7. น้ำท่วมโลก
ยังคงสวยงาม
ในสมัยโนอาห์โลกอยู่ภายใต้คำสาปแช่งถึงสองเท่า อันเป็นผลพวงจากการล่วงละเมิดของอาดัมและฆาตกรรมของคาอิน ถึงกระนั้นธรรมชาติก็มิได้เปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก มีหลักฐานปรากฏว่าธรรมชาติได้เสื่อมลง แต่โลกก็ยังอุดมสมบูรณ์และงดงามไปด้วยสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง ทิวเขามีต้นไม้สูงสง่าขึ้นปกคลุมเป็นมงกุฎ มีเถาองุ่นเลื้อยอยู่ตามต้นไม้ กิ่งก้านโค้งงอด้วยผลที่ดกดื่น ที่ราบกว้างไพศาลปกคลุมด้วยพืชผักเขียวขจีเป็นอาภรณ์ราวกับอุทยาน ดอกไม้นับพันส่งกลิ่นหอมหวนฟุ้งกระจาย ผลไม้ในโลกมีมากมายหลากหลายชนิดแทบนับไม่ถ้วน ต้นไม้ใหญ่สวยงามได้สัดส่วนยิ่งกว่าต้นไม้ใดๆ ในปัจจุบันมาก เนื้อไม้ละเอียดทั้งแข็งและทนทานราวกับหิน มีทองคำ เงิน และเพชรนิลจินดาอยู่อย่างดาษดื่น {PP 90.1}
มนุษย์ยังคงมีพลานามัยกระชุ่มกระชวยเหมือนกับตอนที่โลกถูกสร้างขึ้นมาใหม่ๆ เพราะผ่านไปไม่กี่ชั่วอายุคนนับแต่ที่อาดัมเข้าถึงต้นไม้ที่ให้อายุวัฒนะ มนุษย์จึงยังมีอายุยืนยาวกันนับเป็นศตวรรษ หากคนเหล่านั้นที่อายุยืนและมีกำลังความสามารถพร้อมสรรพในการวางแผนทำงาน ได้อุทิศตนรับใช้พระเจ้าก็คงกระทำให้พระนามของพระผู้สร้างเป็นที่สรรเสริญในแผ่นดินโลก และคงตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้ชีวิตแก่เขา แต่พวกเขาละทิ้งโอกาสนั้นไปเสีย มีคนจำนวนมากที่ร่างสูงใหญ่มหึมาและแข็งแรงยิ่ง มีชื่อเสียงเลื่องลือว่าเป็นผู้มีสติปัญญาหลักแหลม มีทักษะสามารถคิดประดิษฐ์สิ่งประณีตและยอดเยี่ยม แต่เขาจะต้องรับโทษที่ปล่อยตัวทำบาป โดยพิจารณาอัตราโทษตามทักษะและสติปัญญาความสามารถที่เขาได้รับนั้น {PP 90.2}
มนุษย์ทิ้งพระเจ้า
พระเจ้าประทานพระพรแก่คนในสมัยก่อนน้ำท่วมโลกอย่างอุดม แต่พวกเขาใช้ของประทานเหล่านี้เพื่อเกียรติของตัวเอง โดยใส่ใจในของประทานแทนพระเจ้าผู้ประทาน พระพรจึงกลับกลายเป็นคำสาปแช่งไป เขาใช้เงินทองเพชรพลอยและเนื้อไม้อย่างดีเพื่อก่อสร้างที่อยู่อาศัยให้กับตนเอง และคอยแข่งขันกันประดับตกแต่งที่พำนักของตนอย่างสุดฝีมือ เขาไขว่คว้าหาแต่สิ่งบำเรอจิตใจที่หยิ่งยโสของตน หลงระเริงในการบันเทิงต่างๆ และสาละวนกับพฤติกรรมที่เลวทราม ไม่ปรารถนาที่จะระลึกถึงพระเจ้าเลย ไม่ช้าจึงปฏิเสธไม่ยอมรับว่ามีพระเจ้าอยู่ เขารักธรรมชาติแทนที่จะรักพระผู้เป็นเจ้าของธรรมชาติ เขายกย่องอัจฉริยภาพของมนุษย์ และบูชาผลจากน้ำมือของตนเอง ทั้งสอนให้ลูกหลานกราบไหว้รูปเคารพแกะสลัก {PP 90.3}
พวกเขาตั้งแท่นบูชาไว้สำหรับรูปเคารพในทุ่งหญ้าเขียวขจีและใต้ร่มเงาของต้นไม้สูง ป่าที่มีต้นไม้เขียวชะอุ่มทุกฤดูกาลไม่รู้ผลัดใบเติบโตขึ้นอยู่เป็นจุดๆ ได้ถูกอุทิศให้แก่การนมัสการพระเทียมเท็จ ป่าไม้เหล่านี้เชื่อมต่อกับอุทยานอันสวยงาม ตรงทางเดินที่ยาวคดเคี้ยวนั้นก็มีกิ่งจากต้นไม้นานาชนิดโน้มโอนเอนลงมาด้วยผลที่ดกดื่นดูเป็นซุ้ม สองฟากทางประดับไปด้วยรูปเคารพแกะสลักต่างๆ และบรรดาสิ่งที่เร้าความรู้สึกและสนองกิเลสตัณหาของผู้คน จึงเป็นเหตุยั่วเย้าให้พวกเขาพากันกราบไหว้บูชารูปเคารพ {PP 91.1}
มนุษย์ตัดเอาความรู้เรื่องของพระเจ้าทิ้งไป แล้วนมัสการสัตว์ในจินตนาการของตนเอง ด้วยเหตุนี้เขาจึงเสื่อมถอยลงทุกทีๆ ผู้ประพันธ์สดุดีบรรยายถึงผลของการเทิดทูนบูชารูปเคารพว่า “ผู้ที่ทำรูปเหล่านั้นจะเป็นเหมือนรูปเหล่านั้น เออ บรรดาผู้ที่วางใจในรูปเหล่านั้นก็เช่นกัน” (สดุดี 115:8 TH1971) เป็นกฎตายตัวสำหรับจิตใจของมนุษย์เลยทีเดียว ว่ายิ่งมองดูสิ่งใดก็จะเปลี่ยนไปตามสิ่งนั้น มนุษย์จะไม่พัฒนาดีไปกว่าความเข้าใจในความจริงและความบริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ที่ตนยึดถือ ถ้าไม่เคยยกระดับความคิดเหนือมาตรฐานของมนุษย์ และถ้าไม่ใคร่ครวญถึงพระปัญญาและความรักที่ไม่สิ้นสุดของพระเจ้าโดยความเชื่อแล้ว เขาก็จะจมดิ่งลึกลงไปเรื่อยๆ คนทั้งหลายที่นมัสการพระเทียมเท็จให้พระของเขามีลักษณะและอารมณ์เป็นอย่างมนุษย์ ดังนั้นมาตรฐานของอุปนิสัยจึงเสื่อมถอยลงตามแบบพิมพ์ของคนบาป ทำให้จิตใจเสื่อมทรามลงตามมา “พระเจ้าทรงเห็นว่า ความชั่วช้าของมนุษย์มีมากบนแผ่นดิน และทรงเห็นว่าเค้าความคิดในใจของเขาล้วนเป็นเรื่องร้ายเสมอไป…คนทั้งโลกเสื่อมทรามไปในสายพระเนตรของพระเจ้า และแผ่นดินก็เต็มไปด้วยความทารุณ” พระเจ้าประทานพระบัญญัติให้แก่มนุษย์เป็นกฎแห่งชีวิต แต่มนุษย์ได้ล่วงละเมิดพระบัญญัตินั้น แล้วความบาปทุกอย่างที่อาจคิดขึ้นมาได้จึงเกิดขึ้น ความชั่วของมนุษย์เป็นที่เปิดเผยโจ่งแจ้งและท้าทาย ความยุติธรรมถูกเหยียบย่ำติดดิน และเสียงร้องครวญครางของผู้ถูกบีบบังคับได้ขึ้นไปถึงสวรรค์ {PP 91.2}
