4}
พระบัญญัติข้อที่สี่: “พระองค์เสด็จเข้าไปในธรรมศาลาในวันสะบาโตเช่นเคย และทรงยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระธรรม” (ลูกา 4:16) พระเยซูทรงเห็นความสำคัญของพระบัญญัติเรื่องวันสะบาโตจึงตรัสว่า “การทำความดีในวันสะบาโตก็ถูกต้องตามบทบัญญัติ” (มัทธิว 12:12 TNCV) พระองค์ทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็นเจ้าเหนือวันสะบาโต เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สถาปนาวันสะบาโต พระองค์ไม่เคยถือรักษาวันอาทิตย์เป็นวันบริสุทธิ์ ฉะนั้นในชีวิตของพระองค์ไม่มีการถือรักษาวันอาทิตย์ที่จะถ่ายทอดไปยังผู้ที่เชื่อ ชีวิตของพระองค์ที่ประทานให้นั้นมีแต่การรักษาวันที่เจ็ดของสัปดาห์เป็นวันสะบาโต พระองค์ทรงรักษาวันสะบาโตเมื่อทรงดำเนินอยู่ในโลกมาแล้วอย่างไร ก็จะทรงรักษาต่อไปอย่างนั้นในผู้ที่พระองค์ทรงสถิตอยู่ด้วย {LBF 100.1}
มีคนจำนวนมากที่รักพระคริสต์ แต่ยังไม่รู้ว่าการถือรักษาวันอาทิตย์ไม่ใช่ส่วนหนึ่งในชีวิตของพระองค์ พวกเขาจึงยังไม่มอบเรื่องนี้ให้พระองค์ แต่เมื่อเขาเติบโตขึ้นในพระคุณและความรู้ของพระเยซูคริสต์เจ้าองค์พระผู้ช่วยให้รอดแล้ว เขาจะเรียนรู้ว่าการถือรักษาวันสะบาโตมีความสำคัญในชีวิตของพระเยซูมากพอๆ กับพระบัญญัติข้อที่ให้นับถือบิดามารดา และข้อที่ห้ามพูดเท็จ แล้วเขาจะเปิดใจให้พระองค์ประกอบกิจภายในใจของเขาตามพระบัญญัติข้อนี้เช่นกัน เมื่อเรายอมให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตของพระองค์ภายในเราอย่างครบบริบูรณ์ เราก็จะกลายเป็นลูกของพระเจ้า เพราะชีวิตที่เราดำเนินอยู่นั้นจะเป็นชีวิตของพระองค์ แล้วพระบิดาจะพอพระทัยในเราเหมือนที่พระองค์ทรงพอพระทัยในพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ {LBF 100.2}