33. จงมีความเชื่อในพระเจ้า
“จงมีความเชื่อในพระเจ้า” (มาระโก 11:22) พระเยซูตรัสประโยคนี้กับเหล่าสาวกของพระองค์เมื่อพวกเขาตกใจที่ต้นมะเดื่อที่ไร้ผลเหี่ยวแห้งไปอย่างกระทันหัน พระดำรัสนี้ยังมีความหมายสำหรับเราในทุกวันนี้ไม่ต่างกับสาวกกลุ่มเล็กที่ติดตามพระเยซูขณะที่ทรงดำเนินอยู่ในแคว้นยูเดีย เป็นพระวจนะซึ่งให้ชีวิตนิรันดร์ที่ตรัสมายังคนบาปผู้นั่งอยู่ในความมืดทึบและเงาแห่งความตาย ทุกอย่างที่พระเจ้าสื่อสารกับจิตใจของเรานั้นรวมอยู่ในพระดำรัสข้อนี้ของพระเยซู {LBF 103.1}
เราแน่ใจหรือยังว่าเรามีความเชื่อในพระเจ้า เรารู้จักหรือยังว่าความเชื่อคืออะไร เหล่าสาวกคิดว่าเขามีความเชื่อ แต่เมื่อมีความยากลำบากเข้ามาทดสอบความเชื่อแล้ว ปรากฏว่าพวกเขาไม่มี ความเชื่อทนต่อการทดสอบได้ทุกอย่าง แต่ถ้าไม่ใช่ความเชื่อก็จะสอบไม่ผ่าน ถ้าเรามีความเชื่อเราจะยืนอยู่ได้โดยไม่สั่นคลอนเมื่อมรสุมและการทดลองโหมกระหน่ำเข้ามาในชีวิต แต่ถ้าหากว่าความเชื่อที่เรามีไม่ใช่ความเชื่อที่แท้จริง เมื่อพายุพัดถล่มเราก็จะล้มลง จำเป็นที่เราจะต้องแน่ใจว่า ขณะนี้ชีวิตของเราสร้างอยู่บนศิลามั่นคงไม่ใช่บนทราย {LBF 103.2}
ศิลามั่นคงคือพระวจนะของพระเจ้า และถ้าปราศจากพระวจนะแล้วความเชื่อเกิดขึ้นไม่ได้เลย พระคริสต์ทรงเป็นพระศิลา และทรงเป็นพระวจนะ หรือที่เรียกว่า พระวาทะ (ดู ยอห์น 1:1, 14) พระวจนะอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่ไม่มั่นคง เพราะเราไม่ชินกับการเปรียบเทียบถ้อยคำกับศิลาที่แข็งแกร่ง แต่พระวจนะของพระเจ้ามั่นคงดังศิลา และมีอยู่จริงเหมือนที่พระเจ้าทรงเป็นความจริง โลกและสรรพสิ่งที่อยู่ในโลกจะเสื่อมสูญไป แต่พระวจนะของพระเจ้าจะดำรงมั่นคงดังพระบัลลังก์นิรันดร์ของพระเจ้า โลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในนั้นถูกสร้างมาด้วยพระวจนะ และด้วยพระวจนะอันเดียวกันนี้สิ่งเหล่านั้นจะถูกทำลายให้สูญสิ้นไป {LBF 103.3}
ความเชื่อแท้ประกอบด้วยสองส่วนคือ ความศรัทธาและพระวจนะของพระเจ้า ขณะที่ความเชื่อปลอมมีแค่ส่วนเดียว คือปราศจากพระวจนะของพระเจ้าและพึ่งพาสิ่งอื่นเป็นที่ยึดเหนี่ยวเสมอ เช่น ความรู้สึก ความหวัง ความปรารถนา กระบวนความคิด หรือคำพูดของคนอื่นที่ ‘ว่ากันว่า’ ฝ่ายความเชื่อแท้รับเอาพระวจนะตามที่บันทึกไว้โดยไม่สงสัย ส่วนความเชื่อปลอมมักจะแก้ตัวและอธิบายกลับไปกลับมาจนพระวจนะหมดความหมาย แต่ความเชื่อแท้ “แสดงออกเป็นการกระทำด้วยความรัก” (กาลาเทีย 5:6) สำหรับความเชื่อปลอมนั้นไม่ทำอะไรเลย หรือถ้าทำดีก็มีเหตุผลที่เห็นแก่ตัวแอบแฝงอยู่เบื้องหลัง {LBF 104.1}
พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า ถ้าเรามีความเชื่อ เราสามารถทูลขอสิ่งใดจากพระเจ้า แล้วพระองค์ก็จะประทานให้ เพราะเมื่อเรามีความเชื่อเราจะขอแต่สิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า พระองค์จะทรงรับฟังการทูลขอเช่นนั้นและตอบทุกครั้ง ความเชื่อต้องอาศัยพระวจนะของพระเจ้าเสมอ และพระวจนะเป็นบทสะท้อนให้เห็นถึงน้ำพระทัยของพระองค์ เมื่อเราทูลขอด้วยความเชื่อ เราก็จะไว้วางใจในพระเจ้าว่าเราจะได้รับในสิ่งที่ทูลขอ โดยยึดพระสัญญาของพระเจ้าเป็นที่ตั้ง เราไม่เพียงแต่เชื่อว่าเราจะได้รับ แต่เราได้รับแล้วอย่างแท้จริง เรื่องนี้จึงสำคัญมากและแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเรามีความเชื่อแท้หรือไม่ บางคนยอมรับและเห็นประโยชน์ของความเชื่อที่มีอยู่ในคนอื่น แต่ด้วยจิตใจที่มืดบอดและความคิดฝ่ายเนื้อหนังที่ผิดเพี้ยน จึงคิดว่าคงจะไม่มีประโยชน์อะไรที่เขาเองจะมีความเชื่อในพระเจ้า {LBF 104.2}