ความชั่วแผ่กว้างออกไป
การมีภรรยามากกว่าหนึ่งคนเริ่มมีมานับตั้งแต่สมัยแรกของมนุษย์ซึ่งขัดกับรูปแบบที่พระเจ้าทรงวางไว้แต่เบื้องต้น พระเจ้าประทานภรรยาเพียงคนเดียวให้อาดัม แสดงให้เห็นถึงระเบียบของพระองค์ในเรื่องนี้ แต่หลังจากที่ตกสู่ความบาปแล้ว มนุษย์ก็เลือกที่จะกระทำอะไรๆ ตามใจปรารถนาชั่วของตน ผลต่อมาก็คืออาชญากรรมและความต่ำช้าเพิ่มทวีขึ้นอย่างรวดเร็ว มนุษย์ไม่ให้เกียรติสถาบันครอบครัวหรือสิทธิการเป็นเจ้าของสิ่งต่างๆ ใครที่โลภภรรยาหรือสิ่งของของเพื่อนบ้านก็จะใช้กำลังชิงเอา และกระหยิ่มยิ้มย่องในพฤติกรรมอันทารุณของตน เขามีความสุขในการปลิดชีวิตสัตว์และการใช้เนื้อเป็นอาหาร ซึ่งเป็นเหตุทำให้เขามีความดุร้ายทารุณและกระหายเลือดมากยิ่งขึ้น จนกระทั่งไม่ไยดีต่อชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันอย่างน่าใจหาย {PP 91.3}
แม้ว่าเพิ่งจะมีโลกมาไม่นาน แต่ความชั่วช้าก็แผ่กว้างและลึกไปไกลจนพระเจ้าไม่อาจอดกลั้นพระทัยได้อีกต่อไป พระองค์ตรัสว่า “เราจะกวาดล้างมนุษย์ที่เราได้สร้างมานี้ไปเสียจากแผ่นดิน” พระองค์ตรัสว่าพระวิญญาณของพระองค์จะไม่เร่งเร้าไปตลอดเพื่อให้มนุษยชาติอันชั่วช้ากลับใจ คือถ้าเขาไม่หยุดทำให้โลกนี้และสมบัติอันมีค่าในโลกสกปรกโสมมไปด้วยบาปของตนแล้ว พระองค์ก็จะทรงกำจัดพวกเขาออกไปจากโลกที่ทรงสร้างให้เสียสิ้น และจะทรงทำลายของประทานที่เคยพอพระทัยอำนวยพรแก่เขาเสีย พระองค์จะทรงกวาดล้างสัตว์แห่งทุ่งหญ้าป่าไม้และพืชผักซึ่งให้อาหารอย่างอุดม และจะทรงเปลี่ยนโฉมโลกอันสวยงามน่าอยู่นี้ให้เป็นที่สลักหักพังและเปล่าเปลี่ยวไปจนสุดขอบฟ้า {PP 92.1}
โนอาห์ต่อเรือ
ท่ามกลางความชั่วที่แพร่หลาย เมธูเสลาห์ โนอาห์กับคนอีกจำนวนมากได้ทำงานเพื่ออนุรักษ์ความรู้แห่งพระเจ้าเที่ยงแท้ให้คงอยู่ และเพื่อยับยั้งกระแสความต่ำช้า 120 ปี ก่อนน้ำท่วมโลก พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ไปแจ้งให้โนอาห์ทราบถึงพระประสงค์ของพระองค์ และสั่งให้ท่านต่อเรือลำหนึ่ง ในระหว่างที่ต่อเรืออยู่นั้น โนอาห์จะต้องเทศนาประกาศเรื่องที่พระเจ้าจะทำลายคนอธรรมโดยให้น้ำท่วมโลก ผู้ที่เชื่อคำที่โนอาห์ประกาศและกลับตัวกลับใจเตรียมเผชิญกับเหตุการณ์นั้นก็จะรับการอภัยโทษและรอดจากภัยนั้น เอโนคเคยย้ำถึงเรื่องที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่ท่านเกี่ยวกับน้ำท่วมโลกต่อไปยังลูกๆ ของท่าน เมธูเสลาห์กับลูกๆ ซึ่งมีชีวิตยืนยาวจนถึงสมัยโนอาห์ก็ได้ยินท่านเทศนาและได้ช่วยต่อเรือด้วย {PP 92.2}
พระเจ้าทรงแจ้งขนาดของเรือและวิธีสร้างให้แก่โนอาห์อย่างละเอียดถี่ยิบ ลำพังสติปัญญาของมนุษย์ไม่มีทางที่จะออกแบบโครงสร้างที่แสนจะแข็งแกร่งทนทานอย่างนั้นได้ พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและโนอาห์เป็นผู้กำกับการก่อสร้าง โครงสร้างมีลักษณะเหมือนลำเรือเพื่อให้ลอยน้ำได้ แต่บางส่วนก็ดูเหมือนบ้านมากกว่า โดยแบ่งเป็น 3 ชั้นแต่มีประตูแค่บานเดียวซึ่งอยู่ด้านข้าง เรือนั้นถูกออกแบบให้แสงสว่างสามารถเข้าทางด้านบนและส่องทะลุผ่านไปยังห้องและชั้นต่างๆ ได้ วัสดุที่ใช้ในการต่อเรือคือไม้สนโกเฟอร์ซึ่งไม่รู้ผุกร่อนทนทานอยู่ได้นับร้อยปี การต่อเรือลำมหึมานี้ใช้เวลานาน และอาศัยความวิริยะอุตสาหะมาก เนื่องจากลำต้นของไม้มีขนาดใหญ่และเนื้อไม้ก็แข็ง การตัดเป็นไม้แปรรูปต้องใช้กำลังมหาศาลยิ่งกว่าในสมัยนี้มาก แม้ว่าคนในสมัยนั้นมีพละกำลังแข็งแรงยิ่งกว่าคนในสมัยนี้ก็ตาม ทุกสิ่งที่จะทำให้งานสมบูรณ์แบบได้เขาทั้งหลายก็ทุ่มเททำจนหมดสิ้น แต่กระนั้นเรือก็คงไม่อาจทนต่อพายุที่พัดมายังโลกได้อยู่ดี มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถคุ้มครองป้องกันผู้รับใช้ของพระองค์อยู่เหนือน้ำที่ปั่นป่วนอย่างรุนแรงนั้น {PP 92.3}
“เพราะโนอาห์มีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเตือนให้รู้ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านจึงยำเกรงและต่อเรือใหญ่ เพื่อช่วยครอบครัวของตนให้รอดพ้นจากความตาย และด้วยเหตุนี้เองท่านจึงได้ติเตียนชาวโลก และได้เป็นทายาทแห่งความชอบธรรม ซึ่งบังเกิดมาจากความเชื่อ” (ฮีบรู 11:7 TH1971) ระหว่างที่โนอาห์ประกาศข่าวตักเตือนชาวโลกอยู่นั้น กิจการงานที่ท่านทำก็เป็นพยานถึงความจริงใจของท่าน ด้วยเหตุนี้เองความเชื่อของท่านจึงสมบูรณ์และประจักษ์ต่อคนทั้งปวง ท่านเป็นตัวอย่างแก่ชาวโลกในการเชื่อฟังตามที่พระเจ้าตรัสสั่งทุกประการ ทุกอย่างที่ท่านมี ท่านได้ทุ่มเทให้กับการต่อเรือ ขณะเมื่อท่านเริ่มต่อเรือลำมหึมาอยู่บนบกนั้น มีผู้คนจากทั่วสารทิศพากันมาดูสิ่งแปลกประหลาดและฟังถ้อยคำที่ร้อนรนจริงจังของนักเทศน์ผู้นี้ เสียงตอกเรือทุกครั้งที่ดังอยู่นั้นก็เป็นพยานแก่คนทั้งหลาย {PP 95.1}
