24. ชีวิตในพระวจนะ
ชีวิตในพระวจนะคือชีวิตของพระเจ้า เพราะเป็นลมปราณของพระองค์ และลมปราณของพระองค์ก็คือชีวิต มีคำเขียนถึงชีวิตและฤทธิ์อำนาจในพระวจนะว่า “เพราะว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นมีชีวิตและทรงพลานุภาพอยู่เสมอ และคมยิ่งกว่าดาบสองคมใดๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย” (ฮีบรู 4:12) องค์พระผู้ช่วยให้รอดได้ตรัสถึงพระวจนะของพระเจ้าว่า “ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นพระวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:63 TKJV) ให้เราศึกษาดูว่า พระวจนะได้รับชีวิตมาจากที่ไหน {LBF 74.1}
เฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 30 บรรยายถึงคำสาปแช่งที่จะตกสู่ผู้ที่ล่วงละเมิดธรรมบัญญัติและคำอวยพรสำหรับผู้ที่ปฏิบัติตาม โมเสสกำชับประชาชนให้ถือรักษาธรรมบัญญัติ พร้อมกับอธิบายถึงพระพรที่พระเจ้าจะประทานให้ถ้าเพียงแต่พวกเขากลับใจจากการล่วงละเมิด แล้วโมเสสจึงกล่าวต่อไปว่า “เพราะว่าพระบัญญัติซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ สำหรับท่านไม่ยากเกินไป และไม่ไกลเกินไปด้วย ไม่ใช่อยู่บนสวรรค์ ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์แทนเราและนำมาให้เราเพื่อให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ ไม่ใช่อยู่โพ้นทะเล ซึ่งท่านจะกล่าวว่า ‘ใครจะข้ามทะเลไปแทนเราและนำมาให้เรา เพื่อให้เราได้ฟังและประพฤติตาม’ แต่ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่านมาก อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน ฉะนั้นท่านจึงทำตามได้” (เฉลยธรรมบัญญัติ 30:11–14) {LBF 74.2}
ให้เราเปรียบเทียบข้อความในเฉลยธรรมบัญญัติที่ยกมากับถ้อยคำของอัครทูตเปาโลอย่างละเอียด ซึ่งเขียนไว้ว่า “แต่ความชอบธรรมที่มาทางความเชื่อว่าอย่างนี้ว่า ‘อย่านึกในใจของตัวว่า ใครจะขึ้นไปบนสวรรค์’ (คือจะเชิญพระคริสต์ลงมา) ‘หรือใครจะลงไปยังที่ลึก’ (คือจะเชิญพระคริสต์ขึ้นมาจากความตาย) แต่ความชอบธรรมว่าอย่างไร ก็ว่า ‘ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน’ (คือคำซึ่งก่อให้เกิดความเชื่อที่เราทั้งหลายประกาศอยู่นั้น) คือว่าถ้าท่านจะยอมรับด้วยปากของท่านว่าพระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้ทรงให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะรอด เพราะว่าการเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด” (โรม 10:6–10) {LBF 74.3}
ถ้าสังเกตให้ดีก็จะเห็นว่าข้อความที่สองนี้เป็นการอ้างอิงจากข้อความแรกโดยมีการเพิ่มข้อความในวงเล็บ ซึ่งเป็นการอธิบายโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ถึงความหมายของคำว่า “พระบัญญัติ” ที่โมเสสกล่าวถึงนั้น {LBF 75.1}
ในหนังสือโรม พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยความหมายของโมเสสในเฉลยธรรมบัญญัติบทที่ 30 ได้กระจ่างชัดขึ้น ให้เราสังเกตว่า การนำพระบัญญัติลงมาจากสวรรค์ ก็เท่ากับการเชิญพระคริสต์ให้เสด็จลงมา และการนำพระบัญญัติขึ้นมาจากที่ลึกก็เท่ากับการเชิญพระคริสต์ให้เป็นขึ้นจากความตาย {LBF 75.2}
