9. วิทยาศาสตร์กับพระคัมภีร์
ระบบสัปดาห์
วันสะบาโตเริ่มต้นเมื่อพระเจ้าทรงสร้างโลก ระบบสัปดาห์ซึ่งสืบทอดมาให้เราผ่านทางประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ก็เช่นกัน พระเจ้าเองทรงกำหนดสัปดาห์แรกให้เป็นแบบอย่างแก่สัปดาห์ทั้งหลายต่อๆ มาจนถึงวาระสุดท้ายของโลก คือให้ 1 สัปดาห์ ประกอบด้วย 7 วัน พระองค์ทรงใช้เวลา 6 วัน ในการทรงสร้าง และในวันที่เจ็ดพระองค์ทรงพัก และทรงอวยพระพรวันนี้ ทรงตั้งไว้ให้เป็นวันพักผ่อนแก่มนุษย์ {PP 111.1}
ในกฎพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานให้จากภูเขาซีนายนั้น พระองค์ทรงชี้ให้เห็นความสำคัญของระบบสัปดาห์และข้อเท็จจริงพื้นฐานของมัน หลังจากที่พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์” พระองค์ทรงระบุว่าใน 6 วัน ควรทำอะไร และให้งดจากสิ่งใดในวันที่เจ็ด แล้วทรงให้เหตุผลของการถือระบบสัปดาห์โดยย้อนกลับไปยังตัวอย่างของพระองค์เอง ตรัสว่า “เพราะใน 6 วัน พระเจ้าทรงสร้างฟ้าและแผ่นดิน ทะเล และสรรพสิ่งซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น แต่ในวันที่เจ็ดทรงพัก เพราะฉะนั้นพระเจ้าทรงอวยพระพรวันสะบาโต และทรงตั้งวันนั้นไว้เป็นวันบริสุทธิ์” (อพยพ 20:8–11 TH1971) เหตุผลนี้ดีเลิศและมีน้ำหนักเมื่อเราเข้าใจว่าวันต่างๆ ที่พระเจ้าทรงใช้ในการทรงสร้างนั้นเป็นวันจริงๆ พระองค์ประทานหกวันแรกของทุกสัปดาห์ให้เป็นวันทำงานสำหรับมนุษย์ เพราะพระองค์ได้ทรงใช้เวลาดังกล่าวของสัปดาห์แรกในการทรงสร้าง ในวันที่เจ็ดมนุษย์จะต้องงดจากการงาน เพื่อระลึกถึงการทรงพักของพระผู้สร้าง {PP 111.2}
สำหรับข้อสันนิษฐานที่ว่าเหตุการณ์ในสัปดาห์แรกต้องอาศัยเวลานับพันนับหมื่นปีนั้น เป็นการโจมตีรากฐานของพระบัญญัติข้อที่สี่โดยตรง ความคิดดังกล่าวทำให้เห็นพระผู้สร้างผิดไป ราวกับว่าได้ตรัสสั่งมนุษย์ให้ถือรักษาสัปดาห์อันประกอบด้วย 7 วัน เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งยุคสมัยต่างๆ ที่ยาวนานและไม่แน่นอนอย่างนั้นแหละ แต่นี่ไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าทรงใช้กับชีวิตที่พระองค์ทรงสร้าง ข้อสันนิษฐานนี้ทำให้พระดำรัสที่ชัดเจนของพระองค์คลุมเครือไป และยังแสดงถึงการไม่เชื่อพระเจ้าในลักษณะที่อันตรายที่สุด เพราะมันอำพรางตัวเองจนมีหลายคนที่ประกาศตนว่าเชื่อในพระคัมภีร์กลับเชื่อถือคำสอนดังกล่าว และยังสอนให้คนอื่นเชื่อตามด้วย {PP 111.3}
“โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวงก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์” “เพราะพระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมาพระองค์ทรงบัญชา มันก็ออกมา” (สดุดี 33:6, 9 TH1971) พระคัมภีร์ไม่ได้สนับสนุนแนวคิดที่ว่า โลกของเราค่อยๆ วิวัฒนาการจากความสับสนไม่เป็นระเบียบเป็นเวลายาวนาน