19. กลับสู่คานาอัน

บ่อน้ำยาโคบ

ยาโคบข้ามแม่น้ำจอร์แดน “มาถึงเมืองเชเคม ในแคว้นคานาอันอย่างปลอดภัย” (ปฐมกาล 33:18 TH1971) พระเจ้าทรงตอบคำทูลขอที่ท่านเคยอธิษฐานเมื่อครั้งอยู่เบธเอลด้วยประการฉะนี้ว่า ขอให้พระองค์ทรงนำท่านกลับมาถึงบ้านเกิดอย่างสันติอีกครั้ง ท่านอาศัยอยู่ที่หุบเขาเชเคมระยะหนึ่ง ซึ่งกว่า 100 ปีก่อนหน้านั้นอับราฮัมเคยตั้งค่ายและก่อแท่นบูชาที่นั่นเป็นครั้งแรกในดินแดนแห่งพระสัญญา ยาโคบได้ “ซื้อที่ดินแปลงที่ตั้งเต็นท์อยู่นั้นจากบุตรชายของฮาโมร์บิดาของเชเคมเป็นเงิน 100 เหรียญ ยาโคบสร้างแท่นบูชาที่นั่น เรียกแท่นนั้นว่า เอลเอโลเฮอิสราเอล” มีความหมายว่า ‘พระเจ้าคือพระเจ้าของอิสราเอล’ (ปฐมกาล 33:19–20 TH1971) ยาโคบสร้างแท่นบูชาถวายพระเจ้าข้างเต็นท์ของตนเหมือนที่อับราฮัมเคยทำ และเรียกสมาชิกครอบครัวมาถวายบูชาเช้าเย็น ท่านขุดบ่อน้ำไว้ที่นั่น ซึ่ง 1,700 ปีต่อมา พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงบังเกิดในเชื้อสายของท่านและได้ประทับข้างๆ บ่อน้ำแห่งนี้เพื่อพักผ่อนในเที่ยงวันหนึ่งที่แดดร้อน พระองค์ทรงเล่าให้คนที่กำลังสนใจฟังถึงน้ำแห่งชีวิตที่จะเป็น “น้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 4:14 TH1971) {PP 204.1}

การอาศัยที่ไม่ได้พัก

แต่การพักอาศัยที่เชเคมของยาโคบกับลูกๆ จบลงอย่างทารุณจนถึงขั้นเลือดตกยางออก ลูกสาวคนเดียวในบ้านถูกข่มขืนให้อับอายขายหน้า พี่ชาย 2 คนของเธอจึงลงมือทำการฆาตกรรม เมืองทั้งเมืองพินาศและคนถูกฆ่าตายเป็นเบือ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อแก้แค้นการกระทำผิดที่ไร้ศีลธรรมของชายหนุ่มคนหนึ่งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ แท้ที่จริงลูกสาวยาโคบเองเป็นชนวนนำไปสู่ความเสียหายอันใหญ่หลวงนี้ เพราะเธอ “ออกไปเยี่ยมผู้หญิงในถิ่นนั้น” เธอเสี่ยงที่จะคบหาสมาคมกับคนที่ไม่นับถือพระเจ้า ใครก็ตามที่แสวงหาความบันเทิงใจร่วมกับคนที่ไม่ยำเกรงพระเจ้านั้นกำลังเดินเข้าสู่อาณาเขตของซาตานเพื่อเปิดทางให้มันทดลอง {PP 204.2}

ที่พี่ชาย 2 คนคือเลวีกับสิเมโอนได้ทำการชั่วร้ายนั้นมีมูลเหตุก็จริง แต่ในการแก้แค้นชาวเมืองเชเคมนั้นเขาทั้งสองได้ทำบาปอย่างใหญ่หลวง พี่น้อง 2 คนนี้ได้ปิดบังความตั้งใจอย่างมิดชิดไม่ให้บิดารู้ ยาโคบถึงกับใจหายใจคว่ำเมื่อได้ยินถึงเหตุการณ์การแก้แค้นนั้น จิตใจท่านหดหู่ต่อเรื่องการหลอกลวงและความโหดร้ายของบุตรชายทั้งสอง แต่ท่านกล่าวได้แค่เพียงว่า “เจ้าทำให้เราเดือดร้อน โดยทำให้เราเป็นที่เกลียดชังแก่คนถิ่นนี้…เรามีผู้คนน้อยนัก ถ้าพวกนั้นรุมโจมตีพวกเรา ก็จะทำให้เราและครอบครัวพินาศสิ้น” แล้วเกือบ 50 ปีต่อมา เมื่อยาโคบอยู่ที่อียิปต์และต้องล้มหมอนนอนเสื่อใกล้จะตายอยู่นั้น ท่านได้กล่าวถ้อยคำที่แสดงถึงความเศร้าโศกและความเกลียดชังที่มีต่อการกระทำของบุตรทั้งสองว่า “สิเมโอนกับเลวีเป็นพี่น้องกัน กระบี่ของเขาเป็นเครื่องอาวุธร้ายกาจ จิตวิญญาณของเราเอ๋ย อย่าเข้าไปในที่ชุมนุมของเขา จิตใจของเราเอ๋ย อย่าเข้าร่วมในที่ประชุมของเขา…ให้ความโกรธของเขาถูกแช่งเพราะรุนแรง ให้ความโมโหของเขาถูกสาปเพราะดุร้าย” (ปฐมกาล 49:5–7 TH1971) {PP 204.3}

