4. แผนการทรงไถ่
ความโศกเศร้าในสวรรค์
การที่มนุษย์ตกสู่ความบาปได้สร้างความโศกเศร้าขึ้นทั่วสวรรค์ โลกใบนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างต้องเสื่อมโทรมลงเพราะถูกสาปแช่งอันเนื่องมาจากความบาป ส่วนผู้เคราะห์ร้ายที่อาศัยอยู่ในโลกต้องทนกับความทุกข์ยากและเผชิญกับความตาย ไม่มีทีท่าว่าผู้ล่วงละเมิดจะมีทางหลีกหนีไปได้ เหล่าทูตสวรรค์ถึงกับหยุดร้องเพลงสรรเสริญ และทั่วทั้งสวรรค์มีการคร่ำครวญไว้ทุกข์กับความหายนะที่เกิดขึ้นเพราะความบาป {PP 63.1}
พระบุตรของพระเจ้าผู้บัญชาที่สง่างามแห่งสวรรค์ทรงมีพระทัยเมตตาสงสารมนุษย์ผู้หลงผิดเมื่อทรงคำนึงถึงความทุกข์ยากลำบากและความหายนะที่พวกเขาจะต้องรับ พระองค์ทรงเวทนาชาวโลกอย่างเหลือคณา แต่พระเจ้าได้ทรงดำริแผนการทรงไถ่มนุษย์ไว้ก่อนแล้วด้วยความรัก พระบัญญัติของพระเจ้าที่ถูกล่วงละเมิดนั้นเรียกร้องเอาชีวิตคนบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ทั่วจักรวาลมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถรับโทษแทนมนุษย์ได้ เนื่องจากว่าพระบัญญัติของพระเจ้ามีความศักดิ์สิทธิ์เทียบเท่ากับพระองค์เอง ดังนั้นผู้ที่จะสามารถชดใช้โทษของการล่วงละเมิดพระบัญญัติได้ก็ต้องเป็นผู้ที่มีสถานภาพเท่าเทียมกับพระเจ้า มีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถไถ่มนุษย์ที่ตกสู่ความบาปให้พ้นจากการถูกพระบัญญัติสาปแช่งและทรงนำมนุษย์ให้กลับมาสมานฉันท์กับสวรรค์ได้อีก พระคริสต์จะทรงทนรับความผิดและทรงให้ความอับอายขายหน้าแห่งความบาปตกอยู่บนพระองค์เอง ซึ่งความบาปนั้นแสนจะน่ารังเกียจสำหรับพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ จนเป็นเหตุให้พระบุตรและพระบิดาต้องพรากจากกัน พระคริสต์จะเสด็จลงมาจนถึงก้นบึ้งแห่งความทุกข์ระทมเพื่อกอบกู้มนุษยชาติที่เสื่อมเสียนั้นให้กลับคืนมา {PP 63.2}
แผนการไถ่มนุษย์
ในขณะที่บรรดาชาวสวรรค์รอฟังผลด้วยใจจดจ่ออย่างหาคำบรรยายมิได้ พระเยซูประทับอยู่จำเพาะพระพักตร์พระบิดาและทรงวิงวอนเพื่อคนบาป การปรึกษาอันลับลี้นั้นเป็นไปอย่างยาวนาน นั่นคือ “การหารือกันอย่างศานติ” (เศคาริยาห์ 6:13 TH1971) เพื่อมวลมนุษย์ที่ได้ตกสู่ความบาป พระเจ้าได้ทรงดำริแผนการช่วยมนุษย์ให้รอดไว้แล้วก่อนที่จะทรงสร้างโลก เพราะพระคริสต์คือ “พระเมษโปดก1ผู้ถูกประหารตั้งแต่แรกทรงสร้างโลก” (วิวรณ์ 13:8 TNCV) แต่ถึงกระนั้นก็ดี ยังเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับพระมหากษัตริย์แห่งจักรวาลที่จะทรงยอมให้พระบุตรของพระองค์ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษยชาติที่ผิดบาปนั้น แต่ “พระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอหน์ 3:16 TH1971) โอ การไถ่บาปของมนุษย์ช่างเป็นปริศนาลึกลับเสียนี่กระไร ที่พระเจ้าทรงรักโลกที่ไม่ได้รักพระองค์ มนุษย์คนใดเล่าอาจหยั่งถึงความรักที่ “เกินความรู้” ได้ (เอเฟซัส 3:19 TH1971) สมองอมตะของผู้ที่รอดในแผ่นดินของพระเจ้าจะเพียรพยายามเข้าใจความลี้ลับแห่งความรักที่เกินความเข้าใจนี้ตลอดชั่วนิรันดร์ และจะบูชารักพระองค์ด้วยความอัศจรรย์ใจตลอดไปเป็นนิตย์ {PP 63.3}
