17. พระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม
“ถ้าผู้ใดทำบาป เราก็มีพระองค์ผู้ทูลแก้ต่างต่อพระบิดาเพื่อเราทั้งหลาย คือพระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม” (1 ยอห์น 2:1 TNCV) {LBF 52.1}
ในบรรดาชีวิตที่เคยอาศัยอยู่บนโลกใบนี้ มีแต่พระเยซูเท่านั้นที่ “ไม่ได้ทรงทำบาปเลย” (1 เปโตร 2:22) มีเพียงพระองค์เท่านั้นที่เราสามารถพูดได้ว่า “ในพระองค์ไม่มีความอธรรม” (สดุดี 92:15) ทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่า พระองค์ไม่มีบาป และที่กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด เพราะพระองค์ทรงมีสภาพเดียวกับพระเจ้า “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” “พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา” (ยอห์น 1:1, 14) พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ปรากฏอยู่ในเนื้อหนังของมนุษย์ พระนามของพระองค์จึงเรียกว่า “อิมมานูเอล แปลว่า พระเจ้าสถิตกับเรา” (มัทธิว 1:23) {LBF 52.2}
เพราะว่า “พระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย” (1 ยอห์น 3:5) “นี่จะเป็นนามซึ่งเราจะเรียกท่าน คือ ‘พระเจ้าเป็นความชอบธรรมของเรา’” (เยเรมีย์ 23:6 TH1971) ให้สังเกตว่า พระองค์ทรงเป็นความชอบธรรมของเรา ไม่ใช่เป็นตัวแทนความชอบธรรมที่เราไม่มี บางคนสอนผิดเรื่องความชอบธรรมโดยความเชื่อว่า พระเจ้าทรงถือว่าเราชอบธรรมทั้งที่เราไม่ได้ชอบธรรมจริงๆ แต่พระคัมภีร์สอนว่าเราชอบธรรมจริงๆ โดยอาศัยความชอบธรรมของพระเยซูคริสต์ {LBF 52.3}
นับวันยิ่งดูเหมือนจะมีผู้สอนศาสนามากขึ้นที่สอนว่า ในใจของคนเรามีความดีและความชั่วอยู่พอๆ กัน และความดีนั้นก็จะค่อยๆ ชนะความชั่ว จนสามารถชนะได้ทั้งหมดในที่สุด แต่พระคัมภีร์ไม่ได้สอนเช่นนั้น หากแต่สอนว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” (โรม 3:10) พระคริสต์ผู้ “ทรงทราบว่าอะไรอยู่ในตัวมนุษย์” (ยอห์น 2:25) ตรัสว่า “เพราะที่ออกมาจากภายใน จากใจคนเราคือ ความคิดชั่ว การผิดศีลธรรมทางเพศ การลักขโมย การเข่นฆ่า การล่วงประเวณี ความโลภ การมุ่งร้าย การฉ้อฉล ราคะตัณหา ความอิจฉา การนินทาว่าร้าย ความหยิ่งจองหอง ความโฉดเขลา” (มาระโก 7:21–22 TNCV) นอกจากนั้นพระองค์ยังตรัสว่า “คนชั่วย่อมเอาสิ่งชั่วออกจากคลังชั่วในจิตใจของตน” และสิ่งดีย่อมไม่เกิดมาจากแหล่งที่ไม่ดี (ลูกา 6:43, 45) ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ชัดว่า ไม่มีความดีใดๆ ที่จะเกิดจากใจของเรา เพราะ “ผู้ใดจะเอาสิ่งสะอาดออกมาจากสิ่งมลทินได้ ไม่มีสักคน” (โยบ 14:4) {LBF 52.4}
พระเจ้าไม่ได้กล่าวว่าจะเอาความดีออกมาจากสิ่งที่ชั่ว และพระองค์จะไม่ทรงเรียกสิ่งที่ชั่วนั้นว่าดี สิ่งที่พระองค์จะทำคือ สร้างใจใหม่ขึ้นในตัวเรา เพื่อความดีจะได้เกิดจากจิตใจที่ดีนั้น “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (เอเฟซัส 2:10) {LBF 53.1}
เราไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพระคริสต์จะสถิตอยู่ในใจของเราได้อย่างไร เพื่อความชอบธรรมจะหลั่งไหลออกจากใจแทนความบาป ไม่ต่างกับที่เราไม่สามารถเข้าใจว่า เป็นไปได้อย่างไรที่พระคริสต์ผู้ทรงเป็นพระวาทะของพระเจ้าและดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้น จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์อยู่ในโลกนี้ แต่ก็เป็นไปแล้ว และพระองค์เสด็จมาในเนื้อหนังครั้งหนึ่งแล้วอย่างไร แน่นอนทีเดียว พระองค์สามารถเสด็จมาสถิตอยู่ในเนื้อหนังของเราได้อย่างนั้นเช่นกัน และทุกคนที่ “ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์” ก็มาจากพระเจ้า (1 ยอห์น 4:2) {LBF 53.2}
“ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่างเหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง…พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:7) “เราดำเนินโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดยสิ่งที่มองเห็น” (2 โครินธ์ 5:7) เรารับเอาพระคริสต์โดยทางความเชื่อ และผู้ที่รับเอาพระองค์นั้น พระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้เป็นลูกของพระเจ้า (ดู ยอห์น 1:12) พระองค์จึงกำชับเราว่า “ในเมื่อพวกท่านรับพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าไว้แล้ว ก็จงดำเนินชีวิตในพระองค์ด้วย” (โคโลสี 2:6) นี่แหละคือการดำเนินในความสว่าง {LBF 53.3}
การหายใจและการรับประทานอาหารเป็นสิ่งที่ชุบเลี้ยงชีวิตให้ดำรงคงอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณก็ได้รับการค้ำจุนด้วยความเชื่อ เราไม่สามารถกักตุนลมหายใจของวันนี้ไว้สำหรับวันพรุ่งนี้ แต่ต้องหายใจตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน เราไม่สามารถกักตุนมันไว้ใช้ในอนาคต แต่ต้องมีความเชื่ออย่างไม่ขาดสาย เราจึงจะมีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องได้ {LBF 53.4}
เมื่อเราดำเนินในความสว่างด้วยความเชื่อแล้ว เราก็รับชีวิตจากพระเจ้าเข้ามาในจิตวิญญาณอย่างไม่ขาดสาย เพราะความสว่างคือชีวิต และชีวิตที่รับอยู่ตลอดนั้นจะชำระจิตวิญญาณจากความบาปอย่างต่อเนื่อง การชำระนั้นเป็นงานที่ไม่มีการทิ้งช่วง เพราะเราต้องการอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นจะไม่มีวันที่เราจะพูดได้ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่มีบาป’ เพราะมีสิ่งเดียวที่จะอวดได้ นั่นคือ “พระเยซูคริสต์องค์ผู้ชอบธรรม” {LBF 53.5}
จากการเชื่อฟังของพระคริสต์ผู้เดียว คนจำนวนมากจึงได้เป็นคนชอบธรรม นี่เป็นเรื่องอัศจรรย์ พระองค์ผู้เดียวเชื่อฟัง แต่คนจำนวนมากได้กลายเป็นคนชอบธรรมอย่างแท้จริง อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้า ผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:20 TKJV) ฉะนั้นถ้ามีใครถามเราว่า ‘คุณปราศจากความบาปหรือเปล่า’ เราตอบได้คำเดียวคือ ‘ไม่ใช่ฉัน แต่พระคริสต์ต่างหาก’ ‘แล้วคุณรักษาพระบัญญัติได้ทั้งหมดไหม’ เราก็ตอบได้เพียงแต่ว่า ‘ไม่ใช่ฉัน แต่เป็นพระคริสต์’ ถึงแม้เราจะด่างพร้อยและเต็มไปด้วยความบาป แต่เราก็มี “ความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (โคโลสี 2:10) {LBF 53.6}
“น้ำพุแห่งชีวิตอยู่กับพระองค์” (สดุดี 36:9) พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ฉะนั้นน้ำพุแห่งชีวิตก็อยู่กับพระองค์ “พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา” (ฮีบรู 7:25) น้ำพุนี้จึงไหลอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับที่กล่าวถึงแม่น้ำแห่งชีวิตว่า “แม่น้ำไปถึงไหน ทุกสิ่งก็มีชีวิตอยู่ได้” (เอเสเคียล 47:9) เช่นเดียวกันเมื่อชีวิตของพระคริสต์สัมผัสชีวิตของใครก็ชำระผู้นั้นจากมลทินทั้งสิ้น ฉะนั้นเราจึงยอมรับว่าเราเป็นคนบาปที่ต้องการความช่วยเหลือ เราจึงพึ่งพาพระเยซูอย่างสิ้นเชิง พระองค์ “ทรงไม่มีบาป…เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 โครินธ์ 5:21) {LBF 54.1}