ปฏิเสธเสียงเตือน
ระยะแรกหลายคนมีทีท่าว่าจะรับคำเตือนนั้น แต่เขาก็ไม่ได้หันมาหาพระเจ้าด้วยการกลับใจอย่างแท้จริง คือไม่เต็มใจที่จะละทิ้งความบาปของตน ช่วงเวลาที่ผ่านไปก่อนน้ำจะท่วม พวกเขาถูกทดสอบความเชื่อแต่ก็แพ้การทดลอง และถูกครอบงำโดยบรรยากาศของการไม่เชื่อซึ่งแพร่หลายในขณะนั้น ในที่สุดเขาเหล่านั้นจึงเข้าร่วมกับพรรคพวกเดิมในการปฏิเสธคำประกาศเตือนของโนอาห์ มีบางคนสำนึกอย่างลึกซึ้งและก็เกือบจะใส่ใจต่อคำตักเตือน แต่เมื่อมีคนตั้งต้นล้อเลียนและเยาะเย้ยก็ทำให้เขาพลอยซึมซับนิสัยที่ต่อต้านคำเชิญชวนแห่งความเมตตาด้วย ไม่นานนักเขาเหล่านั้นก็กลายเป็นผู้เย้ยหยันที่อาจหาญที่สุด เพราะว่าไม่มีใครที่จะปล่อยตัวถลำลึกลงไปในความบาปชั่วเท่ากับผู้ที่เคยได้รับความสว่างแล้วแต่ได้ปฏิเสธการเชื้อเชิญของพระวิญญาณบริสุทธิ์ {PP 95.2}
ในยุคสมัยนั้นไม่ใช่ทุกคนที่กราบไหว้รูปเคารพอย่างเต็มรูปแบบ หลายคนยังว่าตนเป็นผู้นับถือบูชาพระเจ้า และอ้างว่ารูปเคารพนั้นเป็นตัวแทนของพระองค์ เพื่อช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับพระลักษณะอันแท้จริงของพระเจ้าได้ดีขึ้น คนประเภทนี้แหละที่เป็นตัวการต่อต้านคำเทศนาประกาศของโนอาห์ ในขณะที่เขาพยายามใช้วัตถุสิ่งของเป็นตัวแทนพระเจ้า เขากลับมองไม่เห็นอำนาจความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ จึงไม่คิดคำนึงถึงพระลักษณะอันบริสุทธิ์หรือพระบัญชาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ของพระองค์ บาปยิ่งแพร่หลายมากขึ้นเท่าใด คนก็ยิ่งถือว่ามันไม่ใช่บาป จนในที่สุดเขาก็ประกาศว่ากฎของพระเจ้าไม่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยถือว่าการลงโทษผู้ล่วงละเมิดเป็นสิ่งที่ขัดกับพระลักษณะนิสัยของพระองค์ และเขาก็ปฏิเสธเรื่องที่พระองค์จะทรงส่งภัยพิบัติมายังโลกอีกด้วย หากคนในยุคนั้นได้เชื่อฟังกฎของพระเจ้า เขาก็คงสังเกตรู้พระสุรเสียงของพระองค์ที่ตรัสเตือนผ่านทางผู้รับใช้ของพระองค์ แต่ตาใจของเขาบอดเสียแล้วเพราะการปฏิเสธแสงสว่าง จนเชื่อสนิทว่าถ้อยคำที่โนอาห์ประกาศนั้นเป็นเรื่องเพ้อเจ้อ {PP 95.3}
ผู้ที่เลือกมาอยู่ฝ่ายที่ถูกต้องคราวนั้นไม่ใช่ฝูงชนหรือคนส่วนมากแต่อย่างใด ชาวโลกยกขบวนกันต่อต้านความยุติธรรมของพระเจ้าทั้งกฎบัญญัติของพระองค์ และโนอาห์เองก็ถูกนับว่าเป็นคนบ้าคลั่ง เมื่อซาตานทดลองเอวาให้ฝ่าฝืนพระบัญชาของพระเจ้านั้น มันพูดว่า “เจ้าจะไม่ตายจริงดอก” (ปฐมกาล 3:4 TH1971) แล้วคนทั้งหลายที่มีชื่อเสียง ทั้งคนยิ่งใหญ่แกล้วกล้า ผู้มีปัญญา และคนทันโลกต่างพูดในทำนองเดียวกันนั้นว่า ‘การเตือนภัยจากพระเจ้าเป็นเพียงการขู่ขวัญให้กลัวเท่านั้น ไม่มีทางจะเกิดขึ้นจริง ไม่ต้องตื่นตระหนกไปกับเรื่องที่ว่าพระเจ้าจะทำลายโลกที่พระองค์ทรงสร้างเองหรอก และการลงโทษชีวิตที่พระองค์ทรงสร้างนั้นจะไม่มีทางเป็นไปได้ ให้สบายใจเถิด ไม่ต้องกลัว โนอาห์คลั่งเกินเหตุไปเท่านั้นเอง’ ชาวโลกก็พากันจัดงานฉลองเฮฮาเป็นการเย้ยหยันชายชราที่เขานับว่าโง่เขลาและงมงาย แทนที่จะถ่อมใจลงต่อพระพักตร์พระเจ้า พวกเขากลับฝ่าฝืนและกระทำการชั่วร้ายต่อไปราวกับว่าพระเจ้ายังไม่ได้ตรัสตักเตือนผ่านผู้รับใช้ของพระองค์อย่างไรอย่างนั้น {PP 96.1}
ยืนหยัดมั่นคง
แต่โนอาห์ยืนมั่นคงดุจศิลาท่ามกลางพายุที่ปั่นป่วน การสบประมาทเยาะเย้ยของคนส่วนใหญ่ได้ห้อมล้อมท่านไว้ทุกด้าน แต่ท่านรักษาตัวเองไว้จากสิ่งเหล่านั้นได้ด้วยการยึดถือหลักคุณธรรมอันบริสุทธิ์และความซื่อสัตย์ที่ไม่สั่นคลอน ถ้อยคำของท่านมีพลังเพราะเป็นพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสแก่มนุษย์ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ การติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้าทำให้ท่านเข้มแข็งด้วยอำนาจอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ ขณะที่ท่านประกาศด้วยน้ำเสียงที่จริงจังตลอด 120 ปี ถึงเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เมื่อพิจารณาตามสติปัญญาของมนุษย์ {PP 96.2}