แต่เขียนไว้ว่าแต่ละวันที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นประกอบด้วยเวลาเย็นและเวลาเช้าเหมือนกับทุกๆ วันที่ตามมา และในการสิ้นสุดของแต่ละวันก็ได้เขียนถึงผลของการทรงสร้างของพระเจ้า ส่วนการสิ้นสุดของสัปดาห์แรกก็ได้บันทึกไว้ว่า “การกำเนิดของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินที่พระเจ้าทรงสร้างมีดังนี้”1 (ปฐมกาล 2:4) แต่ในที่นี้ไม่ได้ขัดกับที่กล่าวมาแล้วว่า ทุกวันที่ใช้ในการทรงสร้างนั้น เป็นวันจริงๆ แต่ละวันเรียกว่า “การกำเนิด” เพราะในแต่ละวันนั้นพระเจ้าทรงสร้างหรือให้กำเนิดสิ่งใหม่ในพระราชกิจการทรงสร้างของพระองค์ {PP 112.1}
วิทยาศาสตร์ที่ผิดเพี้ยน
นักธรณีวิทยาอ้างว่าได้พบหลักฐานในแผ่นดินโลกเองที่แสดงว่าโลกเก่าแก่กว่าที่โมเสสเขียนไว้2 มีการค้นพบกระดูกของมนุษย์และสัตว์พร้อมกับอาวุธสงคราม ทั้งต้นไม้ที่กลายเป็นหิน และอื่นๆ ซึ่งใหญ่กว่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน หรือแม้แต่ที่เคยพบเห็นในช่วงสองสามพันปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุนี้แหละจึงมีบางคนสรุปไปว่าเคยมีคนร่างใหญ่โตกว่าคนในปัจจุบันได้อาศัยอยู่ในโลกก่อนเวลาที่พระคัมภีร์ระบุถึงการสร้างโลกเสียอีก การใช้เหตุผลดังกล่าวจึงทำให้หลายคนที่เชื่อในพระคัมภีร์เข้าใจผิดว่าแต่ละวันที่พระคัมภีร์เขียนถึงการทรงสร้างนั้นหมายถึงยุคสมัยต่างๆ ที่ยาวนาน {PP 112.2}
แต่ทว่านอกเหนือจากประวัติศาสตร์พระคัมภีร์แล้ว ธรณีวิทยาไม่สามารถพิสูจน์อะไรได้เลย ผู้ที่อ้างเหตุผลทางธรณีวิทยาด้วยความมั่นใจเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เข้าใจถึงขนาดของทั้งมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ก่อนที่น้ำท่วมโลก หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นนั้น สิ่งที่ขุดพบในดินก็เป็นหลักฐานถึงสภาวะที่ต่างจากปัจจุบันในหลายเรื่อง แต่เราจะรู้เวลาที่สภาวการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นได้จากพระคัมภีร์เท่านั้น การบันทึกเรื่องน้ำท่วมโลกที่พระเจ้าทรงดลใจให้เขียนนั้น ได้อธิบายถึงสิ่งที่หลักธรณีวิทยาไม่อาจหยั่งถึงได้โดยลำพัง ในสมัยของโนอาห์นั้นมนุษย์ สัตว์ และต้นไม้ที่ใหญ่กว่าที่มีในปัจจุบันหลายเท่าได้ถูกทับถมไว้เป็นหลักฐานแก่ชนรุ่นหลังว่า มนุษยชาติโบราณได้พินาศในภัยน้ำท่วม พระเจ้ามีพระประสงค์ให้การค้นพบสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อในประวัติศาสตร์พระคัมภีร์มากขึ้น แต่เนื่องจากมนุษย์ใช้เหตุผลจอมปลอม จึงได้หลงผิดเหมือนกับคนในสมัยก่อนน้ำท่วมโลก คือใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เป็นพระพรในทางที่ผิด จึงนำการสาปแช่งมาสู่ตนแทน {PP 112.3}
