5. การทดสอบคาอินกับอาแบล
สองพี่น้องที่แตกต่าง
คาอินกับอาแบล บุตรของอาดัม มีอุปนิสัยที่แตกต่างกันมาก อาแบลมีจิตวิญญาณที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า เขาเห็นว่าพระผู้สร้างทรงมีพระเมตตาและความยุติธรรมในการติดต่อสัมพันธ์กับมนุษยชาติที่ตกสู่ความบาป เขาจึงยอมรับความหวังที่จะได้รับการทรงไถ่ด้วยใจสำนึกถึงพระคุณ ส่วนคาอินนั้นกลับยึดติดอยู่กับความดื้อรั้น และบ่นต่อว่าพระเจ้าที่โลกและมนุษยชาติถูกสาปแช่งเนื่องด้วยความบาปของอาดัม เขาปล่อยใจให้เป็นไปตามแนวทางเดียวกับที่นำไปสู่ความอัปยศของซาตาน กล่าวคือปล่อยตัวไขว่คว้าหาเกียรติยศศักดิ์ศรีสำหรับตนเอง และปล่อยใจให้คิดสงสัยความยุติธรรมและสิทธิอำนาจของพระเจ้า {PP 71.1}
พี่น้องทั้งสองถูกทดสอบอย่างเดียวกันกับอาดัมก่อนหน้านั้น เพื่อพิสูจน์ว่าเขาจะไว้วางใจและเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้าหรือไม่ เขาทั้งสองคุ้นเคยกับวิธีการที่ทรงจัดไว้เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และเข้าใจว่าระบบการถวายบูชาที่พระเจ้าทรงกำหนดให้นั้นเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระผู้ช่วยให้รอด การถวายบูชาเหล่านี้เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อในพระองค์ โดยการถวายนี้เองเป็นการยอมรับว่า เขาต้องพึ่งพระองค์อย่างสิ้นเชิงเพื่อจะได้รับการอภัยโทษ เขารู้ว่าการปฏิบัติตามแผนการทรงไถ่ของพระเจ้าเป็นการพิสูจน์การเชื่อฟังตามน้ำพระทัยของพระองค์ ถ้าปราศจากการหลั่งไหลของโลหิตแล้ว ก็จะไม่มีการลบล้างความบาป แล้วเขาจะต้องถวายบูชาลูกแกะหัวปี เป็นการแสดงถึงความเชื่อในพระโลหิตขององค์พระคริสต์ ผู้ทรงเป็นเครื่องไถ่บาปตามพระสัญญาให้มนุษย์กลับคืนดีกับพระเจ้า นอกจากนั้นก็จะมีการถวายผลแรกของแผ่นดินแด่พระเจ้าเป็นเครื่องโมทนาพระคุณ {PP 71.2}
พี่น้องทั้งสองได้ก่อสร้างแท่นบูชาเหมือนกันและต่างก็นำเครื่องถวายมา อาแบลได้ถวายบูชาลูกแกะตามคำสั่งของพระเจ้า แล้วพระองค์ทรง “พอพระทัยอาแบลและเครื่องบูชาของเขา” มีแสงไฟแลบลงมาจากสวรรค์เผาผลาญเครื่องบูชาจนหมดสิ้น ส่วนคาอินนั้นไม่ได้เอาใจใส่ต่อพระบัญชาอันชัดแจ้งของพระเจ้า เขานำเอาแต่ผลไม้มาถวาย แล้วก็ไม่มีสัญญาณใดๆ จากสวรรค์ที่แสดงว่าพระเจ้าทรงยอมรับการถวายของตน อาแบลขอร้องให้พี่ชายเข้าเฝ้าพระเจ้าตามวิธีที่พระองค์ทรงกำหนดให้ แต่ก็ยิ่งทำให้คาอินตั้งหน้าทำตามใจตัวเองมากยิ่งขึ้น ในฐานะที่เป็นพี่ เขารู้สึกว่าไม่สมเกียรติที่จะฟังน้องชายสั่งสอน เขาจึงดูหมิ่นคำแนะนำของอาแบล {PP 71.3}