ระลึกถึงเบธเอล

ยาโคบรู้สึกอับอายมากเพราะลูกชายมีอุปนิสัยโหดร้าย เป็นคนหลอกลวง และมีพระเทียมเท็จอยู่ในค่าย แม้แต่ในครอบครัวของท่านเองก็ยังมีการไหว้รูปเคารพ ถ้าพระเจ้าจะทรงจัดการกับพวกเขาให้สมกับการกระทำแล้ว พระองค์คงปล่อยให้พวกเขาเป็นเหยื่อของคนต่างชาติที่อยู่รอบๆ นั้นมาทำลายแก้แค้น {PP 205.1}

ในขณะที่ยาโคบอยู่ในสภาพระทมทุกข์นั้น พระเจ้าทรงชี้นำให้ท่านเดินทางไปทิศใต้สู่เมืองเบธเอล เมื่อท่านหวนคิดถึงสถานที่แห่งนั้นก็ระลึกถึงนิมิตที่เห็นเหล่าทูตสวรรค์และพระสัญญาว่าพระเจ้าจะทรงเมตตาท่าน เมื่อคิดถึงคำปฏิญาณของตนที่เคยกล่าวไว้ที่นั่นว่าพระองค์จะเป็นพระเจ้าของท่าน จึงตั้งใจว่าก่อนที่จะไปถึงที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น ครอบครัวจะต้องไม่มีมลทินจากการไหว้รูปเคารพ ท่านจึงสั่งทุกคนในค่ายว่า “จงทิ้งพระต่างด้าวที่อยู่ท่ามกลางเจ้าเสียให้หมด ชำระตัว และเปลี่ยนเครื่องนุ่งห่ม ให้พวกเราไปเบธเอล ที่นั่นข้าจะทำแท่นบูชาพระเจ้าผู้ทรงตอบข้าในวันที่ข้ามีความทุกข์ใจ และทรงอยู่กับข้าในสถานที่ทุกแห่งที่ข้าไปนั้น” {PP 205.2}

ยาโคบเล่าเรื่องการไปที่เมืองเบธเอลครั้งแรกอย่างสุดซึ้งใจ คราวนั้นท่านออกจากเต็นท์ของพ่อเพื่อหนีเอาชีวิตรอด พเนจรอย่างเดียวดาย แต่พระเจ้าทรงปรากฏในนิมิตกลางคืน ขณะที่ยาโคบพูดทบทวนการทรงนำที่แสนประเสริฐของพระเจ้าตลอดมา จิตใจของท่านและลูกๆ จึงสงบลง การกระทำของยาโคบนี้เป็นวิธีเตรียมการที่ได้ผลที่สุดเพื่อให้พวกเขาพร้อมที่จะนมัสการพระเจ้าเมื่อถึงเบธเอล “คนทั้งหลายเอาพระต่างด้าวทั้งหมดที่มีอยู่ กับตุ้มหูที่หูของเขามาให้ยาโคบ ยาโคบก็ฝังไว้ใต้ต้นก่อที่อยู่ใกล้เมืองเชเคม” {PP 205.3}

พระเจ้าทรงกระทำให้ชาวเมืองที่อาศัยอยู่โดยรอบเกิดความกลัวเกรงจนไม่กล้าแก้แค้นที่ลูกชาย 2 คนของยาโคบฆ่าสังหารหมู่ที่เชเคม พวกเขาจึงเดินทางไปถึงเบธเอลด้วยความปลอดภัย และพระเจ้าทรงปรากฏแก่ยาโคบที่นั่นอีกและทรงย้ำพันธสัญญาอีกครั้ง แล้ว “ยาโคบก็ปักเสาศักดิ์สิทธิ์ไว้ที่นั่นที่พระองค์ตรัสแก่ตน เป็นเสาหินศักดิ์สิทธิ์” {PP 206.1}