เครื่องมืออย่างหนึ่งของซาตานคือ การนำคนให้ยอมรับนิยายของผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้า และโดยวิธีนี้มันจึงสามารถบิดเบือนพระบัญญัติอันชัดแจ้งของพระองค์ แล้วยุให้คนกบฏต่อการปกครองของพระองค์ มันมุ่งที่จะทำลายพระบัญญัติข้อที่สี่โดยเฉพาะ เพราะข้อนี้ชี้ชัดไปยังพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก {PP 113.1}
ตลอดเวลามีคนพยายามอธิบายว่าการทรงสร้างของพระเจ้าเป็นเพียงผลของกระบวนการทางธรรมชาติ และแม้แต่บางคนที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนก็ยังยอมรับกระบวนการคิดของมนุษย์ไว้เหนือข้อเท็จจริงที่แจ่มชัดในพระคัมภีร์ มีหลายคนที่ต่อต้านการศึกษาค้นคว้าคำพยากรณ์โดยเฉพาะในพระธรรมดาเนียลและวิวรณ์ โดยกล่าวว่าข้อความเหล่านี้คลุมเครือไม่ชัดเจนจนไม่สามารถเข้าใจได้ แต่คนกลุ่มนี้กลับยินดียอมรับสมมุติฐานของนักธรณีวิทยาที่ขัดกับการบันทึกของโมเสสในพระคัมภีร์ แต่ถ้าหากว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เรายังยากที่จะเข้าใจแล้ว ที่จะยอมรับเพียงข้อสันนิษฐานถึงสิ่งที่พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยก็ยิ่งไม่สมเหตุสมผล {PP 113.2}
“สิ่งลี้ลับทั้งปวงเป็นของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของเราทั้งหลาย แต่สิ่งทรงสำแดงนั้นเป็นของเราทั้งหลาย และของลูกหลานของเราเป็นนิตย์” (เฉลยธรรมบัญญัติ 29:29 TH1971) พระเจ้าทรงสำเร็จการทรงสร้างอย่างไรนั้น พระองค์ไม่เคยเปิดเผยให้มนุษย์ทราบ และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ไม่สามารถค้นหาสิ่งลี้ลับขององค์ผู้สูงสุดได้ อำนาจในการทรงสร้างของพระองค์เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถเข้าใจ เช่นเดียวกับการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ {PP 113.3}
พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะได้สาดส่องความสว่างไปทั่วโลก แต่เมื่อผู้ที่อ้างตนว่ามีทักษะทางวิทยาศาสตร์ศึกษาจากมุมมองของมนุษย์เท่านั้น เขาก็จะได้ข้อสรุปที่ผิดพลาดอย่างแน่นอน การสันนิษฐานถึงสิ่งที่พระเจ้าไม่ได้ทรงเปิดเผยในพระวจนะของพระองค์อาจจะไม่ผิดถ้าหากทฤษฎีนั้นไม่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริงในพระคัมภีร์ แต่ผู้ที่ละทิ้งพระคัมภีร์และพยายามอธิบายที่มาของสิ่งทรงสร้างโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร์นั้น เป็นเสมือนเรือที่กำลังลอยลำกลางมหาสมุทรที่ไม่รู้จักโดยไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศ ถ้าบุคคุลที่เป็นยอดอัจฉริยะไม่ให้พระวจนะของพระเจ้านำในการค้นคว้า เขาก็จะเกิดความงงงันเมื่อพยายามอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับพระคัมภีร์ เนื่องจากว่าพระผู้สร้างและพระราชกิจของพระองค์ไกลเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ และไม่อาจอธิบายตามกฎธรรมชาติได้ เขาจึงอ้างว่าประวัติศาสตร์พระคัมภีร์ไม่น่าเชื่อถือ ใครที่สงสัยไม่วางใจสิ่งที่บันทึกในพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ก็จะถูกชักนำให้ห่างออกไปอีกก้าวหนึ่ง แล้วจะสงสัยแม้กระทั่งว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ในการดำเนินชีวิตที่ปราศจากพระเจ้าเช่นนี้ พวกเขาจึงเหมือนดั่งเรือที่สูญเสียสมอไป และถูกคลื่นซัดไปกระแทกโขดหิน {PP 113.4}