คาอินเข้าเฝ้าพระเจ้าไปพลางบ่นพึมพำไปพลาง ในใจไม่ศรัทธาในการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ตามพระสัญญา หรือความจำเป็นที่เขาจะต้องถวายบูชา ในขณะที่นำเครื่องถวายมาเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจต่อบาป ความรู้สึกนั้นก็ไม่ต่างกับความรู้สึกของหลายคนในสมัยนี้ที่ถือว่าการปฏิบัติตามแผนการของพระเจ้าอย่างครบถ้วนนั้นแสดงถึงความอ่อนแอ และเป็นการยอมรับว่าความรอดของตนขึ้นอยู่กับการไว้วางใจอย่างสิ้นเชิงในการทรงไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้นั้น คาอินเลือกที่จะพึ่งตัวเอง เขาจะมาหาพระเจ้าด้วยบุญกุศลของตนเอง และจะไม่นำลูกแกะที่หลั่งเลือดมาเป็นเครื่องบูชา แต่จะนำผลไม้จากน้ำพักน้ำแรงของตนเองมาถวาย ราวกับว่าได้ทำสิ่งที่พระเจ้าทรงโปรดปราน โดยคาดว่าจะทำให้พระองค์ทรงยอมรับเขามากยิ่งขึ้น คาอินเชื่อฟังในเรื่องการสร้างแท่นบูชากับการนำเครื่องถวายมา แต่เป็นการเชื่อฟังเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในส่วนที่สำคัญที่แสดงถึงการยอมรับว่าต้องการพระผู้ไถ่นั้นเขาไม่ได้ทำ {PP 72.1}
ถ้าจะพูดถึงพื้นฐานการเกิดและการสั่งสอนทางหลักศาสนาแล้ว สองพี่น้องนี้ก็ได้รับเหมือนๆ กัน เขาทั้งสองเป็นคนบาป และได้รับรู้ว่าสมควรที่จะนับถือยำเกรงและนมัสการพระเจ้า มองจากภายนอกแล้วความศรัทธาของทั้งสองเหมือนกันในระดับหนึ่ง แต่เบื้องหลังมีข้อแตกต่างกันอย่างใหญ่หลวง {PP 72.2}
“เพราะอาแบลมีความเชื่อ จึงได้นำเครื่องบูชาอันประเสริฐกว่าของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า” (ฮีบรู 11:4 TH1971) อาแบลรู้ซึ้งถึงหลักการสำคัญต่างๆ ของการทรงไถ่ เขาแลเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาป และความบาปของตนพร้อมกับความตายอันเป็นโทษของความบาปนั้นกำลังกั้นอยู่ระหว่างเขากับพระเจ้า เขานำชีวิตสัตว์อันเป็นเหยื่อที่ต้องถูกฆ่าบูชานั้นมาถวายเป็นการยอมรับความศักดิ์สิทธิ์ของพระบัญญัติที่ถูกล่วงละเมิดนั้น เลือดแกะที่ไหลออกได้เล็งถึงพระคริสต์ที่จะทรงพลีพระชนม์บนไม้กางเขนแห่งคาลวารีในอนาคต เขาวางใจในพระองค์ที่จะทรงให้เขาคืนดีกับพระเจ้า และได้รับการยืนยันว่าตนเป็นคนชอบธรรม และพระเจ้าทรงยอมรับเครื่องถวายนั้น {PP 72.3}
คาอินกับอาแบลมีโอกาสที่จะเรียนรู้และยอมรับความจริงเท่ากัน คาอินไม่ใช่เหยื่อเคราะห์ร้ายที่ถูกพระเจ้ากำหนดโดยพลการ มิใช่ว่าพระเจ้าทรงลิขิตให้น้องชายเป็นที่พอพระทัยและให้พี่ชายถูกปฏิเสธ อาแบลเลือกเองที่จะเชื่อฟังและศรัทธา ส่วนคาอินนั้นเลือกเองที่จะกบฏและไม่เชื่อ นี่ต่างหากคือเหตุผลที่พระเจ้าทรงยอมรับอาแบลแต่ไม่ทรงยอมรับคาอิน {PP 72.4}
ตัวแทนคนสองจำพวก