พระเจ้าจะทรงสำแดงพระองค์อยู่ในพระคริสต์และจะ “ทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์” นั้น (2 โครินธ์ 5:19 TH1971) มนุษย์เสื่อมโทรมไปด้วยความบาปจนกระทั่งโดยลำพังตัวเองแล้วไม่มีทางที่จะมีความสัมพันธ์กลมกลืนกับพระเจ้าผู้ทรงสภาพบริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยความดีได้ แต่หลังจากที่พระคริสต์ทรงไถ่มนุษย์ออกจากการถูกกล่าวโทษของพระบัญญัติแล้ว พระองค์สามารถประทานพลังอำนาจแห่งพระเจ้ามาร่วมกับความพยายามของมนุษย์ ดังนั้นโดยการกลับใจมาหาพระเจ้าและการเชื่อในพระเยซูคริสต์ ลูกหลานของอาดัมที่ตกสู่ความบาปนั้นอาจกลับมาเป็น “บุตรของพระเจ้า” ได้อีกครั้ง (1 ยอห์น 3:2 TH1971) {PP 64.1}
ทั่วทั้งสวรรค์ต้องเสียสละอย่างเหลือคณา ในแผนการเดียวที่สามารถกระทำให้ความรอดของมนุษย์มั่นคงปลอดภัยอยู่ได้ ขณะที่พระคริสต์ทรงเปิดเผยให้รู้ถึงแผนการทรงไถ่มนุษย์ เหล่าทูตสวรรค์ไม่อาจยินดีได้ เพราะพวกเขาเห็นว่าการช่วยมนุษย์ให้รอดนั้นจะทำให้พระคริสต์ผู้ทรงบังคับบัญชาและเป็นที่รักของพวกเขาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสุดบรรยาย เหล่าทูตสวรรค์ทั้งเศร้าและประหลาดใจขณะที่พระคริสต์ทรงเล่าว่า พระองค์จำต้องละทิ้งชีวิตนิรันดร์กับสันติสุข ความปีติยินดี ความบริสุทธิ์ และความรุ่งโรจน์ของสวรรค์ แล้วเสด็จลงมาสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับความเสื่อมโทรมของโลก และจะต้องสู้ทนกับความเศร้า ความอับอาย และความตาย พระองค์จะทรงยืนกั้นอยู่ระหว่างคนบาปและโทษแห่งความบาป ถึงกระนั้นก็จะมีเพียงน้อยคนที่จะยอมรับพระองค์ในฐานะพระบุตรของพระเจ้า พระองค์จะทรงสละตำแหน่งเจ้าสวรรค์อันสูงศักดิ์ และทรงถ่อมพระองค์ลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ในโลกนี้ เพื่อทรงคุ้นเคยกับความทุกข์และทรงประสบกับการทดลองที่มนุษย์ต้องทนนั้นด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องเกิดขึ้นเพื่อพระองค์จะ “…ทรงสามารถช่วยผู้ที่ถูกลองใจได้” (ฮีบรู 2:18 TH1971) เมื่อพันธกิจของการเป็นพระบรมครูสิ้นสุดลง พระองค์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนชั่ว และจะต้องทนต่อคำเยาะเย้ยและการถูกทรมานทุกอย่างที่ซาตานจะสามารถยุยงอยู่เบื้องหลังให้คนทำต่อพระองค์ พระองค์จะต้องสิ้นพระชนม์อย่างโหดเหี้ยมทารุณที่สุด และจะถูกยกขึ้นสูงเด่นระหว่างสวรรค์กับโลกประหนึ่งว่าเป็นคนบาปผิด พระองค์จะต้องทนอยู่กับความทุกข์ทรมานอันน่าสยดสยองอยู่นานนับหลายชั่วโมงจนทูตสวรรค์ถึงกับต้องเบือนหน้าหนีด้วยเหตุทนมองดูไม่ได้ พระองค์จะต้องทนทุกข์อย่างหนักเมื่อพระบิดาทรงซ่อนพระพักตร์ไว้จากพระองค์ขณะที่โทษของการล่วงละเมิด คือภาระแห่งบรรดาความบาปผิดของมนุษยชาติทั้งสิ้นถูกวางไว้บนพระองค์ {PP 64.2}
พระคริสต์ผู้ทรงไถ่