คนเหล่านี้ได้สูญเสียความเชื่อที่เรียบง่ายไป เราควรมีความเชื่อที่หยั่งรากมั่นคงในพระวจนะอันบริสุทธิ์และทรงอำนาจของพระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ควรถูกพิสูจน์โดยแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ ความรอบรู้ของมนุษย์เป็นสิ่งนำพาที่ไม่น่าเชื่อถือ ส่วนนักสงสัยที่อ่านพระคัมภีร์เพื่อจับผิด ก็อาจจะอ้างว่าพระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์ไม่สอดคล้องกัน เนื่องจากว่าเขาไม่ได้เข้าใจสองสิ่งนี้อย่างสมบูรณ์ แต่ถ้าเข้าใจอย่างถูกต้องแล้ว ก็จะรู้ว่าพระคัมภีร์กับวิทยาศาสตร์มีความสอดคล้องกลมกลืนกันอย่างบริบูรณ์ โมเสสเขียนโดยการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ส่วนทฤษฎีทางธรณีวิทยาที่ถูกต้องก็จะไม่มีการอ้างว่าได้ค้นพบอะไรที่ไม่สอดคล้องกับคำเขียนของโมเสส ความจริงทุกอย่างไม่ว่าในธรรมชาติหรือในพระคัมภีร์ย่อมสอดคล้องกันเสมอ {PP 114.1}
ในพระวจนะของพระเจ้ามีคำถามหลายอย่างที่แม้กระทั่งปรมาจารย์ทั้งหลายไม่มีทางตอบได้ ที่นำเรื่องนี้มาพิจารณาก็เพื่อให้คนเราตระหนักว่ามีหลายอย่างแม้แต่สิ่งธรรมดาๆ ในชีวิตประจำวันที่สมองอันจำกัดของคนที่โอ้อวดถึงปัญญาจะไม่มีวันเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ {PP 114.2}
ถึงกระนั้นก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังคิดว่าเขาสามารถเข้าใจถึงพระปัญญาของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำหรือสามารถกระทำได้ คนทั่วไปคิดว่าพระเจ้าทรงถูกจำกัดภายใต้กฎบัญญัติของพระองค์เอง จึงปฏิเสธหรือไม่ก็เพิกเฉยต่อพระองค์ ส่วนบางคนก็คิดที่จะอธิบายทุกอย่างแม้แต่การเคลื่อนไหวของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในจิตใจของมนุษย์ แล้วเขาก็ไม่ถวายเกียรติแด่พระนามของพระเจ้าหรือยำเกรงต่อฤทธิ์อำนาจของพระองค์อีกต่อไป พวกเขาไม่เชื่อในสิ่งเหนือธรรมชาติเพราะว่าไม่เข้าใจกฎบัญญัติของพระเจ้าหรือฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่สามารถทำงานผ่านกฎเหล่านั้นได้ตามพระประสงค์ คำว่า ‘กฎธรรมชาติ’ นั้น โดยทั่วไปมักหมายถึงกฎที่ควบคุมกระบวนการต่างๆ ในธรรมชาติของโลกที่มนุษย์สามารถค้นพบได้ แต่ความหยั่งรู้ของมนุษย์ช่างจำกัดเสียจริงๆ พระผู้สร้างทรงสามารถประกอบพระราชกิจของพระองค์ให้สอดคล้องตามกฎบัญญัติของพระองค์เองด้วยวิธีการมากมายมหาศาล ซึ่งยังเกินขอบเขตความเข้าใจของมนุษย์หรือทูตสวรรค์ {PP 114.3}