คาอินกับอาแบลเป็นตัวแทนของคนสองจำพวกที่จะอยู่ในโลกจนถึงวันอวสาน กลุ่มหนึ่งวางใจในเครื่องไถ่บาปที่ทรงกำหนดไว้ แต่อีกกลุ่มหนึ่งเสี่ยงที่จะพึ่งในความดีความชอบของตนเอง เครื่องถวายของเขาปราศจากคุณพระบารมีของพระเจ้า จึงไม่อาจนำเขาให้เป็นที่โปรดปรานของพระองค์ได้ มีทางเดียวเท่านั้นที่จะได้รับการอภัยโทษเนื่องจากการล่วงละเมิดคือการพึ่งในพระมหากรุณาธิคุณของพระเยซู ใครที่รู้สึกว่าไม่ต้องพึ่งในพระโลหิตของพระคริสต์ หรือคิดว่าเขาจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าได้ด้วยการกระทำของตนเองโดยปราศจากพระคุณของพระเจ้า ก็กำลังหลงผิดอย่างเดียวกับคาอิน ถ้าเขาไม่ยอมรับการชำระโดยพระโลหิต เขาจะต้องถูกกล่าวโทษ พระเจ้ามิได้ทรงกำหนดวิธีอื่นสำหรับการปลดปล่อยมนุษย์จากการเป็นทาสของความบาป {PP 72.5}
คนส่วนมากในโลกนับถือศาสนาตามแบบของคาอิน เพราะศาสนาเทียมเท็จแทบทุกศาสนาก่อขึ้นบนหลักการอันเดียวกันที่ว่ามนุษย์สามารถพึ่งพาความเพียรพยายามของตนเองเพื่อจะให้ได้มาซึ่งความรอด บ้างก็อ้างว่ามนุษย์ไม่ต้องการการไถ่ หากต้องการแต่การพัฒนา คือสามารถปรับปรุงเสริมสร้างตนเองขึ้นใหม่และทำให้สูงส่งยิ่งๆ ขึ้นได้ คาอินคิดจะเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโดยถวายของที่ปราศจากโลหิตฉันใด คนประเภทนี้ก็คาดหวังว่าจะยกมนุษย์ให้ถึงมาตรฐานของพระเจ้าได้โดยไม่ต้องขึ้นกับการทรงไถ่ของพระคริสต์ฉันนั้น ประวัติเรื่องราวของคาอินได้แสดงให้เห็นถึงผลของทฤษฎีดังกล่าวว่าจะเป็นอย่างไรหากแยกจากพระคริสต์ มนุษย์ไม่มีพลังอำนาจในตนเองที่จะเสริมสร้างชีวิตให้ดีขึ้นมาใหม่ได้ เนื่องจากธรรมชาติของมนุษย์ไม่ได้โน้มเอียงไปหาพระเจ้าเบื้องบน แต่โน้มลงสู่ทางของซาตานเบื้องต่ำ พระคริสต์ทรงเป็นความหวังเดียวที่เรามี “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) {PP 73.1}
ความเชื่อที่แท้จริงคือการพึ่งในพระคริสต์อย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะแสดงออกด้วยการเชื่อฟังกฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระเจ้า ประเด็นการขัดแย้งของสงครามประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอาดัมมาจนถึงปัจจุบันก็เกี่ยวกับการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ในทุกยุคทุกสมัยมีคนที่อ้างสิทธิ์ในพระกรุณาธิคุณของพระเจ้า ว่าเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ทั้งๆ ที่เขาปฏิเสธพระบัญชาบางประการของพระองค์อยู่ แต่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “ความเชื่อนั้นจะบริบูรณ์ด้วยการประพฤติ” และถ้าปราศจากการประพฤติปฏิบัติแล้ว ความเชื่อก็ “เป็นสิ่งที่ตายแล้ว” (ยากอบ 2:22, 17 THSV) ผู้ที่อ้างตัวว่ารู้จักพระเจ้า “แต่มิได้ประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดมุสาและความจริงไม่ได้อยู่ในคนนั้นเลย” (1 ยอห์น 2:4 TH1971) {PP 73.2}