เมื่อไปถึงเบธเอลยาโคบต้องไว้ทุกข์ให้กับการเสียชีวิตของเดโบราห์พี่เลี้ยงของนางเรเบคาห์ เธอได้รับเกียรติให้เป็นหนึ่งในสมาชิกครอบครัวเป็นเวลานาน และได้เดินทางติดตามนายหญิงมาจากเมโสโปเตเมียจนถึงดินแดนคานาอัน เมื่อหญิงชราคนนี้อยู่ในบ้านก็ทำให้ยาโคบรู้สึกอบอุ่น คิดถึงสมัยตอนเป็นหนุ่มและโดยเฉพาะแม่ที่รักและห่วงใยตนอย่างแรงกล้า การฝังศพเดโบราห์เต็มไปด้วยความเศร้าโศกมากยิ่งจนกระทั่งพวกเขาตั้งชื่อให้ต้นก่ออันเป็นสถานที่ฝังศพนั้นว่า ‘ต้นก่อแห่งการร่ำไห้’ พระเจ้าทรงเห็นควรให้บันทึกการรับใช้ด้วยความซื่อสัตย์ของเดโบราห์และการร่ำไห้ไว้ทุกข์เพื่อเธอในพระวจนะของพระองค์ เราจึงไม่ควรมองข้ามเรื่องนี้ {PP 206.2}

อาลัยหาราเชล

การเดินทางจากเบธเอลไปเฮโบรนใช้เวลาเพียง 2 วัน แต่หนทางนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์โศกสำหรับยาโคบเพราะนางราเชลเสียชีวิตกลางทาง ยาโคบรับใช้พ่อตา 14 ปีเต็มๆ เพื่อเป็นค่าสินสอดของราเชล แต่สำหรับท่านมันเป็นงานที่น้อยนิดเพราะท่านรักราเชลมาก เราจะเข้าใจได้ดีขึ้นว่าความรักที่ยาโคบมีต่อราเชลนั้นลึกซึ้งและมั่นคงเพียงใด เพราะหลังจากเวลาล่วงเลยไปนานเมื่อท่านใกล้จะตายในอียิปต์ โยเซฟได้ไปเยี่ยมพ่อ ผู้เป็นพ่อจึงรำพึงถึงอดีตชีวิตที่ผ่านมาว่า “เมื่อพ่อจากปัดดานมาก็เศร้าใจที่ราเชลสิ้นชีวิตในแคว้นคานาอันขณะอยู่ตามทางยังห่างจากเอฟราธาห์ แล้วเราได้ฝังศพไว้ริมทางไปเอฟราธาห์” (ปฐมกาล 48:7 TH1971) ในช่วงชีวิตอันยาวนานและยากลำบากของยาโคบ ท่านพูดถึงการสูญเสียราเชลเพียงอย่างเดียว {PP 206.3}

ก่อนที่ราเชลจะเสียชีวิตนางได้คลอดบุตรชายคนที่สอง และขณะที่กำลังจะสิ้นใจอยู่นั้นนางได้ตั้งชื่อว่า เบนโอนี มีความหมายว่า ‘บุตรชายแห่งความทุกข์ของข้า’ แต่บิดาเรียกว่า เบนยามิน แปลว่า ‘บุตรชายแห่งมือขวาของข้า’ หรือ ‘บุตรชายแห่งกำลังของข้า’ ราเชลถูกฝังไว้ตรงที่ที่นางตาย พวกเขาปักเสาหลักไว้ที่นั่นเพื่อเป็นอนุสรณ์ให้คนรุ่นหลังได้ระลึกถึงนาง {PP 206.4}

ขณะที่เดินทางไปเอฟราธาห์นั้นเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีกอย่างหนึ่งซึ่งทำลายชื่อเสียงของครอบครัวยาโคบ และเป็นเหตุให้รูเบนบุตรหัวปีไม่ได้รับเกียรติหรือสิทธิของบุตรหัวปี {PP 206.5}

การเดินทางของยาโคบสิ้นสุดลงเมื่อมาถึงเต็นท์ของ “อิสอัคบิดาของตนที่มัมเร…(คือเฮโบรน)” ที่ซึ่งอับราฮัมเคยอาศัยมาก่อน ท่านอยู่ที่นั่นในช่วงบั้นปลายชีวิตของบิดา สำหรับอิสอัคที่ตาบอดและอ่อนแอเพราะความแก่ชรา เมื่อบุตรชายที่เคยหายหน้าไปเป็นเวลานานกลับคืนมาก็ได้ช่วยปลอบประโลมจิตใจที่เศร้าโศกเหงาหงอยจากการสูญเสียภรรยาเป็นเวลาหลายปี {PP 207.1}