มีหลายคนสอนว่าสสารวัตถุมีพลังชีวิต คือได้รับคุณสมบัติบางอย่างแล้วก็ถูกปล่อยให้ปฏิบัติตามพลังที่มีอยู่ภายในมันเอง บ้างก็ว่ากระบวนการทางธรรมชาติเป็นไปตามกฎตายตัวที่พระเจ้าเองไม่อาจเข้าไปแทรกแซงได้ นี่เป็นวิทยาศาสตร์จอมปลอม และไม่ได้รับการค้ำจุนโดยพระวจนะของพระเจ้า ธรรมชาติเป็นผู้รับใช้ของพระผู้สร้างมัน พระเจ้าไม่ได้ทรงเลิกล้ม หรือทำในสิ่งที่ขัดต่อกฎบัญญัติของพระองค์ แต่ทรงใช้กฎเหล่านั้นเป็นเครื่องมือเสมอ ธรรมชาติเป็นพยานถึงพระปัญญาและฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ทรงประกอบพระราชกิจของพระองค์ผ่านทางกฎต่างๆ ของมัน พระบิดาและพระบุตรทรงประกอบการในธรรมชาติเสมอ พระคริสต์ตรัสว่า “พระบิดาของเรายังทรงทำอยู่เรื่อยๆ และเราก็ทำด้วย” (ยอห์น 5:17 TH1971) {PP 114.4}
พระผู้ทรงสร้าง
เนหะมีย์ได้บันทึกเพลงสรรเสริญของคนเลวีที่ร้องกันว่า “พระองค์คือพระเยโฮวาห์ พระองค์องค์เดียว พระองค์ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ ฟ้าสวรรค์อันสูงสุดพร้อมกับบริวารทั้งสิ้นของฟ้าสวรรค์นั้น แผ่นดินโลกและบรรดาสิ่งที่อยู่ในนั้น…และพระองค์ทรงรักษาสิ่งทั้งปวงเหล่านั้นไว้” (เนหะมีย์ 9:6 TH1971) อันเกี่ยวกับโลกนี้ การทรงสร้างของพระองค์สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว เพราะว่า “…งานของพระองค์…ได้สำเร็จแล้วตั้งแต่สร้างโลก” (ฮีบรู 4:3 TH1971) แต่พระองค์ทรงใช้อำนาจของพระองค์เพื่อรักษาสิ่งที่ทรงสร้างไว้ ที่ชีพจรยังคงเต้นและมีการหายใจอย่างต่อเนื่องนั้น ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าทรงไขลานและให้กลไกต่างๆ ทำงานของมันเอง แต่การหายใจและการเต้นของหัวใจทุกครั้งเป็นหลักฐานแสดงถึงการดูแลรักษาอย่างทั่วถึงของพระองค์ผู้ซึ่ง “เรามีชีวิตและไหวตัว และเป็นอยู่ในพระองค์” (กิจการ 17:28 TH1971) ที่โลกออกพืชผลอย่างอุดมและสามารถโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นประจำทุกปีมิได้ขาดนั้น ไม่ใช่เพราะว่ามันมีพลังในตัวมันเอง แต่พระหัตถ์ของพระเจ้านำการโคจรของดาวต่างๆ และรักษาตำแหน่งของดาวแต่ละดวงให้โคจรเป็นระเบียบในท้องฟ้า พระองค์ “ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมด โดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็ง จึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว” (อิสยาห์ 40:26 TH1971) โดยฤทธานุภาพของพระองค์ พืชพรรณจึงงอกงามเจริญเติบโตผลิใบและออกดอก “พระองค์ทรงกระทำให้หญ้างอกบนภูเขา” (สดุดี 147:8 TH1971) และโดยพระองค์หุบเขาทั้งหลายจึงอุดมสมบูรณ์ บรรดา “…สัตว์ของป่าไม้…แสวงหาอาหารของมันจากพระเจ้า” สัตว์ทั้งหลายนับตั้งแต่แมลงตัวเล็กๆ จนถึงมนุษย์ ล้วนแต่ต้องพึ่งการดูแลรักษาของพระเจ้าเป็นประจำทุกวี่วัน ผู้ประพันธ์เพลงสดุดีกล่าวไว้อย่างไพเราะว่า “สิ่งเหล่านี้แหงนหาพระองค์…เมื่อพระองค์ประทานให้ มันก็เก็บไป เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ออก