ฆาตกรคนแรก
เมื่อคาอินเห็นว่าพระเจ้าทรงปฏิเสธเครื่องถวายของตน เขาก็โกรธทั้งพระเจ้าและอาแบลด้วย โกรธที่พระเจ้าไม่ทรงรับสิ่งที่ตนหามาทดแทนเครื่องบูชาที่พระองค์ทรงกำหนดให้ และก็โกรธน้องชายที่เลือกเชื่อฟังพระเจ้าแทนที่จะร่วมกบฏกับเขา ถึงแม้ว่าคาอินปฏิเสธพระบัญชาของพระเจ้า แต่พระองค์ก็มิได้ทรงปล่อยเขาไปตามยถากรรม แต่ยังทรงกรุณาใช้เหตุผลกับเขาผู้ซึ่งทำตัวไร้เหตุผล แล้วพระเจ้าตรัสกับคาอินว่า “เจ้าโกรธเคืองหน้าบูดบึ้งอยู่ทำไม” พระองค์ทรงใช้ทูตสวรรค์ไปเพื่อเตือนคาอินว่า “ถ้าเจ้าทำดี เราก็จะพอใจรับเจ้ามิใช่หรือ ถ้าเจ้าทำไม่ดี บาปก็หมอบอยู่ที่ประตู” การตัดสินใจขึ้นอยู่กับคาอินเอง ถ้าเขาวางใจในพระกรุณาธิคุณของพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงสัญญาไว้นั้น และทำตามกฎเกณฑ์ของพระเจ้า เขาก็จะเป็นที่โปรดปรานของพระองค์ แต่ถ้าเขายังฝ่าฝืนอยู่ก็จะไม่มีข้อทักท้วงเมื่อพระเจ้าทรงปฏิเสธเขา {PP 73.3}
แต่แทนที่คาอินจะยอมรับว่าตนได้ทำบาป เขายังคงบ่นต่อว่าพระเจ้าว่าไม่ยุติธรรม และคิดอิจฉาชิงชังอาแบลอยู่ เขาตำหนิน้องชายอย่างโกรธแค้น และพยายามยั่วยุให้น้องเถียงกับตนในเรื่องที่พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อเขาทั้งสอง อาแบลสนับสนุนความยุติธรรมและคุณความดีของพระเจ้าด้วยความสุภาพถ่อมตนทั้งไม่หวาดหวั่น แต่หนักแน่นมั่นคง เพื่อให้คาอินเห็นความผิดของตนและพยายามให้ยอมรับผิดเสีย และชี้แจงให้เห็นถึงพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่ทรงไว้ชีวิตพ่อแม่ของเขา ทั้งที่พระองค์อาจทรงลงโทษให้ทั้งสองตายทันทีก็ได้ อาแบลยืนยันว่าพระเจ้าทรงรักพวกเขา มิฉะนั้นพระองค์จะไม่ประทานพระบุตรผู้บริสุทธิ์ให้ทนทุกข์ทรมานและรับโทษบาปของพวกเขาดอก ทั้งหมดนี้ทำให้คาอินยิ่งโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ตามเหตุผลและการสำนึกผิดชอบแล้ว คาอินรู้ว่าอาแบลเป็นฝ่ายถูก แต่เขาเดือดดาลที่น้องชายซึ่งเคยใส่ใจฟังเขามาตลอดกลับกล้าขัดขืนไม่เห็นด้วยและไม่เข้าข้างเขาในการกบฏ ด้วยอารมณ์โมโหฉุนเฉียวนั้นเองคาอินจึงได้ฆ่าน้องชายของตนเสีย {PP 74.1}
คาอินเกลียดชังและได้ฆ่าน้องชายของตน ไม่ใช่เพราะอาแบลทำอะไรผิด แต่ “เพราะการกระทำของเขาชั่ว และการกระทำของน้องนั้นชอบธรรม” (1 ยอห์น 3:12 TH1971) และก็เป็นเช่นนั้นมาตลอดทุกยุคทุกสมัยที่คนชั่วเกลียดชังคนที่ดีกว่าตน การดำเนินชีวิตที่เชื่อฟังและเชื่อมั่นโดยไม่เอนเอียงของอาแบลเป็นเสมือนการถูกตำหนิอยู่ตลอดเวลาสำหรับคาอิน “เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่างและไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะปรากฏ” (ยอห์น 3:20 TH1971) แสงสว่างจากสวรรค์อันเจิดจ้ายิ่งสะท้อนออกมาจากอุปนิสัยของผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ของพระเจ้ามากเท่าไร ความบาปของคนอธรรมก็ยิ่งปรากฏชัดมากขึ้นเท่านั้น และก็ยิ่งทำให้พวกเขาตั้งใจทำลายผู้ที่รบกวนความรื่นเริงของตน {PP 74.2}