บรรจบมาพบกัน

ยาโคบกับเอซาวพบกันข้างเตียงบิดาผู้ใกล้จะสิ้นลม เอซาวผู้เป็นพี่เคยรอคอยเวลานี้มานานเพื่อจะแก้แค้นยาโคบหลังจากบิดาตาย แต่ความรู้สึกนั้นได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว ส่วนยาโคบพอใจกับสิทธิฝ่ายจิตวิญญาณที่ท่านได้รับจึงสละให้พี่ชายรับมรดกส่วนอื่น คือทรัพย์สมบัติของบิดาทั้งหมดซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่เอซาวต้องการอยู่แล้ว พี่น้องทั้งสองไม่ได้เกลียดชังหรืออิจฉากันอีกต่อไป แต่ก็แยกกันอยู่ เอซาวไปอาศัยอยู่ที่เทือกเขาเสอีร์ พระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมล้นด้วยพระพรทรงอวยพรยาโคบให้มั่งคั่งในทรัพย์สินนอกเหนือจากพระพรฝ่ายจิตวิญญาณที่ท่านแสวงหาตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เพราะทรัพย์สมบัติของทั้งสองมีมาก จะอยู่ด้วยกันมิได้ ดินแดนที่เขาอาศัยนั้น ไม่พอให้เขาเลี้ยงฝูงสัตว์” (ปฐมกาล 36:7 TH1971) การแยกกันอยู่นี้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อยาโคบ เนื่องจากสองพี่น้องมีความเชื่อที่แตกต่างกันอย่างมาก สู้แยกกันอยู่นั้นจะดีกว่า {PP 207.2}

เอซาวกับยาโคบได้รับการสั่งสอนในเรื่องพระเจ้าเหมือนๆ กัน ทั้งสองมีอิสระที่จะดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระองค์และเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ แต่สองพี่น้องกลับเลือกเดินคนละทาง และเส้นทางที่ทั้งสองเดินนั้นก็ยิ่งห่างออกจากกัน {PP 207.3}

พระเจ้าไม่ได้ทรงลิขิตให้เอซาวถูกกีดกันจากพระพรแห่งความรอด เพราะของประทานแห่งพระคุณมีไว้ให้ทุกคนในพระเยซูคริสต์โดยไม่ต้องเสียค่าใดๆ พระเจ้าไม่ได้ทรงกำหนดให้ใครต้องพินาศ แต่อยู่ที่การตัดสินใจของแต่ละคนต่างหาก พระเจ้าทรงกำหนดเงื่อนไขแห่งความรอดสำหรับทุกคนในพระคำของพระองค์ นั่นคือการรักษาพระบัญญัติของพระองค์โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระเจ้ามีพระประสงค์ให้อุปนิสัยของคนสอดคล้องกับพระบัญญัติของพระองค์ แล้วคนที่ทำตามมาตรฐานนี้จะได้เข้าสู่แผ่นดินของพระองค์ พระเยซูเองตรัสว่า “ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็มีชีวิตนิรันดร์ ผู้ที่ไม่เชื่อฟังพระบุตรก็จะไม่ได้เห็นชีวิต” (ยอห์น 3:36 TH1971) “มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘พระองค์เจ้าข้า พระองค์เจ้าข้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้ทรงสถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้” (มัทธิว 7:21 TH1971) และในวิวรณ์พระองค์ตรัสว่า “คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู” (วิวรณ์ 12:14 TH1971) ในพระวจนะของพระเจ้ามีเพียงการรักษาพระบัญญัติเท่านั้นที่จะกำหนดความรอดของมนุษย์ในที่สุ {PP 207.4}

ทุกคนที่บากบั่นต่อไปเพื่อให้ได้ความรอดด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นจะได้รับความรอด พระเจ้าจะทรงรับคนที่สวมใส่เครื่องยุทธภัณฑ์และ “ต่อสู้อย่างเต็มกำลังความเชื่อ” (1 ทิโมธี 6:12 TH1971) พระองค์จะทรงรับคนที่เฝ้าระวังอธิษฐาน ศึกษาค้นคว้าพระวจนะและวิ่งหนีการทดลอง พระองค์จะทรงรับคนที่เชื่อมั่นอย่างต่อเนื่องและเชื่อฟังพระวจนะทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระองค์ พระเจ้าทรงเตรียมความรอดให้ทุกคนเสมอกันโดยไม่ต้องเสียค่าอะไร แต่ในที่สุดเขาจะรอดหรือไม่นั้นก็ขึ้นอยู่กับการทำตามเงื่อนไข {PP 208.1}

