อยู่ด้วยความเชื่อ18. ชอบธรรมโดยความเชื่อ

18. ชอบธรรมโดยความเชื่อ

“การกระทำใดๆ ซึ่งไม่ได้มาจากความเชื่อก็เป็นบาป” (โรม 14:23 TNCV) {LBF 55.1}

ความเชื่อมาจากพระเจ้า ไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเอง (ดู เอเฟซัส 2:8) ฉะนั้นสิ่งใดที่ไม่ได้เกิดจากพระเจ้าก็เป็นบาป {LBF 55.2}

สิ่งใดที่มาจากพระเจ้าก็เป็นความชอบธรรม ความเชื่อคือของประทานจากพระเจ้า และทุกอย่างที่มาจากความเชื่อจึงเป็นความชอบธรรม เช่นเดียวกับทุกสิ่ง “ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น” {LBF 55.3}

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นผู้เบิกทางแห่งความเชื่อ และทรงเป็นผู้ที่ทำให้ความเชื่อของเราสมบูรณ์ (ดู ฮีบรู 12:2) ความเชื่อเกิดขึ้นมาโดยผ่านพระวจนะของพระเจ้า และเป็นไปตามที่พระวจนะกำหนด ด้วยว่า “ความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระวจนะของพระเจ้า” (โรม 10:17 TKJV) ที่ใดที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้า ที่นั่นก็ไม่อาจมีความเชื่อได้เลย {LBF 55.4}

พระวจนะของพระเจ้ามีสาระแก่นสารและมีพลังมากที่สุดในจักรวาล ทุกสิ่งล้วนแต่เกิดมาโดยพระวจนะนั้น และมีพลังเนรมิตในตัวพระวจนะเอง อย่างที่เขียนไว้ว่า “โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์” “เพราะพระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชา มันก็ออกมา” (สดุดี 33:6, 9 TH1971) เมื่อโลกนี้ถูกสร้างขึ้นมา และมีความมืดทึบปกคลุมอยู่เหนือน้ำนั้น “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น’” (ปฐมกาล 1:3) {LBF 55.5}

พระวจนะของพระเจ้ามีพลังให้เกิดผลในตัวเอง ซึ่งจะให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์เมื่อเรายอมรับเอาในฐานะที่เป็นพระวจนะของพระองค์จริงๆ “เมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13) ดังนั้น ความเชื่อที่แท้จริง คือการน้อมรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในใจ เพื่อให้เกิดผลในชีวิต เป็นความเชื่อที่จะนำให้เราเป็นคนชอบธรรมอย่างแท้จริง เพราะโดยการรับเอาพระวจนะของพระเจ้า พระองค์จะให้สำเร็จตามน้ำพระทัยของพระองค์ในชีวิตของเราดังที่เขียนไว้ในพระวจนะนั้น ตามพระดำรัสของพระองค์ผู้ทรงเนรมิตสร้าง นี่คือกิจการแห่งความเชื่อ เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าซึ่งมาโดยความเชื่อ คือการกระทำที่ชอบธรรมนั่นเอง ฉะนั้น “พระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13) เช่นนี้แหละ พระอุปนิสัย คือความชอบธรรมของพระเจ้าจะปรากฏอยู่ในชีวิตของเรา เพื่อให้เราชนะอำนาจแห่งความบาป และช่วยเราให้รอดพ้นด้วยความชอบธรรม {LBF 55.6}

การเป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อล้วนๆ เป็นดังนี้แหละ เป็นความชอบธรรมโดยไม่ได้อาศัยการประพฤติปฏิบัติ แล้วความเชื่ออันเป็นของประทานจากพระเจ้า ซึ่งมาโดยพระวจนะของพระองค์จะสัมฤทธิ์ผลในตัวมันเองให้เรากระทำภารกิจของพระเจ้า ความเชื่อนี้ไม่ต้องอาศัยการปฏิบัติอันเปรอะเปื้อนด้วยบาปของเราเพื่อให้เป็นที่ยอมรับของพระเจ้าได้ เพราะโดยความเชื่อนี้เองเราจะกระทำสิ่งที่ดีงาม ความเชื่อจึงเพียงพอที่จะเติมชีวิตให้เต็มเปี่ยมด้วยความดีของพระองค์ โดยไม่ต้องอาศัยการลงทุนลงแรงอันมีที่ติของเรา {LBF 56.1}

ความเชื่อที่กล่าวมานี้ไม่ได้อาศัย ‘การทำดี’ ของเรา แต่ตรงกันข้าม ความเชื่อก่อให้เกิด ‘การทำดี’ คือช่วยเราให้สามารถทำดีได้ พระคัมภีร์ไม่ได้เขียนว่า ‘ความเชื่อรวมกับการกระทำ’ หากแต่กล่าวว่า “ความเชื่อซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำ” “เพราะว่าในพระเยซูคริสต์นั้นการเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตไม่เกิดประโยชน์อันใด แต่ความเชื่อซึ่งแสดงออกเป็นการกระทำด้วยความรัก” (กาลาเทีย 5:6) “ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่า ความเชื่อได้กระทำกิจ” (ยากอบ 2:22 TKJV) “เรา…รำลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำ” “กิจการแห่งความเชื่อทุกอย่างสำเร็จด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์” (1 เธสะโลนิกา 1:3; 2 เธสะโลนิกา 1:11) “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 6:29) นี่คือความเชื่อในพระเจ้า พระคัมภีร์บางฉบับแปลว่าเป็น “ความเชื่อของพระเจ้า” ตามที่พระเยซูกำชับให้เรามี (ดู มาระโก 11:22) ความเชื่อนี้ได้สำแดงออกในชีวิตของพระเยซู และโดยพระคุณแล้ว พระองค์พร้อมที่จะประทานแก่เราและคนทั้งหลายที่อยู่ในโลกด้วย {LBF 56.2}