เหล่าทูตสวรรค์ได้กราบลงแทบพระบาทของพระคริสต์ผู้บังคับบัญชาของพวกเขา และเสนอตัวที่จะเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปของมนุษย์ แต่ชีวิตของทูตสวรรค์ไม่อาจแก้พันธะแห่งความบาปได้ มีแต่พระผู้สร้างมนุษย์เท่านั้นที่มีอำนาจไถ่มนุษย์ได้ ถึงกระนั้นเหล่าทูตสวรรค์ยังจะมีภารกิจอยู่ในแผนการทรงไถ่ พระคริสต์จะ “ทรงถูกทำให้ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงเล็กน้อย” เพื่อจะ “ทรงทนทุกข์ทรมานจนถึงสิ้นพระชนม์” (ฮีบรู 2:9 TNCV) เนื่องจากพระองค์จะทรงรับสภาพธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จะไม่มีพลกำลังเท่ากับเหล่าทูตสวรรค์ ทูตสวรรค์จะได้ปรนนิบัติรับใช้พระองค์เพื่อเสริมกำลังและปลอบประโลมพระองค์ในขณะที่ต้องทนกับความทุกข์ทรมาน พวกเขายังจะได้เป็น “วิญญาณผู้ปรนนิบัติ ที่พระองค์ทรงส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความรอด” อีกด้วย (ฮีบรู 1:14 TH1971) พวกเขาจะพิทักษ์รักษาบรรดาผู้ที่ได้รับพระคุณไว้จากอำนาจของเหล่าทูตของซาตาน และจากความมืดที่มันสาดเข้าใส่รอบตัวอย่างต่อเนื่อง {PP 64.3}
ต่อมาเมื่อถึงคราวที่ทูตสวรรค์จะได้เป็นพยานถึงความเจ็บปวดทรมานและความอัปยศอดสูที่พระผู้เป็นเจ้าจะต้องสู้ทนนั้น พวกเขาก็จะรู้สึกเศร้าสลดและขัดเคืองยิ่งนัก และใคร่จะช่วยพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือของฆาตกรเหล่านั้น แต่พวกเขาก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดขวางเหตุการณ์ใดๆ ที่จะได้เห็น เพราะในแผนการทรงไถ่ พระคริสต์จะต้องทนต่อการดูถูกเหยียดหยามและการถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของคนชั่ว พระองค์ทรงยินยอมต่อสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่มนุษยชาติ {PP 65.1}
พระคริสต์ทรงปลอบประโลมเหล่าทูตสวรรค์ว่าการสิ้นพระชนม์ของพระองค์จะช่วยไถ่คนจำนวนมาก และจะทำลายเจ้าผู้มีอำนาจแห่งความตาย พระองค์จะทรงกอบกู้อาณาจักรที่มนุษย์ได้สูญเสียไปเพราะการล่วงละเมิดนั้นให้กลับคืนมา และผู้ที่พระองค์ทรงไถ่จะได้รับแผ่นดินนั้นเป็นมรดกพร้อมกันกับพระองค์ และจะอาศัยอยู่ที่นั่นตลอดไปเป็นนิตย์ ความบาปและคนบาปจะถูกขจัดออกไปอย่างหมดสิ้น และจะไม่ได้ก่อกวนความสงบสุขในสวรรค์หรือแผ่นดินโลกอีกต่อไป พระองค์ทรงขอร้องให้เหล่าทูตสวรรค์พร้อมใจร่วมมือกับแผนการนั้นที่พระบิดาทรงยอมรับแล้ว และให้ชื่นชมยินดีที่มนุษย์ผู้หลงผิดจะสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้โดยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ {PP 65.2}
แล้วความสุขเหนือคำบรรยายได้ปกคลุมไปทั่วสวรรค์ เพราะสง่าราศีและความผาสุกของผู้ที่จะได้รับการทรงไถ่ในโลกมีค่ามากยิ่งกว่าแม้แต่การที่พระเยซูผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งชีวิตจะต้องเสียสละและทนต่อความทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัสก็ตาม แล้วเสียงเพลงสรรเสริญที่ต่อมาได้ร้องเหนือเบธเลเฮมก็ได้ดังก้องกังวานขึ้นไปทั่วสรวงสวรรค์เป็นครั้งแรกว่า “พระสิริจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด ส่วนบนแผ่นดินโลก สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งพระองค์ทรงโปรดปรานนั้น” (ลูกา 2:14 TH1971) เหล่าทูตสวรรค์ร้องเพลงด้วยความปีติยินดีอย่างลึกซึ้งยิ่งกว่าครั้งสร้างโลกใหม่ๆ “ในเมื่อดาวรุ่งแซ่ซ้องสรรเสริญ และบรรดาบุตรพระเจ้าโห่ร้องด้วยความชื่นบาน” (โยบ 38:7 TH1971) {PP 65.3}