ทางเลือกและผลพวง

เอซาวดูหมิ่นพระพรแห่งพันธสัญญา เขาเห็นแก่ปากท้องและวัตถุสิ่งของที่มองเห็นได้มากกว่าพระพรฝ่ายจิตวิญญาณ และเขาได้รับในสิ่งที่เขาต้องการ ที่เขาแยกตัวออกจากคนของพระเจ้าก็เป็นการเลือกของเขาเอง ส่วนยาโคบเลือกมรดกแห่งความเชื่อ ครั้งแรกท่านพยายามชิงมาด้วยเล่ห์เพทุบายและการฉ้อโกง แต่พระเจ้าทรงยอมให้ผลบาปที่ท่านทำนั้นตีสอนท่านให้ปรับปรุงแก้ไขตัวให้ดีขึ้น และตลอดชีวิตแห่งความขมขื่นตรากตรำที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้ท่านเขวไปจากเป้าหมายหรือล้มเลิกความตั้งใจ ยาโคบพบว่าการพึ่งทักษะไหวพริบและอุบายของมนุษย์เพื่อฉวยเอาพระพรของพระเจ้านั้น เท่ากับเป็นการต่อสู้กับพระองค์ คืนที่ปล้ำสู้ข้างแม่น้ำยับบอกเปลี่ยนท่านเป็นคนใหม่ ความมั่นใจในตัวเองถูกถอนรากถอนโคน ตั้งแต่นั้นมาท่านไม่มีนิสัยฉลาดแกมโกงอีกต่อไป แทนที่จะเป็นคนเจ้าเล่ห์เป็นนักหลอกลวง ท่านกลับมีชีวิตที่เรียบง่ายและอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง ท่านได้รับบทเรียนเรื่องการไว้วางใจในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ และเมื่อมีการทดลองหรือความทุกข์ยากลำบากท่านถ่อมตัวน้อมรับน้ำพระทัยของพระเจ้า ไฟได้เผาผลาญขยะในใจท่านออกไปและได้หล่อหลอมอุปนิสัยดุจทองคำ จนความเชื่อที่สว่างไสวเหมือนความเชื่อของอับราฮัมกับอิสอัคปรากฏในชีวิตของยาโคบ {PP 208.2}

ความบาปของยาโคบและผลพวงของมันส่งผลเสียอย่างห้ามไม่ได้ อิทธิพลร้ายเหล่านั้นออกผลที่ขมขื่นในอุปนิสัยและชีวิตของลูกๆ เมื่อลูกชายเหล่านี้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ก็มีนิสัยเสียหลายอย่าง การมีภรรยามากกว่า 1 คนได้ส่งผลเสียให้ครอบครัวและเป็นความชั่วร้ายที่กระทำให้ความรักเหือดแห้งลง ทั้งยังทำลายความผูกพันในครอบครัว ความอิจฉาของแม่แต่ละคนสร้างความขมขื่นในชีวิตครอบครัว ลูกๆ เติบโตขึ้นมากลายเป็นคนชอบวิวาทและไม่ยอมฟังใคร ชีวิตของบิดาจึงหม่นหมองด้วยความทุกข์กังวล {PP 208.3}

แต่ยังมีลูกคนหนึ่งที่มีนิสัยแตกต่างจากคนอื่น คือโยเซฟบุตรหัวปีของราเชล เขาเป็นคนรูปงามและเป็นคนดีเสมือนความดีงามของจิตใจฉายออกมาในรูปร่างลักษณะ เขามีความบริสุทธิ์ กระฉับกระเฉง และร่าเริง เป็นคนยึดมั่นในหลักศีลธรรมและพากเพียรทำความดี เขาฟังคำสั่งสอนของบิดาและพอใจเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ความสุภาพอ่อนโยน ความซื่อสัตย์และนิสัยที่พูดแต่เพียงความจริงปรากฏอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งต่อมาก็ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในประเทศอียิปต์ เมื่อแม่เสียชีวิตโยเซฟยิ่งผูกพันกับพ่อ ส่วนยาโคบที่ชรานั้นก็รักใคร่ลูกชายคนนี้มาก กระทั่ง “รักโยเซฟมากกว่าบุตรทั้งหมดของท่าน” {PP 209.1}

แต่ความรักนี้ก็ยังเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ระทม ยาโคบมีใจลำเอียงแสดงความรักแก่โยเซฟมากกว่าพี่น้องทั้งหมดโดยไม่ทันคาดคิดว่าจะทำให้ลูกชายคนอื่นๆ อิจฉา ส่วนโยเซฟนั้นทุกข์ใจมากเมื่อเห็นการประพฤติชั่วของพวกพี่ชาย เขาพยายามทักท้วงอย่างละมุนละม่อม แต่ก็ยิ่งทำให้พวกเขาขุ่นเคืองและเกลียดตนมากขึ้น เขาไม่อาจทนเห็นพี่ๆ ทำบาปต่อพระเจ้าอีกต่อไปได้จึงเล่าให้พ่อฟังโดยหวังว่าอิทธิพลของพ่อจะทำให้พี่ชายปรับปรุงตัว {PP 209.2}