เรื่องอาแบลถูกฆ่านั้นเป็นตัวอย่างครั้งแรกของความจงเกลียดจงชังนับตั้งแต่ที่พระเจ้าตรัสว่าจะเกิดขึ้นระหว่างงูกับพงศ์พันธุ์ของหญิง คือระหว่างซาตานและสมุนของมันกับพระเยซูและผู้ที่ติดตามพระองค์ ความบาปของมนุษย์เป็นเหตุให้ซาตานเข้ามาควบคุมมนุษยชาติ แต่พระคริสต์จะทรงช่วยให้เขาสามารถปลดแอกของมันออกได้ เมื่อไรที่มีคนละทิ้งทางบาปโดยเชื่อในพระเยซูผู้ทรงเป็นลูกแกะของพระเจ้านั้น ซาตานก็จะเกิดความเกรี้ยวกราดขึ้น ชีวิตบริสุทธิ์ของอาแบลเป็นดังคำพยานปรักปรำข้ออ้างของซาตานที่ว่ามนุษย์ไม่สามารถรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าได้ เมื่อจอมชั่วร้ายเร่งเร้าให้คาอินไม่พอใจที่อาแบลไม่อยู่ในโอวาทของตน เขาโกรธเคืองยิ่งนักจนกระทั่งได้ปลิดชีวิตน้องของตนเสีย ที่ไหนก็ตามที่มีคนยืนหยัดเพื่อพิสูจน์ถึงความชอบธรรมแห่งพระบัญญัติของพระเจ้า วิญญาณอันเดียวกันนี้แหละจะปรากฏขึ้นต่อต้านเขา คือวิญญาณนั้นที่เป็นเหตุให้คนในสมัยต่างๆ ก่อไฟเผาสาวกของพระเยซูทั้งเป็น แต่ที่ซาตานกับสมัครพรรคพวกของมันยุยงให้คนกระทำความโหดร้ายทารุณเพิ่มทวีขึ้นต่อผู้ติดตามพระเยซูนั้น ก็เพราะว่าพวกมันไม่สามารถทำให้เขาอยู่ใต้การบังคับบัญชาของตนได้ นั่นแหละคือความโกรธเคืองของศัตรูผู้พ่ายแพ้ ทุกคนที่สละชีพเพื่อพระเยซูได้เสียชีวิตในฐานะผู้พิชิต ดังที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวว่า “เขาเหล่านั้นชนะพญามาร (ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ที่เขาเรียกกันว่ามารและซาตาน) ด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดก และเพราะคำพยานของพวกเขาเอง เพราะเขาไม่ได้เสียดายที่จะพลีชีพของตน” (วิวรณ์ 12:11, 9 TH1971) {PP 77.1}
ไม่นานนักฆาตกรคาอินก็ถูกเรียกให้รับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ตนได้ก่อขึ้น “พระเจ้าตรัสถามคาอินว่า ‘อาแบลน้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน’ คาอินจึงทูลว่า ‘ข้าพระองค์ไม่ทราบ ข้าพระองค์หรือเป็นผู้ดูแลน้อง’” คาอินได้ถลำลึกลงไปในความบาปจนไม่รู้สึกว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับเขา เขาลืมว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ และทรงสัพพัญญู เขาจึงโกหกเพื่อหวังจะซ่อนความผิดของตน {PP 77.2}