ซาตาน
การกล่าวโทษซาตานในสวนเอเดนคือการเล็งให้มนุษย์เห็นเป็นครั้งแรกถึงการทรงไถ่ พระเจ้าตรัสว่า “เราจะให้เจ้ากับหญิงนี้เป็นศัตรูกัน ทั้งพงศ์พันธุ์ของเจ้าและพงศ์พันธุ์ของเขาด้วย พงศ์พันธุ์ของหญิงจะทำให้หัวของเจ้าแหลก และเจ้าจะทำให้ส้นเท้าของเขาฟกช้ำ” (ปฐมกาล 3:15 TH1971) คำกล่าวโทษซาตานที่พระองค์ตรัสต่อหน้าบรรพบุรุษคู่แรกนี้เป็นพระสัญญาสำหรับท่านทั้งสอง เพราะได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าถึงแม้จะมีสงครามระหว่างมนุษย์กับซาตาน แต่อำนาจของศัตรูผู้ยิ่งใหญ่นั้นจะถูกหักโค่นลงในที่สุด อาดัมกับเอวาได้ยืนอยู่ในฐานะผู้ร้ายจำเพาะพระพักตร์พระเจ้าผู้พิพากษาอย่างยุติธรรมและรอคอยการตัดสินโทษตามความผิดที่ได้กระทำ แต่ก่อนที่จะได้ยินถึงชีวิตที่ต้องตรากตรำและเศร้าโศก หรือพระดำรัสที่ตรัสว่าพวกท่านจะต้องกลับไปเป็นผงคลีดินนั้น พวกท่านได้ยินถ้อยคำที่ทำให้มีความหวังอย่างแน่แท้ ถึงแม้ว่าท่านทั้งสองจะต้องทนทุกข์เพราะอำนาจของฝ่ายปฏิปักษ์ก็ตาม แต่ก็ยังสามารถมองเห็นถึงชัยชนะในท้ายที่สุด {PP 65.4}
เมื่อซาตานได้ยินว่าตนและพงศ์พันธุ์ของตนจะเป็นศัตรูกับเอวาและพงศ์พันธุ์ของนาง มันก็รู้ว่ากิจการที่ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามลงนั้นจะถูกขัดขวาง มนุษย์จะได้รับความสามารถที่จะต้านอำนาจของมันได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง ถึงกระนั้นก็ดีเมื่อพระเจ้าทรงเผยแผนการแห่งความรอดมากขึ้นซาตานถึงกับปลาบปลื้มใจพร้อมกับพรรคพวกของมัน โดยคิดว่าหลังจากที่ได้ทำให้มนุษย์ตกสู่ความบาปแล้วมันก็ยังอาจดึงพระบุตรของพระเจ้าลงมาจากตำแหน่งอันสูงส่งได้อีกด้วย มันกล่าวว่าแผนการของตนได้สำเร็จในโลกมาถึงขั้นนี้ และเมื่อพระคริสต์เสด็จมารับสภาพธรรมชาติของมนุษย์ มันคงจะชนะพระองค์ได้ด้วย แล้วการไถ่มนุษยชาติที่ตกสู่บาปก็จะถูกกีดกันจนล้มเหลว {PP 66.1}
ทรงเผยแผนการให้มนุษย์ทราบ
ทูตสวรรค์ได้เปิดเผยแผนการทรงไถ่ให้รอดต่อบรรพบุรุษคู่แรกมากขึ้น อาดัมและคู่ครองของท่านได้รับการปลอบประโลมว่า ถึงแม้พวกท่านได้ทำบาปอันใหญ่หลวง แต่ก็จะไม่ถูกทอดทิ้งให้ซาตานครอบครองเสียทีเดียว พระบุตรของพระเจ้าทรงยินดีที่จะไถ่พวกท่านคืนมาจากโทษของการล่วงละเมิดนั้นด้วยพระชนม์ชีพของพระองค์เอง จะทรงให้มีช่วงเวลาแห่งพระกรุณา และโดยการกลับใจเชื่อในพระคริสต์พวกท่านก็จะได้กลับมาเป็นลูกของพระเจ้าอีก {PP 66.2}
การที่พระองค์ต้องเสียสละเพราะเหตุการณ์ล่วงละเมิดของอาดัมกับเอวาทำให้ท่านตระหนักว่าพระบัญญัติของพระเจ้าศักดิ์สิทธิ์จริง และทำให้เห็นถึงความผิด และผลอันเลวร้ายของความบาปอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ความรักของพระองค์เป็นแหล่งที่มาของความสุขทั้งสิ้น ท่านจึงวิงวอนด้วยใจเป็นทุกข์และสำนึกผิด ขออย่าให้โทษนั้นตกบนพระองค์เลย แต่ให้ตกลงมายังตนและเชื้อสายของตนจะดีกว่า {PP 66.3}