ชาวโลกในสมัยก่อนน้ำท่วมค้านว่าตลอดหลายศตวรรษกฎธรรมชาติถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไปอยู่อย่างนั้นเสมอมา ก่อนหน้านี้ฝนไม่เคยตก โลกได้รับการพรมน้ำด้วยหมอกหรือน้ำค้าง แม่น้ำไม่เคยเอ่อล้นเข้าไปยังเขตแดนของเขา แต่ไหลลงไปยังทะเลเสียสิ้น น้ำถูกกำหนดไว้ไม่ให้ไหลล้นตลิ่ง แต่คนเหล่านั้นไม่เคยพิจารณาใคร่ครวญถึงพระเจ้าผู้ทรงสกัดน้ำไว้ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์โดยตรัสว่า “เจ้าไปได้ไกลแค่นี้แหละ อย่าเลยไปอีก” (โยบ 38:11 TH1971) {PP 96.3}
นับวันเวลาที่ผ่านไป เมื่อมนุษย์สังเกตว่าธรรมชาติไม่มีการเปลี่ยนแปลง คนที่เคยหวาดกลัวตัวสั่นก็เริ่มนิ่งนอนใจ คิดไปว่าธรรมชาติอยู่เหนือพระผู้สร้างของมัน และกฎของมันมั่นคงจนพระเจ้าเองไม่อาจเปลี่ยนได้ ดังความคิดของหลายคนในปัจจุบัน ฉะนั้นถ้าสิ่งที่โนอาห์ประกาศเป็นความจริงก็หมายความว่าธรรมชาติก็ต้องหันเหพลัดไปจากกฎแนวทางของมัน ซึ่งในความคิดของชาวโลก เรื่องนี้ช่างหลอกลวงเพ้อเจ้อสิ้นดี เขาหมิ่นประมาทการทรงเตือนของพระเจ้าอย่างเปิดเผยโดยยังทำสิ่งเดิมๆ ต่อไปเหมือนกับไม่ได้รับการเตือน ยังคงฉลองและเลี้ยงกันอย่างถึงใจไม่รู้จักพอ ทั้งกินทั้งดื่ม ทั้งปลูกหว่าน ก่อสร้าง และกะแผนงานเพื่อผลกำไรที่จะได้มาในอนาคต และยิ่งกระทำความชั่วช้าเพิ่มมากขึ้นไปอีก ท้าทายพระเจ้าด้วยการมองข้ามพระบัญชาของพระองค์เสีย เพื่อแสดงว่าไม่กลัวเกรงต่อพระเจ้าองค์นิรันดร์ พวกเขาอ้างว่าถ้าหากสิ่งที่โนอาห์กล่าวนั้นมีความจริงอยู่บ้างแล้ว บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่มีชื่อเสียงกิตติศัพท์และฉลาดรอบคอบก็คงจะมีความเข้าใจในทำนองเดียวกันกับโนอาห์ {PP 97.1}
หากคนสมัยก่อนน้ำท่วมโลกได้เชื่อคำเตือนและกลับใจเสียจากพฤติกรรมชั่ว พระองค์ก็คงกลับพระทัยไม่ลงโทษ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงกระทำต่อเมืองนีนะเวห์ในยุคหลังๆ1 แต่เพราะเขาแข็งข้อต่อต้านผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่ตักเตือนให้กลัวเกรงต่อบาป จึงได้กระทำความชั่วจนถึงจุดอิ่มตัวที่พร้อมจะถูกทำลาย {PP 97.2}
เตือนครั้งสุดท้าย
ระยะเวลาแห่งพระกรุณาที่พวกเขาได้รับนั้นกำลังจะสิ้นสุดลงเต็มที โนอาห์ได้ปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ การต่อเรือก็เสร็จสิ้นครบถ้วนทุกประการตามที่พระเจ้าทรงชี้นำ ทั้งได้กักเก็บอาหารไว้สำหรับคนและสัตว์ และบัดนี้ผู้รับใช้ของพระเจ้าก็ได้วิงวอนประชาชนอย่างจริงจังเป็นครั้งสุดท้ายด้วยความทุกข์ใจระคนกับความปรารถนาที่เหนือคำอธิบาย ให้คนเหล่านั้นไขว่คว้าหาที่หลบภัยเมื่อยังพบได้ แต่พวกเขาปฏิเสธอีกและตะเบ็งเสียงล้อเลียนเย้ยหยันอย่างขบขัน ทันใดนั้นเองความเงียบก็มากลบเสียงเยาะเย้ยท้าทายที่เซ็งแซ่นั้น เมื่อสัตว์นานาชนิดทั้งที่ดุร้ายไปจนถึงที่เชื่องได้พากันออกมาจากป่าเขาค่อยๆ ทยอยเดินตรงไปยังเรืออย่างเงียบๆ มีเสียงราวกับลมกระโชกดังขึ้น แล้วมีฝูงนกมากมายจับกลุ่มบินกันมาจากทุกสารทิศปกคลุมไปจนมืดฟ้ามัวดิน นกทุกตัวต่างตรงเข้าไปในเรืออย่างเป็นระเบียบ สัตว์เหล่านั้นได้เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า ขณะที่มนุษย์ไม่เชื่อฟัง และด้วยการนำของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ พวกมันเข้าไปในเรือโนอาห์ “เป็นคู่ๆ” และสัตว์สะอาดอย่างละ 7 คู่ ชาวโลกทั้งปวงมองดูด้วยความฉงน บ้างก็กลัว นักปรัชญาทั้งหลายก็ถูกเรียกมาเพื่อให้คำชี้แจงถึงสิ่งแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นแต่ก็เปล่าประโยชน์ มันลึกลับจนไม่อาจเข้าใจให้ถ่องแท้ได้ เขาเหล่านั้นได้ปฏิเสธความสว่างอย่างต่อเนื่องจนจิตใจดื้อด้าน แม้กระทั่งเหตุการณ์นั้นก็ให้แต่ความประทับใจชั่วครู่ ขณะที่วาระสุดท้ายแล่นเข้ามา ดวงอาทิตย์สาดส่องด้วยรัศมีเจิดจ้าของมัน และโลกก็ยังปกคลุมไปด้วยความงามเกือบเทียบเท่ากับสวนเอเดน คนเหล่านั้นได้ขับไล่ความหวาดกลัวออกไปด้วยการทำการรื่นเริงอึกทึกครึกโครม และด้วยพฤติกรรมที่รุนแรงนั้นก็ดูเหมือนว่าพวกเขาได้เชื้อเชิญตัวเองไปสู่พระพิโรธของพระเจ้าที่กำลังมีอยู่ในขณะนั้น {PP 97.3}
โนอาห์เข้าในเรือ
พระเจ้าตรัสสั่งโนอาห์ว่า “เจ้าจงเข้าไปในนาวาหมดทั้งครัวเรือนของเจ้า เพราะในชั่วอายุคนรุ่นนี้เราเห็นเจ้าเป็นผู้ชอบธรรม” คำประกาศเตือนของโนอาห์ถูกชาวโลกปฏิเสธเสียแล้ว แต่อิทธิพลและตัวอย่างของท่านได้ผลเป็นพระพรแก่ครอบครัวท่านเอง พระเจ้าทรงตอบแทนความซื่อสัตย์และความเที่ยงธรรม โดยทรงสงวนชีวิตสมาชิกทุกคนในครอบครัวของโนอาห์สำหรับพ่อแม่ที่ซื่อสัตย์เรื่องนี้ช่างเป็นกำลังใจจริงๆ {PP 98.1}
