42. บทเรียนจากชีวิตจริง
“เพราะฉะนั้น เมื่อเราถูกชำระให้ชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว เราจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (โรม 5:1) {LBF 131.1}
“ฉะนั้นการลงโทษได้มาถึงทุกคนเพราะการละเมิดครั้งเดียวอย่างไร การกระทำอันชอบธรรมครั้งเดียวก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนอย่างนั้น เพราะว่าคนจำนวนมากเป็นคนบาปเพราะคนคนเดียวที่ไม่เชื่อฟังอย่างไร คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังอย่างนั้น” (โรม 5:18–19) {LBF 131.2}
“เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของถ้อยคำ แต่เป็นเรื่องฤทธิ์เดช” (1 โครินธ์ 4:20) พระสัญญาที่กล่าวถึงของประทานแห่งข่าวประเสริฐไม่ได้เป็นเพียงแต่ทฤษฎี แต่เป็นความจริง พระเยซูเสด็จมาในโลกเพื่อสำแดงให้เรารู้จักความจริงของฤทธานุภาพนั้นในวิธีการที่เราจะเข้าใจได้ เราจะพบตัวอย่างของความจริงแห่งข่าวประเสริฐทุกประการในชีวิตของพระเยซู ให้เราลองศึกษาดูว่าข้อพระคัมภีร์ที่กล่าวไว้ข้างต้นเป็นอย่างไรบ้างในชีวิตจริง {LBF 131.3}
ผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือด ชีวิตค่อยๆ เสื่อมถอยไปตามกาลเวลา เงินตราทั้งหมดของนางใช้ไปเพื่อรักษาโรคประจำตัวแต่ก็เปล่าประโยชน์ มีแต่ทรมานมากขึ้นเพราะลองรักษาด้วยวิธีต่างๆ ของหมอ แล้ววันหนึ่งนางได้ยินข่าวเรื่องแพทย์ผู้ประเสริฐจึงเดินทางไปหาพระเยซู นางต้องอับอายเพราะฝูงชนที่แวดล้อมอยู่นั้นจนยากที่จะเข้าไปถึงพระองค์ แต่ “นางคิดในใจว่า ‘ถ้าฉันได้แตะต้องฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายโรค’” (มัทธิว 9:21) ความเชื่อของนางได้รับการสนอง เพราะในทันทีที่นางแตะต้องชายฉลองพระองค์ นางก็หายโรค {LBF 131.4}
ถึงแม้ว่ามีคนมากมายเบียดเสียดกันอยู่รอบๆ พระองค์ แต่พระองค์ทรงรู้สึกถึงการสัมผัสชายฉลองพระองค์เบาๆ ของนาง เพราะการสัมผัสนั้นต่างจากการสัมผัสอื่นๆ ด้วยว่ากระทำด้วยความเชื่อ ซึ่งเป็นเหตุให้ฤทธิ์ซ่านออกจากพระเยซู เมื่อเหล่าสาวกตกใจที่พระองค์หยุดและถามฝูงชนว่า “ใครแตะต้องเรา” พระองค์ตอบพวกเขาว่า “มีคนหนึ่งแตะต้องตัวเรา เพราะเรารู้สึกได้ว่าฤทธิ์ซ่านออกจากตัวเรา” (ลูกา 8:45, 46) ฤทธิ์ที่ซ่านออกไปนั้นคือฤทธิ์อำนาจแห่งชีวิตของพระองค์ ซึ่งฤทธิ์อำนาจนั้นได้ให้ในสิ่งที่นางต้องการ คือชีวิตนั่นเอง {LBF 131.5}
นี่เป็นสิ่งที่เราเข้าใจได้ เพราะอยู่ในโลกของสัมผัสทั้งห้า คือมีสิ่งที่เกิดขึ้นจริง มีฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ไปสู่นาง นี่ไม่ใช่เรื่องที่จินตนาการไปเอง ไม่ใช่การเปรียบเปรย แต่นางได้รับการรักษาให้หายอย่างแท้จริง โดยได้รับชีวิตจากพระเยซู เราไม่มีทางรู้เลยว่าจริงๆ แล้วชีวิตคืออะไรกันแน่ มีแต่พระเจ้าผู้ให้ชีวิตที่ทรงรู้จักชีวิตนั้น เรารู้แต่ว่าเราต้องการ และต้องการความชอบธรรมที่ปรากฏอยู่ในชีวิตของพระคริสต์ แล้วต่อไปนี้เราจะเรียนรู้ว่าจะรับชีวิตนั้นมาได้อย่างไร {LBF 132.1}
พระดำรัสของพระเยซูที่ตรัสกับหญิงนั้นแสดงให้เห็นว่า นางได้รับการรักษาด้วยวิธีการเดียวกันกับที่เราได้รับการชำระให้เป็นคนชอบธรรม ซึ่งทำให้เราอยู่อย่างสงบสุขจำเพาะพระพักตร์พระเจ้า พระองค์ตรัสว่า “ลูกหญิงเอ๋ย ที่หายโรคนั้นก็เพราะลูกเชื่อ จงไปเป็นสุขเถิด” (ลูกา 8:48) ถ้าเราจะนำถ้อยคำของอาจารย์เปาโลให้เข้ากับเรื่องของหญิงนั้น เราอาจจะกล่าวว่า ‘เมื่อนางได้รับสุขภาพที่สมบูรณ์โดยความเชื่อแล้ว นางจึงอยู่อย่างสงบสุขเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา’ (ดู โรม 5:1) บางทีการอ้างแบบนี้อาจจะช่วยให้เราเข้าใจได้ดีขึ้นว่าการเป็นคนชอบธรรมด้วยความเชื่อของพระเยซูเป็นเรื่องจริง {LBF 132.2}