ทูตสวรรค์กล่าวต่อไปว่า เนื่องจากพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์เป็นรากฐานแห่งการปกครองของพระองค์ในสวรรค์เช่นเดียวกับในโลก ดังนั้นแม้แต่ชีวิตของทูตสวรรค์ก็ไม่อาจรับเป็นเครื่องบูชาชดใช้การล่วงละเมิดได้ จะไม่สามารถยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงพระบัญญัติสักข้อเดียวเพื่อกอบกู้มนุษย์จากสภาพที่เขาตกอยู่ แต่พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงสร้างมนุษย์สามารถไถ่ได้ การละเมิดของอาดัมได้นำเอาความทุกข์เวทนาและความตายเข้ามาในโลกฉันใด การสละพระชนม์ของพระคริสต์ก็จะนำมาซึ่งชีวิตนิรันดร์ฉันนั้น {PP 66.4}
มิใช่เฉพาะมนุษย์เท่านั้นแต่แผ่นดินโลกก็ต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจของจอมชั่วร้ายเพราะความบาปด้วย และโลกจะได้กลับสู่สภาพเดิมตามแผนการทรงไถ่เช่นกัน เมื่อทรงสร้างอาดัมนั้น อาดัมได้รับตำแหน่งเป็นผู้ปกครองอยู่เหนือโลก แต่โดยการยอมต่อการทดลอง ท่านต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจของซาตาน “เพราะว่ามนุษย์พ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น” (2 เปโตร 2:19 TH1971) เมื่อมนุษย์ตกเป็นเชลยของซาตานแล้ว อำนาจการปกครองที่เขาเคยมีก็ถูกโอนไปยังผู้ที่พิชิตเขา ดังนั้นซาตานก็กลายเป็น “พระของโลกนี้2” (2 โครินธ์ 4:4) มันได้แย่งชิงอำนาจการปกครองโลกที่ทรงมอบให้กับอาดัมในตอนแรก แต่การที่พระคริสต์จะทรงชำระโทษของความบาปด้วยการสละพระองค์เอง จะไม่เป็นเพียงแต่การไถ่มนุษย์เท่านั้น แต่จะเป็นการกอบกู้อำนาจการปกครองซึ่งอาดัมเสียไปให้กลับคืนมา ทุกสิ่งที่อาดัมคนแรกได้สูญเสียไป อาดัมคนที่สองคือพระคริสต์จะทรงทำให้คืนสู่สภาพเดิม ตามที่ผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า “โอ หอคอยที่เฝ้าฝูงสัตว์เอ๋ย เจ้าผู้เป็นเนินเขาบุตรีศิโยน ราชอำนาจจะมาสู่เจ้า อาณาจักรดั้งเดิมจะกลับมา คือราชอาณาจักรแห่งบุตรีเยรูซาเล็ม” (มีคาห์ 4:8 TH1971) และอัครทูตเปาโลได้ชี้ถึงอนาคตใน “การไถ่คืนของสิ่งที่ทรงซื้อไว้3” (เอเฟซัส 1:14) พระเจ้าทรงสร้างโลกไว้ให้ผู้บริสุทธิ์อาศัยที่นั่นอย่างมีความสุข พระองค์ “ทรงปั้นแผ่นดินโลกและทำมันไว้ พระองค์ทรงสถาปนามันไว้ พระองค์มิได้ทรงสร้างมันไว้ให้ยุ่งเหยิง พระองค์ทรงปั้นมันไว้ให้มีคนอาศัย” (อิสยาห์ 45:18 TH1971) พระประสงค์นี้จะสำเร็จเมื่อโลกถูกสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยอำนาจของพระเจ้า และถูกปลดเปลื้องจากความบาปและความเศร้าโศกให้เป็นที่อยู่ของผู้ที่พระองค์ทรงไถ่สืบไปเป็นนิตย์ “คนชอบธรรมจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดกและอาศัยอยู่บนนั้นเป็นนิตย์” และ “จะไม่มีสิ่งใดถูกสาปแช่งอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระเมษโปดกจะตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะนมัสการพระองค์” (สดุดี 37:29; วิวรณ์ 22:3 TH1971) {PP 67.1}