พระกรุณาได้ยุติการวิงวอนเพื่อมนุษยชาติผู้ผิดบาปเสียแล้ว สัตว์จากทุ่งหญ้าและนกในท้องฟ้าได้เข้าสู่ที่หลบภัย โนอาห์และครอบครัวอยู่ในเรือ “แล้วพระเจ้าทรงปิดประตูนาวาเสีย” แสงฟ้าแลบเจิดจ้าปรากฏและเมฆแห่งรัศมีภาพที่สว่างยิ่งกว่าฟ้าแลบนั้นได้ลงมาจากสวรรค์และลอยอยู่ตรงทางเข้าเรือ ประตูมหึมาซึ่งไม่มีทางที่คนในเรือจะปิดได้ก็ค่อยๆ เคลื่อนและถูกปิดลงด้วยมือที่มองไม่เห็น พระเจ้าทรงให้โนอาห์อยู่ข้างในเรือ ส่วนคนที่ปฏิเสธพระเมตตาของพระองค์ถูกกีดกั้นให้อยู่แต่ภายนอก ตราประทับแห่งสวรรค์อยู่บนประตูนั้น พระเจ้าทรงเป็นผู้ปิด และพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงเปิดได้ เช่นเดียวกันเมื่อพระคริสต์จะทรงยุติการวิงวอนเพื่อคนบาป ก่อนที่พระองค์จะเสด็จมากับหมู่เมฆในท้องฟ้า ประตูพระกรุณาก็จะถูกปิดลง พระคุณของพระเจ้าก็จะไม่ช่วยยับยั้งคนชั่วไว้อีก และซาตานก็จะยึดครองผู้ที่ปฏิเสธพระกรุณา และจะควบคุมบังคับอย่างเต็มที่ พวกเขาจะเพียรพยายามทำลายคนของพระเจ้าให้จงได้ แต่ก็เช่นเดียวกับที่พระเจ้าทรงคุ้มครองโนอาห์ไว้ในเรือ คนชอบธรรมก็จะได้รับการปกป้องคุ้มครองโดยอำนาจของพระเจ้า {PP 98.2}
เป็นเวลา 7 วัน ด้วยกันที่โนอาห์และครอบครัวเข้าไปอยู่ในเรือ แล้วไม่มีทีท่าว่าจะมีพายุฝนอะไรเลย ช่วงเวลานั้นแหละที่ความเชื่อของพวกเขาถูกทดลอง เป็นเวลาที่ชาวโลกที่อยู่นอกเรือคิดว่าตนชนะแน่แล้ว การถ่วงเวลานั้นตอกย้ำให้คิดว่าข่าวที่โนอาห์ประกาศเป็นเรื่องหลอกลวงและเรื่องน้ำท่วมก็ไม่มีทางเกิดขึ้น พวกเขาคิดไปเช่นนั้นโดยไม่คำนึงถึงภาพที่น่าทึ่งเมื่อสัตว์ทั้งหลายพากันเข้าไปในเรือและทูตของพระเจ้าได้ปิดประตูเรือเสีย เขายังคงเล่นสนุกรื่นเริงสำราญกันต่อไปแม้กระทั่งล้อเลียนปรากฏการณ์แห่งอำนาจของพระเจ้า เขาเหล่านั้นพากันล้อมรอบเรือและดูหมิ่นเย้ยหยันว่าคนในเรือนั้นถูกขัง การสบประมาทนั้นดุเดือดรุนแรงขึ้นชนิดที่เขาไม่เคยกล้าทำถึงขนาดนั้นมาก่อน {PP 98.3}
น้ำท่วม
แต่แล้วในวันที่แปดนั่นเอง เมฆดำทะมึนได้มาปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าตามมาด้วยแสงฟ้าแลบแปลบปลาบและเสียงฟ้าร้องครืนคราง ไม่นานฝนเม็ดโตๆ ก็เริ่มตกลงมา ชาวโลกไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้มาก่อนเลย แล้วหัวใจของคนทั้งปวงก็ชะงักไปด้วยความกลัว ไต่ถามกันเงียบๆ ว่า ‘หรือว่าถูกของโนอาห์ที่ว่าโลกมาถึงความหายนะ’ ท้องฟ้ายิ่งเพิ่มความดำทะมึนเข้าทุกที เม็ดฝนก็ตกลงมาหนักขึ้นเรื่อยๆ บรรดาสัตว์ต่างก็พากันเดินขวักไขว่ด้วยความตื่นตระหนกและความสยดสยอง และเปล่งเสียงคำรามอันโหยหวนเหมือนคร่ำครวญถึงชะตากรรมของพวกมันและจุดจบของมนุษย์ แล้ว “น้ำจากบาดาลก็พลุ่งขึ้นมาตามธารทุกสายและช่องฟ้าก็เปิด” น้ำพุ่งออกมาจากเมฆเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ขาดสาย เส้นแบ่งเขตแม่น้ำกับตลิ่งก็พังลง น้ำทะลักล้นออกมาท่วมหุบเขาทั้งหลาย ส่วนน้ำที่อยู่ใต้พื้นโลกนั้นก็พุ่งออกมาด้วยความแรงสุดจะพรรณนาได้ ซึ่งซัดเอาโขดหินใหญ่ๆ ขึ้นไปในอากาศหลายร้อยฟุต แล้วตกลงมาฝังลึกเข้าไปในดิน {PP 99.1}
สิ่งแรกที่ผู้คนเหล่านั้นเห็นคือผลงานจากน้ำมือของตนถูกทำลาย อาคารอันโอ่อ่าและสวนอันงดงามที่พวกเขาจัดไว้สำหรับรูปเคารพถูกทำลายลงโดยฟ้าผ่า และซากสลักหักพังก็กระจัดกระจายไปไกล แท่นบูชาที่เคยใช้บูชายัญมนุษย์ก็ถูกถอนรากถอนโคน คนที่กราบไหว้บูชามันก็สั่นสะท้านต่ออำนาจของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และรู้ว่าเพราะความชั่วช้าและการหลงใหลในรูปเคารพนั่นเองที่ทำให้พวกเขาต้องถูกทำลาย {PP 99.2}
หนีเอาตัวรอด
เมื่อพายุโหมกระหน่ำหนักเข้า ทั้งต้นไม้ อาคารบ้านเรือน และโขดหินดินทรายถูกเหวี่ยงไปทั่วทุกสารทิศ ความหวาดกลัวสยองขวัญที่มนุษย์และสัตว์ประสบในเวลานั้นก็เหนือคำบรรยาย เสียงคร่ำครวญโหยหวนของมนุษย์ที่ดูหมิ่นอำนาจของพระเจ้าดังกังวานอยู่เหนือเสียงคำรามของพายุที่ปั่นป่วน ซาตานเองผู้ติดอยู่ในภาวะคับขันท่ามกลางความโกลาหลของธรรมชาติก็พลอยกลัวว่าตนจะไม่รอด มันเคยปีติยินดีมาตลอดที่ได้ควบคุมมนุษยชาติผู้มีศักยภาพสูง และอยากให้มนุษย์เหล่านั้นมีชีวิตอยู่เพื่อจะได้กระทำสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนและกบฏต่อพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ต่อไป คราวนี้มันเปล่งเสียงแช่งด่าพระเจ้า ฟ้องร้องว่าพระองค์ทรงโหดร้ายและไม่ยุติธรรม คนเหล่านั้นจำนวนมากเหมือนอย่างซาตานที่หมิ่นประมาทพระเจ้า และถ้าทำได้ก็คงจะพรากพระองค์เสียจากพระบัลลังก์แห่งฤทธานุภาพ อีกกลุ่มหนึ่งก็เกิดคลุ้มคลั่งเพราะความกลัว ยื่นมือออกไปยังเรือและวิงวอนขอร้องให้ตนได้เข้าไปในนั้น แต่ก็เปล่าประโยชน์ จิตสำนึกในเวลาสุดท้ายนั่นเองที่กระตุ้นให้เขารู้ว่ามีพระเจ้าผู้ทรงวินิจฉัยอยู่ในฟ้าสวรรค์ พวกเขาได้ร้องเรียกหาพระองค์อย่างจริงจัง แต่พระกรรณของพระองค์ไม่เปิดรับต่อเสียงโอดครวญนั้น ในชั่วโมงอันน่าสยดสยองพวกเขาจึงได้เห็นว่าตนประสบความหายนะเพราะล่วงละเมิดกฎบัญญัติของพระเจ้า แล้วด้วยความกลัวในการถูกลงโทษนั่นเองจึงรู้และเข้าใจในบาปของตน แต่ไม่ได้สำนึกผิดอย่างแท้จริง ไม่มีความเกลียดชังสิ่งชั่ว หากการพิพากษาถูกถอนออกไป พวกเขาคงหันกลับไปท้าทายสวรรค์ดังเดิม เช่นเดียวกัน เมื่อพระเจ้าจะทรงพิพากษาลงโทษโลกโดยทรงให้เกิดภัยพิบัติต่างๆ ก่อนที่จะทรงส่งไฟลงมาเผาผลาญ คนที่ไม่กลับใจจะทราบว่าตนได้ทำบาปอะไรไว้ นั่นคือการดูหมิ่นเหยียดหยามพระบัญญัติอันบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่เขาจะไม่กลับใจอย่างแท้จริงเช่นเดียวกับคนบาปในสมัยของโนอาห์ {PP 99.3}
เมื่อเข้าตาจนจริงๆ บางคนบากบั่นที่จะพังเรือเข้าไป แต่โครงสร้างของเรือถูกสร้างมาอย่างมั่นคงจึงต้านความพยายามนั้นได้ บ้างก็เกาะยึดเรือไว้จนกระทั่งถูกพัดไปโดยคลื่นที่ซัดแรง หรือไปปะทะกับหินหรือต้นไม้จนต้องปล่อยมือ เรือใหญ่สั่นสะเทือนไปทั้งลำเมื่อลมพายุพัดมากระแทกอย่างไม่ปรานี และเหวี่ยงไปมาตามคลื่นยักษ์ลูกแล้วลูกเล่า ส่วนสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในเรือก็พากันร้องอื้ออึงราวกับบอกถึงความกลัวและความเจ็บปวด แต่เรือก็ยังคงลอยอยู่อย่างปลอดภัยท่ามกลางความอลหม่านของธรรมชาติ พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ผู้ทรงพลังมาพิทักษ์เรือไว้ {PP 100.1}
สัตว์ต่างๆ ตอบสนองต่อความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นนั้นด้วยการวิ่งไปหามนุษย์หวังจะให้ช่วย บางคนเอาตัวเองและลูกๆ ไปมัดติดอยู่บนสัตว์ที่แข็งแรงเพราะรู้ว่าสัตว์เหล่านั้นจะไม่ยอมตายง่ายๆ มันจะต้องปีนขึ้นไปยังจุดที่สูงที่สุดเพื่อให้พ้นจากน้ำ บ้างก็มัดตัวเองติดไว้กับต้นไม้สูงๆ บนเนินเขาหรือภูเขาที่สูงที่สุดในที่ต่างๆ แต่แล้วต้นไม้เหล่านั้นกลับถูกถอนรากถอนโคน ทั้งคนและต้นไม้ถูกพัดเหวี่ยงลงไปในคลื่นที่กำลังเดือดเป็นฟองฟู จุดแล้วจุดเล่าที่ดูเหมือนว่าปลอดภัยก็ถูกคนลี้ภัยทิ้งร้าง ขณะที่น้ำกำลังหนุนสูงขึ้นเรื่อยๆ นั้น ผู้คนพากันหนีหาที่กำบังยังภูเขาต่างๆ ที่สูงที่สุด บ่อยครั้งที่มนุษย์กับสัตว์แย่งที่ยึดมั่นกัน จนกระทั่งต่างก็ถูกแรงน้ำซัดพรากกันไป {PP 100.2}
จากยอดเขาที่สูงที่สุดนั้น ผู้ลี้ภัยมองไปรอบๆ เห็นเป็นมหาสมุทรที่กว้างสุดสายตา คำเตือนของผู้รับใช้พระเจ้าที่พวกเขาเคยดูถูกและหัวเราะเยาะนั้น บัดนี้ไม่น่าดูหมิ่นอย่างที่เคย คนบาปผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นปรารถนาเป็นที่สุดที่จะได้โอกาสที่ตนเคยดูถูกให้กลับคืนมา ขอร้องให้ต่อเวลาแห่งพระกรุณาออกไปอีกสักชั่วโมง ขอโอกาสแห่งพระเมตตาอีกเพียงสักครั้ง ขอให้ได้ยินเสียงเรียกจากปากของโนอาห์อีกครั้ง แต่ทว่าเสียงแห่งความเมตตาอันน่าฟังจะไม่มีให้ได้ยินอีก ทั้งความรักและความยุติธรรมของพระเจ้าเป็นเหตุให้พระองค์ต้องทรงลงโทษเพื่อยับยั้งความบาป น้ำจำนวนมหาศาลที่เดือดดาลได้กวาดเอาสิ่งสุดท้ายที่เหลืออยู่ และคนที่ดูแคลนพระเจ้าก็ย่อยยับลงไปยังห้วงน้ำลึกอันมืดดำ {PP 100.3}
สังคมปัจจุบัน
“โดยพระวจนะของพระเจ้า…แผ่นดินโลกจึงได้เกิดขึ้นจากน้ำและมีน้ำล้อมรอบทุกด้าน ด้วยน้ำนั้นเองชาวโลกที่มีอยู่ในขณะนั้นก็ได้ถูกทำลายให้พินาศไปเพราะน้ำท่วม และโดยพระวจนะเดียวกันนั้นเองท้องฟ้าและแผ่นดินโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ก็มีไว้สำหรับให้ไฟเผาผลาญ คือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันทรงพิพากษาและวันพินาศแห่งบรรดาทุรชน” (2 เปโตร 3:5–7 TH1971) มีพายุอีกลูกหนึ่งกำลังมา และก็จะเป็นอีกครั้งที่โลกจะถูกกวาดเสียสิ้นโดยพระพิโรธของพระเจ้า ความบาปและคนบาปทั้งหลายก็จะถูกทำลาย {PP 101.1}
ความบาปประเภทเดียวกันที่เป็นเหตุให้พระพิโรธของพระเจ้าตกแก่คนในสมัยน้ำท่วมโลกก็มีอยู่ในทุกวันนี้ ความยำเกรงพระเจ้าถูกขจัดออกไปจากใจของมนุษย์ กฎบัญญัติของพระองค์ก็ไม่มีการปฏิบัติกันและยังถูกหมิ่นประมาท กิจการฝ่ายโลกของคนในสมัยปัจจุบันก็มาแรงเทียบเท่ากับคนสมัยนั้น พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการสมรส และยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันที่โนอาห์เข้าในนาวาและน้ำท่วมมากวาดเอาเขาไปสิ้นโดยไม่ทันรู้ตัวฉันใด เมื่อบุตรมนุษย์จะเสด็จมาก็จะเป็นฉันนั้น” (มัทธิว 24:38–39 TH1971) พระเจ้ามิได้ทรงตำหนิที่คนสมัยน้ำท่วมโลกกินและดื่ม