พระเจ้าตรัสกับคาอินอีกว่า “เจ้าทำอะไรไป โลหิตของน้องเจ้าส่งเสียงร้องฟ้องขึ้นมาจากดิน” พระเจ้าทรงให้โอกาสคาอินได้สารภาพความบาป และทรงให้เวลาทบทวนเหตุการณ์ เขารู้ว่าสิ่งที่เขากระทำลงไปนั้นใหญ่หลวงนัก และรู้อยู่แก่ใจด้วยว่าตนได้โกหกเพื่อซ่อนความผิดแต่ก็ยังดื้อรั้น แล้วพระเจ้ามิทรงรีรออีกที่จะกล่าวโทษ พระสุรเสียงที่เคยตรัสเพื่อวิงวอนและสั่งสอนนั้นคราวนี้ทรงกล่าวเป็นถ้อยคำที่น่ากลัวยิ่งนักว่า “บัดนี้เจ้าจะต้องถูกสาปจากที่ดินที่ได้อ้าปากรับโลหิตน้องจากมือเจ้า ต่อไปเมื่อเจ้าทำนาจะไม่เกิดผลมาก เจ้าจะต้องหลบหนีและพเนจรไปในโลก” {PP 77.3}
ถึงแม้ว่าอาชญากรรมที่คาอินได้กระทำสมควรได้รับโทษถึงตาย แต่พระผู้สร้างผู้กอปรด้วยพระเมตตาคุณทรงไว้ชีวิตเขาและทรงให้โอกาสกลับใจใหม่ แต่ใจของคาอินมีแต่จะยิ่งแข็งกระด้างมากขึ้น ตลอดชีวิตที่เหลืออยู่นั้นเขาอยู่เพื่อสนับสนุนการกบฏต่ออำนาจอธิปไตยของพระเจ้า และกลายเป็นต้นตระกูลของชนชาติที่หมกมุ่นปล่อยตัวอยู่กับความบาป คนนี้เพียงคนเดียวที่ออกจากทางของพระเจ้า ได้กลายเป็นเครื่องมือให้ซาตานใช้เพื่อล่อลวงคนอื่นๆ แบบอย่างและอิทธิพลของเขาเป็นพลังชักนำคนจำนวนมากไปในทางที่เสื่อมศีลธรรม จนกระทั่งโลกนี้เต็มไปด้วยความชั่วช้าสามานย์และความโหดเหี้ยมทารุณจนถึงวาระที่จะต้องถูกทำลาย {PP 78.1}
สงครามประวัติศาสตร์ดำเนินต่อไป
ในการที่พระองค์ทรงไว้ชีวิตฆาตกรคนแรกนั้น พระองค์ทรงสำแดงให้จักรวาลเห็นบทเรียนของสงครามประวัติศาสตร์ระหว่างพระเจ้ากับซาตาน ประวัติอันมืดมนของคาอินกับเชื้อสายของเขาเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้ายอมให้คนบาปมีชีวิตอมตะเพื่อก่อกบฏต่อพระเจ้า การที่พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยก็มีแต่จะทำให้คนชั่วยิ่งมีใจแข็งกร้าวและท้าทายพระองค์ไปตลอดชั่วชีวิตที่ดำรงอยู่ในความบาป 15 ศตวรรษหลังจากที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษคาอิน จักรวาลได้เห็นเป็นพยานถึงผลพวงจากตัวอย่างและอิทธิพลของคาอินที่ทำให้โลกเต็มไปด้วยอาชญากรรมกับความโสโครกอย่างท่วมท้น และเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าการตัดสินลงโทษมนุษยชาติเพราะการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์นั้นทั้งเมตตาและยุติธรรม มนุษย์ซึ่งอยู่ในความบาปยิ่งมีชีวิตยาวนานมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งปล่อยตัวอยู่ในความบาปมากขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้น ที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษคนชั่วโดยปลิดชีวิตผู้ที่ปล่อยตัวตามความบาปอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ และทรงกอบกู้โลกออกจากอิทธิพลของผู้ที่มีจิตใจแข็งกระด้างในการกบฏนั้นถือว่าเป็นพระพรไม่ใช่การสาปแช่ง {PP 78.2}