เมื่อครั้งอาดัมยังบริสุทธิ์ไร้เดียงสาอยู่นั้น ท่านเคยมีความสุขยินดีกับการติดต่อสื่อสารกับพระผู้สร้างอย่างเปิดเผย แต่ความบาปได้เข้าแทรกอยู่ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ มีเพียงการทรงไถ่ของพระคริสต์เท่านั้นที่จะเป็นเสมือนสะพานข้ามเหวลึกทำให้มนุษย์คืนดีกับพระเจ้าได้ และเชื่อมต่อให้สวรรค์สามารถอวยพรและสื่อความรอดมาสู่โลก มนุษย์ยังคงถูกตัดขาดไม่สามารถเข้าใกล้พระผู้สร้างโดยตรง แต่พระองค์จะทรงสื่อสารกับเขาผ่านทางพระคริสต์กับเหล่าทูตสวรรค์ {PP 67.2}
ดังนั้นพระเจ้าทรงเปิดเผยให้อาดัมเห็นจุดสำคัญๆ ของประวัติศาสตร์มนุษย์ล่วงหน้าตั้งแต่ถูกกล่าวโทษในสวนเอเดนไปยังสมัยน้ำท่วมโลก และจนกระทั่งถึงการเสด็จมาสู่โลกครั้งแรกของพระบุตรพระเจ้า อาดัมเห็นว่าถึงแม้การเสียสละของพระคริสต์จะมีค่าเพียงพอที่จะช่วยโลกทั้งโลกให้รอดได้ก็ตาม แต่จะมีหลายคนเลือกดำรงชีวิตในความบาปแทนการกลับใจเชื่อฟัง อาชญากรรมจะเพิ่มขึ้นตามแต่ละชั่วอายุที่สืบทอดกันไป ความหายนะแห่งบาปจะทับถมหนักขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางมนุษยชาติ ทั้งเหนือชีวิตสัตว์และแผ่นดินโลกด้วย มนุษย์จะอายุสั้นลงเรื่อยๆ เพราะชีวิตที่ดำรงอยู่ในความบาป เขาจะทรุดโทรมลงทางด้านการเติบโตและความคงทนของร่างกาย ทั้งในพลังสติปัญญาและศีลธรรม จนกระทั่งโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ยากแสนเข็ญทุกรูปแบบ และด้วยการหมกมุ่นปล่อยตัวตามกิเลสตัณหาของเนื้อหนัง มนุษย์จะไม่อาจซาบซึ้งถึงความจริงอันยิ่งใหญ่ของแผนการแห่งความรอดได้ แต่พระคริสต์ทรงซื่อสัตย์ต่อพระประสงค์ในการเสด็จจากสวรรค์ พระองค์ยังคงเอาใจใส่มนุษย์และเชิญชวนให้มาซ่อนความอ่อนแอและความบกพร่องในพระองค์ พระองค์จะประทานสิ่งที่จำเป็นแก่ทุกคนที่มาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ และในทุกสมัยก็จะมีน้อยคนที่ยังคงรักษาความรู้เรื่องของพระเจ้าไว้ไม่ให้เปรอะเปื้อนท่ามกลางความอธรรมที่แพร่หลาย {PP 67.3}
การถวายบูชา
พระเจ้าทรงเป็นผู้กำหนดระบบการถวายบูชาเพื่อเป็นเครื่องเตือนสติอันถาวรให้มนุษย์ถ่อมตัวยอมรับบาปที่ตนได้กระทำ และเป็นการประกาศถึงความเชื่อศรัทธาในพระผู้ไถ่ที่ทรงสัญญาไว้นั้น สิ่งเหล่านี้มีไว้เพื่อดลใจมนุษย์ผู้ตกสู่ความบาปให้สำนึกถึงความจริงอันหนักแน่นว่า ความบาปเป็นต้นเหตุของความตาย สำหรับอาดัมแล้วการถวายบูชาครั้งแรกนั้นเป็นพิธีกรรมที่แสนเจ็บปวดที่สุด ท่านจะต้องลงมือปลิดชีวิตสัตว์เพื่อบูชาด้วยตนเอง ซึ่งชีวิตของสัตว์นั้นล้วนแต่มาจากพระเจ้า นั่นเป็นครั้งแรกที่อาดัมเห็นความตาย ท่านรู้ว่าถ้าหากท่านได้เชื่อฟังพระเจ้าแล้ว ก็คงจะไม่มีสัตว์หรือมนุษย์ต้องตาย อาดัมตัวสั่นในขณะที่ฆ่าเหยื่อผู้ไร้เดียงสาพลางใคร่ครวญถึงบาปของตนที่เป็นเหตุให้ต้องคร่าชีวิตของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นเสมือนลูกแกะที่ปราศจากตำหนิของพระเจ้า ภาพนี้ทำให้ท่านรู้ซึ้งว่าการล่วงละเมิดของท่านร้ายแรงยิ่งนัก ซึ่งมีแต่การสิ้นพระชนม์ของพระบุตรที่รักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะชดใช้ได้ ท่านอัศจรรย์ใจในพระบารมีอันล้นพ้นที่พระองค์ทรงเสียค่าไถ่ถึงเพียงนั้นเพื่อช่วยคนผิดบาปให้รอด ดาวที่เรืองรองฉายแสงเข้าไปในอนาคตอันโหดร้ายและมืดมน ทำให้ท่านมีความหวังว่าจะไม่ต้องพินาศอย่างสิ้นเชิง {PP 68.1}
เป้าหมายการทรงไถ่
