44. ทรงสร้างและทรงไถ่
“ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” (ปฐมกาล 1:1) ประโยคสั้นๆ นี้ได้สรุปความจริงของข่าวประเสริฐไว้ทั้งหมด ถ้าอ่านให้ถูกจะได้รับการหนุนใจเป็นอย่างมาก {LBF 136.1}
ประการแรกให้เราสังเกตว่าใครเป็นผู้สร้างฟ้าและแผ่นดิน พระเจ้าเป็นผู้สร้าง ซึ่งพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า “ทรงเป็นแสงสว่างแห่งพระสิริของพระเจ้า ทรงมีแก่นแท้เดียวกับพระเจ้า” (ฮีบรู 1:3) พระคริสต์ตรัสด้วยพระองค์เองว่า “เรากับพระบิดาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” (ยอห์น 10:30) พระคริสต์ในฐานะตัวแทนของพระบิดาเป็นผู้เนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ” (ยอห์น 1:1–3) และยังมีข้อพระคัมภีร์อื่นกล่าวถึงพระคริสต์ว่า “โดยพระองค์ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นทั้งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก ทั้งสิ่งที่มองเห็นได้และไม่อาจมองเห็นได้ ไม่ว่าบรรดาเทพผู้ครองบัลลังก์ หรือเทพผู้ทรงเดชานุภาพ หรือเทพผู้ครอง หรือเทพผู้ทรงอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์และเพื่อพระองค์ ทรงดำรงอยู่ก่อนทุกสิ่งและในพระองค์ทุกสิ่งประสานเข้าด้วยกัน” (โคโลสี 1:16–17) {LBF 136.2}
พระบิดาตรัสถึงพระบุตรว่าทรงเป็นพระเจ้าและพระผู้สร้าง บทแรกของพระธรรมฮีบรูเขียนว่า พระเจ้าไม่เคยตรัสกับทูตสวรรค์องค์ใดองค์หนึ่งว่า “เจ้าเองเป็นบุตรของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้า” “แต่ส่วนพระบุตรนั้น พระองค์ตรัสว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ พระคทาแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นพระคทาเที่ยงธรรม’” และยังตรัสถึงพระบุตรอีกว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในปฐมกาลพระองค์ทรงสร้างแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์” (ฮีบรู 1:5, 8, 10) ฉะนั้นเมื่อเราอ่านปฐมกาล 1:1 ที่กล่าวว่า “ในปฐมกาล พระเจ้าทรงเนรมิตสร้างฟ้าและแผ่นดิน” เราจึงมั่นใจได้ว่านั่นหมายถึงพระคริสต์ {LBF 136.3}
ฤทธิ์อำนาจในการทรงสร้างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ถึงความไร้ค่าของรูปเคารพแล้วจึงตรัสต่อไปว่า “แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ เป็นองค์กษัตริย์ตลอดนิรันดร์กาล เมื่อพระองค์ทรงพระพิโรธ โลกก็สะเทือนสะท้าน ประชาชาติทั้งหลายไม่อาจทนต่อพระพิโรธของพระองค์ได้ จงบอกพวกเขาว่า ‘เทพเจ้าเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะพินาศไปจากโลกและจากใต้ฟ้าสวรรค์’ แต่พระเจ้าทรงสร้างโลกโดยฤทธานุภาพ ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระปรีชาญาณ และทรงคลี่ฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจ” (เยเรมีย์ 10:10–12 TNCV) จะเห็นได้ว่า พระเจ้าทรงสร้างโลกด้วยฤทธานุภาพและพระปัญญา ในขณะเดียวกัน “พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 1:24) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่พระคริสต์ทรงปรากฏในฐานะพระผู้สร้างอย่างไม่อาจแยกออกจากกันได้ เราจะไม่รับรู้และนมัสการพระคริสต์ในฐานะพระเจ้าจนกว่าเราจะรับรู้พระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง {LBF 137.1}
พระคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่เนื่องด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ในฐานะพระผู้สร้าง “ในพระบุตรนั้นเราได้รับการไถ่ คือการยกโทษจากบาปทั้งหลาย” “เพราะว่าโดยพระองค์ทุกสิ่งได้รับการทรงสร้างขึ้น” (โคโลสี 1:14, 16) ถ้าพระคริสต์ไม่ใช่พระผู้สร้าง พระองค์จะเป็นพระผู้ไถ่ไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ ฤทธิ์อำนาจในการทรงสร้างเป็นฤทธิ์อำนาจเดียวกันในการทรงไถ่ เพราะการไถ่คือการสร้างนั่นเอง ซึ่งจะเห็นได้จากข้อความของอัครทูตเปาโลที่กล่าวว่าข่าวประเสริฐคือฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อความรอด และฤทธานุภาพนั้นเห็นได้จากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ดู โรม 1:16, 20) เมื่อเราพิจารณาถึงบรรดาสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างและคิดถึงฤทธานุภาพที่ปรากฏอยู่ในสิ่งเหล่านั้น เรากำลังคิดพิจารณาถึงฤทธานุภาพแห่งการทรงไถ่นั่นเอง {LBF 137.2}
มีการแสดงความคิดเห็นกลับไปกลับมาอย่างไร้สาระว่าอะไรยิ่งใหญ่กว่ากันระหว่างการทรงสร้างกับการทรงไถ่ หลายคนคิดว่าการทรงไถ่สำคัญกว่าการทรงสร้าง คำถามแบบนี้ไม่สำคัญ เพราะมีแต่ฤทธานุภาพอันไร้ขอบเขตของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำได้ทั้งสองอย่าง ซึ่งความคิดอันจำกัดของมนุษย์ไม่อาจวัดฤทธิ์เดชอันไม่จำกัดของพระเจ้าได้ แต่ถึงจะไม่สามารถวัดได้ เราก็รู้ได้จากพระคัมภีร์ว่าการทรงสร้างและการทรงไถ่มีความสำคัญพอๆ กัน เพราะทั้งสองคืออันเดียวกัน การทรงไถ่คือการทรงสร้าง การทรงไถ่ใช้ฤทธานุภาพเดียวกันกับที่ทรงใช้เมื่อแรกเริ่มสร้างโลกและสรรพสิ่งที่อยู่ในโลก คือพระเจ้าทรงใช้ฤทธานุภาพอันเดียวกันนี้ในการทรงไถ่มนุษย์กับโลกคืนมาจากการถูกสาปแช่งอันเนื่องจากความบาป {LBF 137.3}
พระคัมภีร์เขียนถึงประเด็นนี้ไว้อย่างชัดเจน ผู้ประพันธ์สดุดีอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์ และขอทรงสร้างจิตใจหนักแน่นขึ้นใหม่ภายในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10) ส่วนอัครทูตเปาโลก็กล่าวว่า “ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว” (2 โครินธ์ 5:17) และอีกข้อหนึ่งเขียนว่า “เพราะว่าท่านทั้งหลายได้รับความรอดแล้วด้วยพระคุณโดยทางความเชื่อ ความรอดนี้ไม่ใช่มาจากตัวท่าน แต่เป็นของประทานจากพระเจ้า ไม่ใช่มาจากการกระทำ เพื่อไม่ให้ใครอวดได้ เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (เอเฟซัส 2:8–10) {LBF 138.1}
เมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าแล้ว มนุษย์มีค่าน้อย “ยิ่งกว่าศูนย์และความว่างเปล่า” (อิสยาห์ 40:17) ในตัวเรานั้น “ไม่มีความดีใดเลย” (โรม 7:18) แต่ฤทธิ์อำนาจเดียวกันที่สร้างโลกจากความว่างเปล่าในปฐมกาลจะทำให้เราเป็น “ที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์” (เอเฟซัส 1:6) ถ้าเพียงแต่เรายินยอม {LBF 138.2}