ซาตานทำงานอยู่ตลอดเวลาด้วยกำลังความสามารถอันแรงกล้าและวิธีอำพรางตัวเองนับพันๆ วิธี เพื่อทำให้คนเข้าใจพระอุปนิสัยและการปกครองของพระเจ้าผิดไป มันทำงานด้วยพลังอำนาจฉกาจฉกรรจ์และการวางแผนอย่างรอบคอบแยบยลเพื่อทำให้ชาวโลกยังคงหลงตามการหลอกลวงของมัน พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงสัพพัญญูและทรงฤทธานุภาพสูงสุด ทรงเห็นตั้งแต่ปฐมกาลตลอดจนถึงอวสาน และทรงมีแผนการอันกว้างไกลและครอบคลุมในการกำจัดความชั่ว พระองค์ไม่ได้ทรงประสงค์ที่จะกำจัดการกบฏเพียงเท่านั้น แต่จะทรงสำแดงให้ทั่วทั้งจักรวาลเห็นธาตุแท้ของการกบฏด้วย แผนการของพระองค์ได้ดำเนินไปให้เห็นถึงความยุติธรรมและพระเมตตาคุณของพระองค์ และพิสูจน์ให้เห็นถึงพระปัญญาและความชอบธรรมของพระองค์ในการจัดการกับความชั่ว {PP 78.3}
ผู้บริสุทธิ์ในโลกอื่นๆ กำลังจ้องดูเหตุการณ์บนโลกนี้ด้วยความสนใจยิ่งนัก พวกเขาเห็นว่าสภาพของโลกก่อนน้ำท่วมนั้นเป็นตัวอย่างถึงผลของการปกครองที่ลูซีเฟอร์เคยพยายามจัดตั้งในสวรรค์ โดยปฏิเสธอำนาจของพระคริสต์และสลัดพระบัญญัติของพระเจ้าทิ้งไป ผู้บริสุทธิ์เหล่านั้นได้เห็นว่าคนบาปก่อนน้ำท่วมโลกที่ท้าสวรรค์เป็นพลเมืองที่ซาตานปกครองอยู่ “เค้าความคิดในใจของเขา ล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป” (ปฐมกาล 6:5 TH1971) อารมณ์ความต้องการและความนึกคิดทุกอย่างล้วนแต่เป็นศัตรูต่อสู้กับหลักการบริสุทธิ์ สันติ และกอปรด้วยความรักของพระเจ้า เป็นตัวอย่างของสภาพเสื่อมทรามที่เกิดขึ้นตามยุทธวิธีของซาตานที่จะไม่ให้ชีวิตทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างอยู่ภายใต้พระบัญญัติอันบริสุทธิ์ของพระองค์ {PP 78.4}
ตามหลักข้อเท็จจริงของสงครามประวัติศาสตร์ที่ดำเนินมานั้น พระเจ้าจะทรงสำแดงถึงหลักการการปกครองของพระองค์ที่ซาตานกับบรรดาผู้ที่หลงกลอุบายของมันได้บิดเบือน โลกทั้งโลกจะยอมรับความยุติธรรมของพระองค์ในที่สุดถึงแม้ว่าการยอมรับนั้นจะสายเกินกว่าที่จะช่วยผู้กบฏให้พ้นโทษ ทั้งจักรวาลเห็นด้วยกับพระองค์ที่ทรงปฏิบัติตามแผนการอันยิ่งใหญ่ให้ดำเนินไปแต่ละขั้นตอนจนถึงความสำเร็จบริบูรณ์ และจะเห็นด้วยกับพระองค์เมื่อทรงกำจัดการกบฏให้หมดสิ้นในที่สุด เมื่อนั้นก็จะเห็นว่าทุกคนที่ทอดทิ้งกฎเกณฑ์ของพระเจ้าได้เข้าไปอยู่ฝ่ายซาตานและทำสงครามต่อสู้กับพระคริสต์ เมื่อซาตานผู้ทำตัวเป็นเจ้าของโลกถูกพิพากษาและทุกชีวิตที่ร่วมกับมันต้องร่วมชะตาอันเดียวกันนั้น แล้วทั้งจักรวาลจะเป็นพยานและกล่าวด้วยกันว่า “ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์แห่งประชาชาติทั้งปวง วิธีการทั้งหลายของพระองค์ยุติธรรมและเที่ยงตรง” (วิวรณ์ 15:3 TH1971) {PP 79.1}