แต่แผนการทรงไถ่ยังมีจุดมุ่งหมายที่กว้างและลึกซึ้งยิ่งกว่าความรอดของมนุษย์ พระคริสต์ไม่ได้เสด็จมาในโลกเพียงเพื่อให้ผู้อาศัยในโลกเล็กๆ ใบนี้นับถือพระบัญญัติของพระเจ้าอย่างที่ควรจะนับถือเท่านั้น แต่เพื่อจะพิสูจน์พระอุปนิสัยของพระเจ้าต่อจักรวาลด้วย ก่อนที่พระผู้ช่วยให้รอดจะทรงถูกตรึงบนไม้กางเขนเพียงเล็กน้อย พระองค์ทอดพระเนตรไปยังผลของการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่จะมีต่อผู้อาศัยในโลกอื่นๆ และต่อมนุษย์ด้วย แล้วตรัสว่า “บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้เจ้าโลกนี้จะถูกกำจัดออกไป เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักนำคนเป็นอันมากให้มาหาเรา” (ยอห์น 12:31–32 TH1971) การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจะไม่เป็นเพียงแต่การเบิกทางไปสวรรค์ให้กับมนุษย์เท่านั้น แต่จะเป็นการพิสูจน์ต่อจักรวาลทั้งสิ้นว่าพระเจ้ากับพระบุตรทรงยุติธรรมในการจัดการกับการกบฏของซาตาน พร้อมกับพิสูจน์ว่าพระบัญญัติของพระเจ้าถาวร ทั้งเปิดเผยธาตุแท้และผลกรรมของความบาป {PP 68.2}
นับตั้งแต่แรกมาแล้ว ประเด็นสำคัญของอภิมหาสงครามนั้นคือเรื่องพระบัญญัติของพระเจ้า ซาตานพยายามหาหลักฐานที่จะอ้างว่าพระเจ้าไม่ยุติธรรม พระบัญญัติของพระองค์มีข้อบกพร่อง และจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเพื่อประโยชน์ของจักรวาล ที่ซาตานพยายามทำลายพระบัญญัติก็เพื่อหักโค่นอำนาจของพระเจ้าผู้ทรงอยู่เบื้องหลังพระบัญญัติ ความขัดแย้งระหว่างพระเจ้ากับซาตานนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นว่ากฎเกณฑ์ของพระเจ้ามีข้อบกพร่องและควรที่จะได้รับการแก้ไข หรือว่ากฎนั้นสมบูรณ์แบบดีแล้ว และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ {PP 69.1}
เมื่อซาตานถูกขับออกจากสวรรค์แล้ว มันหมายมั่นปั้นมือที่จะให้โลกนี้มาเป็นอาณาจักรของตน เมื่อมันทดลองและชนะใจอาดัมกับเอวาได้มันก็คิดว่ามันได้โลกนี้มาเป็นกรรมสิทธิ์แล้ว โดยรำพึงในใจว่า ‘พวกเขาได้เลือกข้ามาเป็นผู้ครอบครองมิใช่หรือ’ ซาตานอ้างว่าเป็นไปไม่ได้ที่คนบาปจะได้รับการอภัย เหตุฉะนั้นมนุษยชาติซึ่งตกสู่ความบาปจึงเป็นพลเมืองของมันโดยชอบ และโลกนี้จึงเป็นของมัน แต่พระเจ้าประทานพระบุตรที่รักผู้ทรงสภาพเท่าเทียมกับพระองค์เอง มาเพื่อแบกโทษของความผิดบาป จึงเปิดหนทางให้คนบาปสามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าได้และถูกนำกลับมายังเอเดนอันเป็นบ้านของเขาอีกครั้ง พระเยซูทรงอาสาไถ่มนุษย์และกอบกู้โลกมาจากอุ้งมือของซาตาน การต่อสู้ที่เริ่มต้นในสวรรค์จะได้ชี้ขาดในโลกนี้เอง ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ซาตานอ้างว่าเป็นของตน {PP 69.2}