แสดงว่าพระบัญญัติทุกข้อ ธรรมบัญญัติทั้งหมดและพระวจนะทั้งสิ้น มีความหมายอย่างเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ แต่อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เพราะไม่ได้หมายความว่าพระคริสต์เป็นเพียงตัวอักษรและถ้อยคำที่เราอ่านอยู่ในพระคัมภีร์ คือถ้าเราอ่านพระคัมภีร์และพบแต่ถ้อยคำและเนื้อหาอย่างที่ปรากฏอยู่ในหนังสือทั่วไป แสดงว่าเรายังอ่านไม่เจอพระวจนะที่แท้จริง พระวจนะที่แท้จริงไม่ใช่ตัวอักษรที่ปราศจากชีวิต แต่มีความหมายเท่ากับพระคริสต์ ถ้าเราอ่านเจอพระวจนะ เราจะพบพระคริสต์ และถ้าเรายังไม่พบพระคริสต์ แสดงว่าเรายังไม่ได้เจอพระวจนะของพระเจ้า {LBF 75.3}
อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็โดยการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็โดยพระวจนะของพระเจ้า” (โรม 10:17 TKJV) ในขณะเดียวกันท่านเขียนว่า “ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ” (เอเฟซัส 3:17) ฉะนั้นความเชื่อในพระวจนะอันมีชีวิตของพระเจ้าจะนำพระคริสต์เข้ามาในใจของเรา เพราะพระคริสต์คือชีวิตแห่งพระวจนะ {LBF 75.4}
เรื่องนี้ยังปรากฏอยู่ในพระธรรมยอห์นบทที่ 6 ที่พระคริสต์ตรัสว่า “ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นพระวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:63 TKJV) ในบทเดียวกันนี้พระองค์ตรัสว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” และ “เราเป็นอาหารดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าใครกินอาหารนี้ คนนั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา” และในอีกข้อหนึ่งตรัสว่า “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย” (ยอห์น 6:35, 51, 54) แล้วพระองค์ทรงเพิ่มเติมว่า “พระวิญญาณเป็นผู้ให้ชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับท่านทั้งหลายนั้น เป็นพระวิญญาณและเป็นชีวิต” (ยอห์น 6:63 TKJV) นี่เป็นถ้อยคำที่ชัดเจนที่สุดซึ่งสอนให้รู้ว่าการรับเอาพระวจนะด้วยความเชื่อ คือการอัญเชิญพระคริสต์เข้ามาในใจ {LBF 75.5}
มีทางเดียวที่จะได้รับพระคริสต์เข้ามาในใจอย่างแท้จริง นั่นก็คือการเชื่อวางใจในพระวจนะของพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจ ซึ่งเปรียบเสมือนการกินเนื้อของพระองค์นั่นเอง ด้วยเหตุนี้การเชื่อด้วยใจจึงนำไปสู่ความชอบธรรม (ดู โรม 10:10) เพราะพระคริสต์ทรงเป็นความชอบธรรม {LBF 76.1}
ในบทนี้ข้าพเจ้าได้นำเสนอเรื่องชีวิตในพระวจนะอย่างผิวเผิน แต่ใครเล่าจะบรรยายให้สมกับความยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐได้ เราทำได้แต่ใคร่ครวญ ตรึกตรอง และพิจารณาถ้อยคำอันเรียบง่ายในพระคัมภีร์ จนความจริงจุดประกายขึ้นในใจ พระคริสต์คือพระวจนะที่แท้จริง และชีวิตในพระวจนะคือชีวิตของพระองค์ นี่คือข้อล้ำลึกแห่งข่าวประเสริฐ เมื่อเรารับข้อนี้ด้วยความเชื่อ เราจึงจะซาบซึ้งถึงความหมายของประโยคที่ว่า เราจะดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า {LBF 76.2}