พระองค์ประทานพืชผลบนโลกนี้ไว้อย่างอุดมสมบูรณ์เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย แต่ความบาปของพวกเขาคือการที่ใช้ของประทานเหล่านั้นโดยไม่สำนึกถึงพระคุณของพระองค์ผู้ประทานให้ และยังทำให้ตนเองเสื่อมลงด้วยการปล่อยตัวใช้ของประทานเหล่านั้นเพื่อสนองความอยากของตนอย่างไม่ยับยั้งชั่งใจ การสมรสเป็นสิ่งที่ไม่ผิด เพราะพระเจ้าเองทรงวางรูปแบบไว้เช่นนั้น เป็นหนึ่งในสถาบันแรกที่ทรงแต่งตั้งให้แก่มนุษย์ พระองค์ทรงกำหนดแนวทางพิเศษสำหรับเรื่องนี้ ให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์และสวยงาม แต่ว่าวิถีทางที่พระองค์ทรงตั้งไว้นั้นถูกลืมเสีย แล้วพวกเขาก็ทำการสมรสกันแบบนอกลู่นอกทาง เพื่อสนองกิเลสตัณหาของตนแทน {PP 101.2}
สภาพการณ์ในปัจจุบันนี้ก็คล้ายคลึงกัน คือสิ่งที่ทรงอนุญาตให้ทำก็ทำกันจนเกินขอบเขต และสนองความอยากแบบไม่ยับยั้งชั่งใจ ทุกวันนี้มีบางคนทำทีว่าตนติดตามพระคริสต์แต่ก็กินดื่มและเมามาย ทั้งที่คนเหล่านั้นมีชื่อเสียงอันทรงเกียรติอยู่ในคริสตจักร การไม่รู้จักบังคับตนทำให้อำนาจฝ่ายจริยธรรมและจิตวิญญาณด้านชาไป และเป็นการเปิดทางให้กับความปรารถนาฝ่ายต่ำ คนจำนวนมากไม่รู้สึกว่าต้องอยู่ภายใต้กฎศีลธรรมที่จะรั้งเขาไว้จากการทำตามใจปรารถนาแห่งกายตน จึงกลายเป็นทาสของราคะตัณหา มนุษย์ใช้ชีวิตไปตามอำเภอใจและบำเรอกายเพื่อชีวิตในโลกนี้ ความฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่ายขยายกว้างไปทั่วทุกวงจรของสังคม คุณธรรมถูกเหยียบย่ำเพื่อเห็นแก่ความหรูหราและการโอ้อวด คนที่รีบรวยทางลัดได้บิดเบือนความยุติธรรมและกดขี่คนยากจน และยังมีการซื้อขาย “ทาสและชีวิตมนุษย์” (วิวรณ์ 18:13 TH1971) มีการฉ้อฉล รับสินบน และการขโมยซุกซ่อนอยู่ในที่สูงและที่ต่ำโดยไม่ถูกประณาม หนังสือพิมพ์รายวันดาษดื่นไปด้วยเรื่องการฆ่าฟัน เลือดตกยางออกโดยใช่เหตุ ราวกับว่ามนุษย์ไม่เหลือสัญชาตญาณความเป็นคนเอาไว้เสียแล้ว และความโหดร้ายเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของผู้คน จนแทบจะไม่เป็นที่แปลกใจกันเลย บรรยากาศการไม่เคารพกฎหมายกำลังแผ่กระจายอยู่ทั่วทุกประชาชาติ และการจลาจลที่ปะทุขึ้นเป็นระลอกๆ และทำให้ชาวโลกอกสั่นขวัญหายนั้น เป็นเพียงการบ่งชี้ถึงอารมณ์เดือดดาลและไร้กฎหมายที่กำลังทวีความกดดันในขณะนี้ ซึ่งเมื่อพ้นขีดที่จะควบคุมได้แล้ว โลกก็จะเต็มไปด้วยความพินาศย่อยยับ ภาพของโลกก่อนน้ำท่วมที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์สะท้อนอย่างชัดแจ้งถึงสภาพที่สังคมปัจจุบันกำลังเร่งเร้าเข้าไปสู่ แม้แต่ในศตวรรษนี้ ในดินแดนที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสเตียนก็มีอาชญากรรมเกิดขึ้นทุกวันทั้งร้ายแรงและดำทมิฬพอๆ กับเมื่อครั้งโบราณที่คนบาปต้องถูกทำลาย {PP 101.3}
ก่อนที่น้ำจะท่วม พระเจ้าทรงส่งโนอาห์ไปเตือนชาวโลกเพื่อให้คนได้มีโอกาสกลับใจ และหนีรอดจากการถูกทำลาย ในขณะที่เวลาพระคริสต์เสด็จมาเป็นครั้งที่สองย่างใกล้เข้ามา พระองค์ก็ทรงส่งผู้รับใช้ของพระองค์ออกไปเตือนชาวโลกให้เตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ครั้งใหญ่นั้น มีผู้คนมากหลายใช้ชีวิตละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้ามาตลอด บัดนี้พระองค์ทรงเรียกเขาทั้งหลายด้วยพระเมตตาให้เชื่อฟังกฎเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนที่ละทิ้งความบาปโดยกลับใจเข้าหาพระเจ้าและเชื่อในพระคริสต์ก็จะได้รับการอภัยโทษ แต่มีคนจำนวนมากรู้สึกว่าที่จะให้ละทิ้งความบาปเป็นการเสียสละจนเกินไป เนื่องจากชีวิตของเขาไม่สอดคล้องกับหลักการบริสุทธิ์ในการปกครองอันชอบธรรมของพระเจ้า เขาก็เลยปฏิเสธการทรงเตือนและไม่ยอมรับอำนาจแห่งพระบัญญัติของพระองค์ {PP 102.1}
ตักเตือนคนยุคสุดท้าย
ก่อนน้ำท่วมโลกประชากรมีจำนวนมหาศาล แต่มีเพียงแค่ 8 คน เท่านั้นที่ศรัทธาและเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสผ่านโนอาห์ เป็นเวลาถึง 120 ปี ด้วยกันที่ท่านได้เทศนาสั่งสอนในทางธรรม เตือนชาวโลกว่าโลกจะถูกทำลาย แต่สิ่งที่ท่านประกาศออกไปถูกปฏิเสธและเหยียดหยาม ในสมัยนี้ก็เช่นเดียวกัน ก่อนที่พระองค์ผู้ประทานพระบัญญัติจะเสด็จมาลงโทษผู้ไม่เชื่อฟัง คนที่ล่วงละเมิดทั้งหลายจะถูกเตือนให้กลับใจและหันกลับมาจงรักภักดีต่อพระองค์ แต่ข่าวที่ประกาศออกไปนี้ส่วนใหญ่จะเปล่าประโยชน์ ตามที่อัครทูตเปโตรได้เขียนไว้ว่า “ในกาลสุดท้ายคนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้นและประพฤติตามใจปรารถนาของตนและจะถามว่า ‘คำที่ทรงสัญญาไว้ว่าพระองค์จะเสด็จมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษหลับล่วงไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนเป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก’” (2 เปโตร 3:3–4 TH1971) แล้วเราเองได้ยินคำพูดเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เพียงแต่จากปากของคนที่ทำชั่วอย่างเปิดเผยเท่านั้น แต่ยังได้ยินจากผู้ที่ยืนเทศนาบนธรรมาสน์ด้วย เขาร้องประกาศว่า ‘ไม่มีอะไรน่าตื่นตระหนกหรอก ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จกลับมา โลกทั้งโลกจะกลับใจ และความชอบธรรมจะดำรงอยู่ 1,000 ปี สันติภาพ สันติภาพ สิ่งทั้งหลายทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนเป็นอยู่ตั้งแต่เดิมทรงสร้างโลก อย่าให้ใครตระหนกตกใจไปกับข่าวของพวกกระต่ายตื่นตูมนี้เลย’ แต่หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับ 1,000 ปี นั้นไม่สอดคล้องกับคำสอนของพระเยซูและอัครทูตของพระองค์2 พระเยซูทรงตั้งคำถามที่สำคัญว่า “เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ” (ลูกา 18:8 TH1971) และอย่างที่เห็นมาแล้วข้างต้น พระองค์ตรัสว่าเมื่อพระองค์เสด็จกลับมา โลกจะมีสภาพเหมือนกับในสมัยโนอาห์ เปาโลเตือนไว้ว่า เมื่อเวลาสุดท้ายย่างเข้ามา ความชั่วร้ายจะทวีขึ้นเรื่อยๆ “พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ” (1 ทิโมธี 4:1 TH1971) และยังกล่าวต่อไปอีกว่า “ในสมัยจะสิ้นยุคนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค” (2 ทิโมธี 3:1 TH1971) และท่านได้ระบุรายการความบาปชั่วอันน่าตกตะลึงที่จะพบอยู่ท่ามกลางคนที่นับถือศาสนาแต่เปลือกนอก {PP 102.2}
ขณะที่เวลาแห่งพระกรุณากำลังจะหมดลง คนในยุคก่อนน้ำท่วมโลกได้ปล่อยตัวปล่อยใจให้เร่าร้อนไปกับสิ่งบันเทิงเริงรมย์และงานเลี้ยงฉลองเฮฮา ผู้มีอำนาจและอิทธิพลมุ่งมั่นให้ผู้คนหมกมุ่นอยู่กับความสนุกสนานตามอำเภอใจเพื่อไม่ให้ใครได้รับอิทธิพลจากการประกาศเตือนที่จริงจังเป็นครั้งสุดท้ายนั้น แล้วก็เป็นเช่นเดียวกับทุกวันนี้มิใช่หรือ เมื่อขณะที่ผู้รับใช้ของพระเจ้าประกาศออกไปว่าวาระสุดท้ายใกล้เข้ามาแล้ว ชาวโลกกำลังมัวเมาไปกับความรื่นเริงบันเทิงใจ ความตื่นเต้นที่มีอยู่ตลอดเวลาเป็นเหตุให้คนไม่สนใจพระเจ้าและไม่สามารถรับอิทธิพลจากความจริงซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่จะช่วยเขาให้รอดจากการถูกทำลายที่กำลังจะมาถึง {PP 103.1}
หลักปรัชญาที่ขัดแย้ง
นักปราชญ์ทั้งหลายในสมัยโนอาห์ประกาศว่าเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ เช่นเดียวกับสมัยนี้ที่มีนักวิทยาศาสตร์บางคนพยายามแสดงให้เห็นว่าโลกจะไม่มีทางถูกทำลายด้วยไฟ เพราะตามกฎธรรมชาติแล้วคงเป็นไปไม่ได้ แต่พระเจ้าผู้ทรงสร้าง ผู้ทรงควบคุมธรรมชาติและกฎของมันนั้น ทรงสามารถใช้พระหัตถกิจของพระองค์เพื่อสนองพระประสงค์ของพระองค์ได้ {PP 103.2}
เมื่อนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้พิสูจน์จนพอใจแล้วว่าเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำ เมื่อความหวั่นวิตกของผู้คนสงบลง เมื่อทุกคนถือว่าคำทำนายของโนอาห์เป็นสิ่งเหลวไหลและหาว่าท่านบ้าคลั่ง เมื่อนั้นแหละที่เวลาของพระเจ้ามาถึง “น้ำจากบาดาลก็พลุ่งขึ้นมาตามธารทุกสาย และช่องฟ้าก็เปิด” แล้วน้ำก็ได้พัดท่วมบรรดาคนที่เยาะเย้ยไปเสีย กว่าจะพบว่าปัญญาและปรัชญาที่พวกเขาเคยโอ้อวดกันนักหนานั้นเป็นความเขลา ก็สายไปเสียแล้ว กว่าจะรู้ว่าพระเจ้าผู้ประทานกฎบัญญัตินั้นยิ่งใหญ่เหนือกฎธรรมชาติ และสรรพานุภาพ3 ของพระองค์ไม่ขาดวิธีที่จะทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ ก็สายไปเสียแล้วจริงๆ “ในสมัยของโนอาห์ เหตุการณ์ได้เป็นมาแล้วอย่างไร…ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็เป็นเหมือนอย่างนั้น” (ลูกา 17:26, 30 TH1971) “แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงเสียไปด้วยเสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น” (2 เปโตร 3:10 TH1971) เมื่อเหตุผลทางปรัชญาขจัดความกลัวที่พระเจ้าจะทรงลงโทษออกไป เมื่อผู้สอนศาสนาชี้ไปข้างหน้าถึงยุคสมัยแห่งสันติภาพอันรุ่งเรืองยาวนาน และชาวโลกกำลังหลงระเริงไปกับธุรกิจและสิ่งบันเทิง มีการปลูกหว่าน ก่อสร้าง เลี้ยงฉลองรื่นเริงกัน ทั้งปฏิเสธการทรงเตือนของพระเจ้าและเยาะเย้ยผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อนั้นแหละ “ความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที” และเขาจะหนีไม่พ้น (1 เธสะโลนิกา 5:3) {PP 103.3}