ทั่วทั้งจักรวาลพากันอัศจรรย์ใจที่พระคริสต์จะทรงถ่อมพระองค์เองลงเพื่อช่วยมนุษย์ที่ตกสู่ความบาปให้รอด การที่พระองค์ผู้เคยเสด็จไปเยี่ยมเยียนดาวและโลกต่างๆ เพื่อดูแลและประทานสิ่งจำเป็นให้แก่ทุกชีวิตในจักรวาลอันกว้างใหญ่ของพระองค์ จะทรงสละพระสิริของพระองค์และทรงรับสภาพมนุษย์นั้นดูเป็นสิ่งลึกลับที่ผู้ไร้ความบาปซึ่งอาศัยตามโลกอื่นๆ ปรารถนาที่จะเข้าใจ เมื่อพระคริสต์เสด็จมายังโลกในสภาพมนุษย์ ชีวิตเหล่านั้นสนใจเป็นอย่างยิ่ง และได้ติดตามการเคลื่อนไหวของพระองค์ในขณะที่ทรงดำเนินไปแต่ละก้าวตามหนทางที่เปรอะเปื้อนด้วยพระโลหิตจากรางหญ้าจนถึงภูเขาคาลวารี4 สวรรค์ได้บันทึกการที่พระองค์ทรงถูกดูหมิ่นและเยาะเย้ยเอาไว้ โดยตระหนักว่านี่มาจากการยุยงของซาตาน พวกเขาคอยสังเกตกิจการของฝ่ายตรงข้ามขณะที่เหตุการณ์เดินหน้าไป ซาตานแผ่ความมืด ความเศร้า และความทุกข์ให้มนุษยชาติตลอดเวลาและพระคริสต์ทรงคอยขัดขวางไว้ พวกเขาคอยเฝ้าดูการสู้รบระหว่างความสว่างกับความมืดขณะที่เพิ่มความรุนแรงขึ้น และในขณะที่พระคริสต์กำลังจะสิ้นใจบนไม้กางเขนด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว แล้วร้องออกมาว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30 TH1971) ก็มีเสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะก้องกังวานอยู่ทั่วทุกโลกและทั่วทั้งสวรรค์ การต่อสู้อันยิ่งใหญ่ที่ได้ดำเนินการต่อเนื่องมาช้านานในโลกนี้ก็ได้ชี้ขาดลงแล้ว คือพระคริสต์ทรงมีชัย การสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ได้ตอบข้อสงสัยให้รู้ว่าพระบิดากับพระบุตรทรงมีความรักต่อมนุษย์เพียงพอที่จะทรงเอื้อเฟื้อและเสียสละ ซาตานได้เผยธาตุแท้ของมันเองว่าเป็นฆาตกรและผู้มุสา ชาวสวรรค์ได้เห็นกันอย่างชัดเจนแล้วว่า ถ้าหากซาตานได้รับอนุญาตก็คงบังคับบัญชาอยู่เหนือเหล่าปัญญาชนแห่งสวรรค์ด้วยเจตนารมณ์เดียวกับที่มันใช้ปกครองมนุษย์ที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน ผู้จงรักภักดีทั่วจักรวาลร่วมกันร้องขึ้นเป็นเสียงเดียวกันเพื่อยกย่องการปกครองของพระเจ้า {PP 69.3}
ถ้าหากสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขพระบัญญัติได้ มนุษย์อาจจะได้รับความรอดโดยที่พระคริสต์ไม่ต้องสิ้นพระชนม์ก็เป็นได้ แต่ในความเป็นจริงที่พระคริสต์จำเป็นต้องสละพระชนม์ชีพเพื่อมนุษยชาติที่ตกสู่ความบาปนี้ก็เป็นการพิสูจน์ว่าพระบัญญัติของพระเจ้ากล่าวโทษคนบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ การสิ้นพระชนม์ของพระองค์ทำให้ประจักษ์ว่าค่าจ้างของความบาปคือความตาย และได้ชี้ขาดว่าซาตานจะต้องพินาศอย่างแน่นอน แต่ถ้าสมมุติว่าพระบัญญัติถูกล้มเลิกเสียที่บนไม้กางเขนอย่างที่หลายคนอ้างนั้น ก็แสดงว่าการสิ้นพระชนม์อย่างทุกข์ทรมานของพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเกิดขึ้นเพื่อให้ซาตานได้ในสิ่งที่มันต้องการเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าแห่งความชั่วร้ายมีชัย และเป็นการสนับสนุนซาตานที่กล่าวหาการปกครองของพระเจ้า แต่ความจริงที่พระคริสต์ทรงแบกโทษทัณฑ์ของการล่วงละเมิดของมนุษย์นี้เอง เป็นเหตุผลอันใหญ่ยิ่งสำหรับเหล่าชีวิตที่ทรงปัญญาว่าพระบัญญัติของพระเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ทั้งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม ทรงเมตตา และทรงเสียสละ ความยุติธรรมอันไร้ขอบเขตและความเมตตาที่ไม่รู้สิ้นได้รวมกันอยู่ในการปกครองของพระองค์ {PP 70.1}