ไม่เฉลียวใจ

ยาโคบระวังไม่ใช้คำพูดดุดันให้ลูกๆ โกรธจึงแสดงความรักความเป็นห่วงและวอนให้ลูกเห็นแก่ผมหงอกของพ่อ อย่าได้ทำให้พ่อต้องเสียชื่อเสียง และยิ่งกว่านั้นอย่าเพิกเฉยต่อกฎเกณฑ์ของพระเจ้าอย่างที่กำลังทำอยู่เพราะจะทำให้พระองค์เสียพระเกียรติ ลูกๆ ของยาโคบรู้สึกอับอายขายหน้าที่ความชั่วของเขาได้ปรากฏออกมาจึงทำทีว่ากลับใจ แต่แท้จริงในใจนั้นยิ่งโกรธเคืองมากขึ้นที่พฤติกรรมของตนถูกเปิดเผย {PP 209.3}

ยาโคบไม่ได้เฉลียวใจที่ให้เสื้อคลุมราคาแพงเป็นของขวัญแก่โยเซฟ ซึ่งโดยทั่วไปเสื้อชนิดนี้มีแต่บุคคลสำคัญเท่านั้นที่นิยมใส่กัน จึงเป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้พวกพี่ชายของโยเซฟมองว่าพ่อลำเอียง พวกเขาสงสัยว่าพ่ออาจมองข้ามลูกชายคนโตและมอบสิทธิบุตรหัวปีแก่ลูกชายของนางราเชลคนนี้ วันหนึ่งเมื่อโยเซฟเล่าความฝันให้พวกพี่ชายฟังก็ยิ่งทำให้พวกเขาเพิ่มพูนความเกลียดชังมากขึ้น โยเซฟพูดกับพวกพี่ชายว่า “ฟังความฝันซึ่งฉันฝันเห็นซิ พวกเรากำลังมัดฟ่อนข้าวอยู่ในนา ทันใดนั้นฟ่อนข้าวของฉันตั้งขึ้นยืนตรง แต่ฟ่อนข้าวของพวกพี่ๆ มาแวดล้อมกราบไหว้ฟ่อนข้าวของฉัน” {PP 209.4}

พี่ๆ ทั้งโกรธแค้นทั้งอิจฉาจึงถามว่า “เจ้าจะปกครองเรากระนั้นหรือ เจ้าจะมีอำนาจครอบครองเราหรือ” {PP 210.1}

จากนั้นไม่นานโยเซฟได้ฝันอีก ดูเหมือนสำคัญไม่แพ้ความฝันครั้งแรก เขาจึงเล่าให้พวกพี่ชายฟังว่า “ฉันฝันอีกครั้งหนึ่ง เห็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดาว 11 ดวงกำลังกราบไหว้ฉัน” พวกเขาตีความหมายความฝันนี้ได้ทันทีเหมือนความฝันครั้งแรก พ่อซึ่งฟังอยู่ก็ตำหนิโยเซฟว่า “ความฝันที่เจ้าได้ฝันเห็นนั้นหมายความว่าอะไร เรากับมารดาและพี่น้องของเจ้าจะมาซบหน้าลงถึงดินกราบไหว้เจ้ากระนั้นหรือ” ถึงแม้จะใช้คำพูดที่ฟังเหมือนจะดุดัน แต่ในใจยาโคบเชื่อว่าพระเจ้าทรงสำแดงอนาคตแก่โยเซฟ {PP 210.2}

เมื่อเจ้าหนุ่มโยเซฟยืนอยู่ต่อหน้าพี่ๆ ใบหน้าอันหล่อเหลาของเขามีความเปล่งปลั่งราวกับว่ากำลังฉายแสงแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ทรงดลใจให้มนุษย์รู้ถึงสิ่งลี้ลับของพระเจ้า พวกพี่ชายอดประทับใจน้องไม่ได้แต่ก็เลือกที่จะไม่ทิ้งความชั่วไป พวกเขาเกลียดความบริสุทธิ์ของน้องที่บ่งชี้ถึงความบาปของตนเอง นิสัยที่เคยกระตุ้นคาอินกำลังลุกโพลงอยู่ในจิตใจของพวกเขา {PP 210.3}

พี่ชายของโยเซฟต้องเร่ร่อนไปในที่ต่างๆ เพื่อหาทุ่งหญ้าให้ฝูงสัตว์กิน บางครั้งก็ไม่กลับบ้านเป็นเดือน หลังจากเหตุการณ์ข้างต้นนั้นพวกเขากลับไปอาศัยอยู่ในที่ดินของพ่อที่เชเคม เมื่อเวลาผ่านไปไร้ซึ่งข่าวคราว พ่อก็เริ่มเป็นห่วงเกรงว่าลูกๆ จะตกอยู่ในอันตรายเพราะเหตุความทารุณที่พวกเขาเคยทำต่อชาวเมืองเชเคม ยาโคบจึงส่งโยเซฟไปหาเพื่อนำข่าวกลับมาบอกพ่อว่าพี่ชายมีความเป็นอยู่กันอย่างไร หากยาโคบรู้ว่าใจจริงของลูกคนอื่นๆ คิดอย่างไรกับโยเซฟ ก็คงไม่ปล่อยให้โยเซฟไปโดยลำพัง แต่พวกเขาไม่เคยแพร่งพรายความรู้สึกที่แท้จริงให้ผู้เป็นพ่อรู้เลย {PP 210.4}