ในเรื่องของผู้หญิงตกเลือดนี้ไม่มีการกล่าวถึงการให้อภัยความบาป แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นๆ ในพระคัมภีร์ เรามั่นใจได้ว่า ในการรักษาของพระเยซูนั้น ไม่ใช่เพียงแต่ร่างกายเท่านั้นที่หายป่วย แต่จิตวิญญาณได้รับการรักษาไปด้วย เราไม่ต้องสงสัยว่าเรื่องนี้จะตรงกับโรม 5:1 หรือไม่ เพราะมีเรื่องราวที่กล่าวถึงการให้อภัยบาปในลูกาบทที่ 7 ซึ่งใช้ถ้อยคำเดียวกันกับเรื่องของหญิงที่ตกเลือดแต่หมายถึงการอภัยบาป คือเรื่องที่หญิงชั่วคนหนึ่งได้เอาน้ำมันหอมกับน้ำตาชโลมพระบาทของพระเยซูอันเป็นการแสดงถึงการกลับใจ พระองค์ไม่ได้ทรงขับไล่ไสส่งนาง แต่ตรัสว่า “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” (ลูกา 7:48) ตามด้วยพระดำรัสที่เหมือนๆ กับที่ตรัสแก่หญิงที่ตกเลือด พระองค์ตรัสกับหญิงชั่วผู้มีร่างกายปกติแต่จิตใจบอบช้ำด้วยโรคแห่งบาปนี้ว่า “ความเชื่อของเธอทำให้เธอรอด จงไปเป็นสุขเถิด” (ลูกา 7:50; ให้เทียบกับลูกา 8:48) {LBF 132.3}
ข้อนี้พิสูจน์อย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่า การรักษาหญิงที่ตกเลือดและการให้อภัยหญิงซึ่งเป็นคนบาปเกิดขึ้นในลักษณะเดียวกัน วิธีการเดียวกัน และผลก็เหมือนกัน เมื่อเรารู้ว่ามีการอัศจรรย์เกิดขึ้นจริงกับผู้หญิงที่เป็นโรค เราก็มั่นใจได้ว่า จะมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นจริงในตัวเราผู้เป็นคนบาปที่กลับใจอย่างแน่นอน เมื่อพระเยซูรักษาหญิงตกเลือดโดยฤทธิ์ที่มองไม่เห็น นางหายเป็นปกติและแข็งแรง ดังนั้นให้เรามั่นใจเถิดว่ามีฤทธิ์อำนาจมาจากพระคริสต์ที่จะเข้ามาในตัวเราผู้เป็นคนบาปที่กลับใจ ทำให้เราสมบูรณ์ปราศจากความบาป {LBF 133.1}
พระเยซูคริสต์ทรงเข้ามาสถิตในเราด้วยชีวิตของพระองค์เอง “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9) “ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่างเหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:7) พระโลหิตคือชีวิต ฉะนั้นสิ่งที่ชำระเราให้ปราศจากบาปนั้น คือชีวิตของพระเยซูคริสต์ หลังจากที่กล่าวถึงความสงบสุขที่เรามีต่อพระพักตร์พระเจ้าทางพระเยซูคริสต์เมื่อเราได้รับการชำระให้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อแล้ว มีข้อความเขียนไว้ว่า “เพราะว่าถ้าขณะที่เรายังเป็นศัตรูต่อพระเจ้าเราได้กลับคืนดีกับพระองค์ โดยที่พระบุตรของพระองค์สิ้นพระชนม์ ยิ่งกว่านั้นอีกเมื่อกลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดโดยพระชนม์ชีพของพระองค์” (โรม 5:10) {LBF 133.2}
หลายคนเข้าใจผิดว่าการที่พระเจ้าอภัยความผิดบาปของเราโดยการประทานความชอบธรรมของพระคริสต์แก่เรา เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นในพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น ถึงแม้ว่าคนเหล่านั้นจะยอมรับว่าพระเจ้าอภัยความบาปได้จริง แต่ในขณะเดียวกันเขาไม่รับรู้ถึงการอภัยนั้นในชีวิตจริง เหมือนเป็นเรื่องไกลตัวที่จินตนาการขึ้นมาเอง ปัญหาอยู่ที่ว่าเขาไม่ติดสนิทกับพระคริสต์จริงๆ เพราะระหว่างสาวกแท้กับพระคริสต์จะมีสายสัมพันธ์อันแท้จริงเช่นเดียวกับกิ่งที่ติดสนิทอยู่กับต้นอย่างไรก็อย่างนั้น คนมักจะยกตัวอย่างผิดๆ เรื่องการให้อภัยบาปว่าเหมือนเศรษฐีที่จ่ายหนี้ให้เพื่อนที่ยากไร้จนกระทั่งหมดหนี้ จริงอยู่คนจนคนนั้นได้ประโยชน์ที่หนี้สินหมดไป แต่ในตัวอย่างนี้เขาไม่มีอะไรที่จะช่วยตัวเองสำหรับอนาคตเลย ซึ่งตรงนี้แหละต่างกับที่พระเจ้าอภัยความบาปของเราในพระคริสต์ {LBF 133.3}
“พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา” (กาลาเทีย 1:4) ซึ่งที่พระองค์ทรงสละพระชนม์ของพระองค์เองนี้ ก็เพื่อให้ชีวิตนั้นได้ปรากฏในเนื้อหนังของเรา (ดู 2 โครินธ์ 4:11) เหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ไปจนถึงปลายกิ่งเล็กๆ ชีวิตของพระคริสต์ได้เข้าไปในร่างกายที่ทรุดโทรมของหญิงที่ตกเลือดผู้น่าเวทนาคนนั้น จนนางหายเป็นปกติ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเรามีความเชื่อในพระองค์ ชีวิตอันไม่จบสิ้นของพระคริสต์จะหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตของเราเพื่อชำระเราให้ปราศจากความบาป และช่วยให้เราดำเนินชีวิตใหม่ในพระองค์ {LBF 133.4}
เมื่อพระเยซูทรงดำเนินชีวิตในโลกนี้พระองค์ทรงรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า (ดู ยอห์น 15:10) มีพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในพระทัยของพระองค์ (ดู สดุดี 40:8) ชีวิตของพระองค์จึงเป็นบทสะท้อนอันครบบริบูรณ์ถึงพระบัญญัติ พระเยซูทรงกระทำตามความชอบธรรมของพระบัญญัติอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนทุกประการ (ดู มัทธิว 5:17) คือความสมบูรณ์แบบของพระบัญญัติได้ปรากฏในชีวิตของพระองค์ และด้วยชีวิตนี้เราจึงได้รับความรอด ไม่ใช่เพราะพระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้ชอบธรรมเมื่อ 2,000 ปีที่แล้ว แต่เนื่องจาก “พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา” และ “ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” “โดยฤทธิ์เดชแห่งชีวิตอันไม่สามารถจะทำลายได้” พระองค์จะช่วยเราให้รอดเมื่อเราเข้ามาหาพระองค์ (ฮีบรู 7:25; 13:8; 7:16) {LBF 134.1}
พระเยซูคริสต์ทรงทำตามความชอบธรรมของพระบัญญัติอย่างสมบูรณ์ทุกประการ เพื่อ “ความชอบธรรมของพระราชบัญญัติจะได้สำเร็จในพวกเรา ผู้ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ” (โรม 8:4 TKJV) มีอีกฉบับหนึ่งแปลข้อนี้ว่า “เพื่อข้อกำหนดอันชอบธรรมของบทบัญญัติจะได้สำเร็จครบถ้วนในตัวเราทั้งหลายผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามวิสัยบาป แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ” (TNCV) ความหมายคือพระเยซูทรงทำตามข้อกำหนดของพระบัญญัติ เพื่อให้ข้อกำหนดเหล่านั้นสำเร็จในตัวเราอย่างบริบูรณ์ ไม่ใช่ “โดยเรา” แต่ “ในเรา” เพราะเราไม่มีแม้แต่กำลังที่จะทำในสิ่งที่เรารู้ว่าถูกต้อง แต่พระคริสต์ผู้สถิตอยู่ในใจจะเป็นผู้กระทำความชอบธรรมด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ผ่านอวัยวะทั้งหลายที่เรามอบให้พระองค์ พระองค์ทรงทำเช่นนี้ให้กับทุกคนที่ไว้วางใจในพระองค์ และด้วยเหตุนี้เอง “คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟัง” (โรม 5:19) {LBF 134.2}
ให้เราจดจำไว้อยู่สองประการ คือ 1) การรักษาหญิงตกเลือดอย่างอัศจรรย์นั้นแสดงให้รู้ว่าเราจะรับชีวิตของพระคริสต์ได้อย่างไร 2) เราได้เรียนรู้ว่าเมื่อเรารับชีวิตของพระคริสต์แล้วจะเป็นอย่างไร เราเรียนรู้ด้วยการอ่านพระบัญญัติสิบประการและด้วยการศึกษาชีวิตของพระคริสต์ ทุกสิ่งที่มีอยู่ในชีวิตของพระองค์ขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในโลกก็ยังคงอยู่ในชีวิตของพระองค์ในเวลานี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่พระองค์จะประทานให้แก่เรา ส่วนสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในชีวิตของพระองค์นั้น พระองค์ไม่สามารถประทานให้เราได้ ทุกสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในชีวิตของพระองค์ก็คือบาป และพระคริสต์ไม่ใช่ผู้รับใช้ความบาป {LBF 134.3}