ชะตากรรมโยเซฟ

โยเซฟลาพ่อด้วยใจเบิกบาน ทั้งสองพ่อลูกไม่คาดคิดถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนที่จะได้พบกันอีก หลังจากเดินทางไกลไปคนเดียวโยเซฟก็มาถึงเมืองเชเคม แต่พวกพี่ชายและฝูงสัตว์ก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เมื่อถามคนแถวนั้นก็บอกให้ไปหาที่เมืองโดธาน โยเซฟเดินทางมาแล้วกว่า 80 กิโลเมตร และยังต้องไปต่ออีกประมาณ 24 กิโลเมตรจึงจะถึงจุดหมายปลายทาง แต่เขาก็รีบเดินต่อไป เขาหายเหนื่อยเมื่อคิดถึงว่าพ่อเป็นห่วง อยากได้ยินข่าว และคิดถึงพี่ๆ ที่แม้จะพูดไม่ดีกับเขาแต่เขาก็ยังรัก {PP 210.5}

พวกพี่ชายเห็นโยเซฟเดินมาแต่ไกล ในใจไม่ได้คิดถึงระยะทางที่น้องดั้นด้นมา ไม่ได้คิดถึงความเหน็ดเหนื่อยและความหิวโหย ไม่ได้คิดถึงความเป็นพี่เป็นน้องกันหรือว่าควรต้อนรับโยเซฟอย่างไร แต่กลับรู้สึกโกรธแค้นขุ่นเคือง เมื่อเห็นเสื้อคลุมอันเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่พ่อมีต่อเขา พวกพี่ชายเกือบจะเป็นบ้า โพล่งเยาะเย้ยออกมาว่า “เจ้าช่างฝันมานี่แล้ว” ความอิจฉาและความแค้นใจที่พวกเขาซ่อนไว้ในใจเป็นเวลานาน บัดนี้มาควบคุมพวกเขา “มาเถิด ให้พวกเราฆ่ามันเสีย แล้วทิ้งลงไว้ในบ่อบ่อหนึ่ง เราจะว่าสัตว์ร้ายกัดกินมันเสียแล้ว เราจะดูว่าความฝันนั้นจะเป็นจริงได้อย่างไร” {PP 210.6}

พวกเขาคงได้จัดการตามที่พูดเอาไว้หากรูเบนไม่ได้ขัดขวาง เขาไม่อยากร่วมมือกับน้องๆ ในการฆ่าโยเซฟ จึงเสนอให้จับเขาโยนลงไปในบ่อแห้งทั้งเป็นและปล่อยให้อดตายอยู่ในนั้น ทั้งนี้รูเบนวางแผนในใจแล้วว่าจะกลับมาภายหลังเพื่อช่วยโยเซฟออกจากบ่อและส่งคืนให้พ่อ หลังจากรูเบนโน้มน้าวน้องๆ สำเร็จ เขาก็เดินออกไปเพราะกลัวว่าจะควบคุมใจไม่อยู่แล้วคนอื่นจะรู้เจตนาของตน {PP 211.1}

โยเซฟตรงเข้ามาโดยไม่ระแวงว่าจะเกิดอันตราย เขาดีใจที่ตามหาพี่ชายจนพบในที่สุด แต่แทนที่พี่ๆ จะทักทายอย่างอบอุ่นตามที่คาดคิดเขากลับต้องสะพรึงกลัวเมื่อเห็นทุกคนจ้องมองเขาด้วยสายตาที่โกรธแค้น พวกเขาจับโยเซฟและกระชากเสื้อคลุมนั้นออก การเยาะเย้ยข่มขู่ของพวกพี่ชายทำให้โยเซฟรู้ว่าพวกเขาหมายจะเอาชีวิต เขาจึงร้องขอความเห็นใจ แต่พวกเขาไม่ไยดีต่อเสียงร้องอ้อนวอนของโยเซฟ เขาอยู่ในมือของคนที่กำลังบ้าคลั่งและไม่อาจดิ้นหลุด พวกเขาลากตัวโยเซฟไปอย่างรุนแรงและโยนลงไปในบ่อแห้ง เมื่อแน่ใจว่าโยเซฟหนีออกจากที่นั่นไม่ได้ พวกเขาก็ปล่อยโยเซฟไว้ให้อดตายแล้วก็กลับไป “นั่งรับประทาน” {PP 211.2}

ถูกขายให้เป็นทาส

ขณะเดียวกันนั้นมีพี่บางคนที่ใจสำนึกฟ้องจนกินอาหารไม่อร่อย เมื่อแก้แค้นเสร็จแล้วเขาไม่ได้รู้สึกสะใจอย่างที่คิด ในไม่ช้าก็เห็นขบวนนักเดินทางเดินมาแต่ไกล ชาวอิชมาเอลกำลังเดินทางจากฝั่งตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเพื่อไปขายเครื่องเทศและข้าวของอื่นๆ ในแผ่นดินอียิปต์ ยูดาห์จึงเสนอให้ขายน้องชายแก่พ่อค้าต่างถิ่นเหล่านั้นแทนการปล่อยให้อดตาย ซึ่งจะเป็นการจัดการน้องชายได้อย่างถาวรโดยไม่มีมลทินจากเลือดของเขา ยูดาห์กำชับต่อไปโดยให้เหตุผลว่า “เพราะเขาก็เป็นน้องและเป็นเลือดเนื้อของเราเหมือนกัน” ทุกคนเห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ จึงดึงโยเซฟขึ้นจากบ่อโดยเร็ว {PP 211.3}

โยเซฟตกใจเมื่อเห็นพ่อค้าเพราะตระหนักถึงสถานการณ์ได้ เขารู้ว่าการเป็นทาสน่ากลัวยิ่งกว่าการตาย โยเซฟหวาดผวาจึงอ้อนวอนพี่ชายแต่ละคนด้วยใจเป็นทุกข์ยิ่งแต่ก็ไร้ผล แม้บางคนจะรู้สึกสงสารแต่กลัวพี่น้องคนอื่นๆ เยาะเย้ยจึงเงียบไม่กล้าปริปาก ทุกคนรู้สึกว่าพวกเขาไปไกลเกินที่จะถอยกลับ ถ้าไม่ขายโยเซฟ น้องชายคนนี้ก็คงกลับไปฟ้องพ่อเป็นแน่ ซึ่งพ่อคงต้องเอาผิดที่ลูกชายคนโปรดถูกทำร้ายอย่างนี้ พวกเขาขืนทำใจแข็งต่อคำวิงวอนของโยเซฟและมอบเขาไว้ในมือของพ่อค้าชาวต่างชาติ แล้วขบวนอูฐก็ออกเดินทาง ในไม่ช้าก็ลับสายตาไป {PP 211.4}

รูเบนกลับไปที่บ่อแห้งนั้นแต่โยเซฟไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว เขาตกใจและโทษตัวเองจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแล้วออกไปหาน้องๆ พลันร้องตะโกนว่า “เด็กนั้นหายไปเสียแล้ว แล้วฉันจะไปที่ไหนเล่า” เมื่อรู้ชะตากรรมของโยเซฟว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะช่วยน้อง รูเบนจึงจำใจร่วมมือกับน้องๆ ในการปิดบังความผิด พวกเขาฆ่าลูกแพะและจุ่มเสื้อคลุมของโยเซฟในเลือด แล้วนำกลับไปให้บิดา บอกว่าเจอเสื้อตัวนี้ในทุ่งหญ้า กลัวว่าอาจเป็นของน้องชายจึง “ขอพ่อจงพิจารณาดูว่า ใช่เสื้อลูกของพ่อหรือไม่” พวกเขารอเวลานี้ด้วยความหวาดกลัวยิ่งนัก แต่กระนั้นก็ไม่พร้อมที่จะต้องเห็นท่าทีของพ่อที่หัวใจแทบสลายด้วยความทุกข์โดยไม่ยอมรับการปลอบใจ “นี่เป็นเสื้อลูกเรา สัตว์ร้ายกัดกินเขาเสียแล้ว โยเซฟลูกเราย่อยยับเสียแล้วเป็นแน่” ลูกๆ พยายามปลอบใจแต่ยาโคบไม่ฟัง “ยาโคบก็ฉีกเสื้อผ้า เอาผ้ากระสอบคาดเอวไว้ทุกข์ให้บุตรหลายวัน” เวลาที่ผ่านไปก็ไม่ได้ช่วยบรรเทาทุกข์เลย ท่านคร่ำครวญอย่างหมดอาลัยตายอยากว่า “เราจะโศกเศร้าถึงลูกเราจนกว่าเราจะตามลงไปยังแดนคนตาย” เมื่อชายหนุ่มเหล่านั้นทบทวนการกระทำของตนก็รู้สึกหวั่นผวาอยากสารภาพ แต่ในขณะเดียวกันก็กลัวพ่อจะต่อว่า จึงซ่อนความผิดเสียในใจซึ่งความผิดนั้นแม้พวกเขาเองก็เห็นว่าร้ายแรงยิ่งนัก {PP 212.1}