มันก็อิ่มหนำด้วยของดี” (สดุดี 104:20–21, 27–28 TH1971) พระองค์ทรงควบคุมโลกธาตุด้วยพระดำรัสของพระองค์ พระองค์ทรงปกคลุมท้องฟ้าด้วยเมฆและทรงเตรียมฝนสำหรับรดพื้นแผ่นดินโลก “พระองค์ประทานหิมะอย่างปุยขนแกะ ทรงหว่านน้ำค้างแข็งขาวอย่างขี้เถ้า” (สดุดี 147:16 TH1971) “เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้าและทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝนและทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์” (เยเรมีย์ 10:13 TH1971) {PP 115.1}
วิทยาศาสตร์ที่แท้จริง
พระเจ้าทรงเป็นปฐมเหตุของสรรพสิ่งทั้งปวง วิทยาศาสตร์ที่แท้จริงทุกอย่างย่อมสอดคล้องกับพระราชกิจของพระองค์ และบรรดาการศึกษาที่ถูกต้องย่อมนำไปสู่การเชื่อฟังต่อการปกครองของพระองค์ วิทยาศาสตร์เปิดเผยสิ่งแปลกใหม่ให้เราเห็น มันค้นไปยังที่สูงและเจาะสำรวจลงไปยังที่ลี้ลับ แต่มันจะไม่พบสิ่งที่ขัดแย้งกับการเปิดเผยของพระเจ้า คนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์อาจจะอ้างหลักวิทยาศาสตร์เพื่อสนับสนุนแนวคิดที่ผิดเพี้ยนเกี่ยวกับพระเจ้า แต่ ‘หนังสือธรรมชาติ’ กับพระวจนะของพระองค์ส่องสว่างแก่กันและกัน เราจึงรักและเชิดชูพระผู้สร้างและไว้วางใจพระวจนะของพระองค์ด้วยสติปัญญาของเรา {PP 115.2}
ทุกคนล้วนแต่มีปัญญาที่จำกัด ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ถึงฤทธานุภาพ พระปัญญา หรือพระราชกิจของพระเจ้าได้ทั้งหมด หรือที่จะเข้าใจถึงการทรงดำรงพระชนม์ขององค์ผู้สูงสุด มีผู้เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ท่านจะหยั่งรู้สภาพของพระเจ้าได้หรือ ท่านหยั่งรู้องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้หมดหรือ นั่นสูงกว่าฟ้าสวรรค์ ท่านจะทำอะไรได้ ลึกกว่าแดนคนตาย ท่านจะทราบอะไรได้ วัดดูก็ยาวกว่าโลก และกว้างกว่าทะเล” (โยบ 11:7–9 TH1971) บรรดาผู้มีสติปัญญาปราดเปรื่องที่นับว่าเป็นยอดอัจฉริยะของโลกก็ยังไม่อาจเข้าใจพระเจ้าได้ มนุษย์สามารถศึกษาและเรียนรู้ตลอดเวลา แต่ก็ยังมีอะไรให้ศึกษาอยู่อย่างไม่รู้สิ้นสุด {PP 116.1}
ถึงกระนั้นบรรดาพระราชกิจแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าเป็นพยานถึงฤทธิ์อำนาจและความยิ่งใหญ่ของพระองค์ “ฟ้าสวรรค์ประกาศพระสิริของพระเจ้า และภาคพื้นฟ้าสำแดงพระหัตถกิจของพระองค์” (สดุดี 19:1 TH1971) คนที่ให้พระคัมภีร์นำแนวทางในชีวิตก็จะพบว่าวิทยาศาสตร์ช่วยให้เขาเข้าใจพระเจ้ามากขึ้น “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว สภาพที่ไม่ปรากฏของพระเจ้านั้น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง” (โรม 1:20 TH1971) {PP 116.2}
Footnotes
-
แปลตามพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ KJV ซึ่งใช้คำว่า ‘generation’ บางคนตีความว่าคำนี้หมายถึงชั่วอายุคนหรือช่วงระยะเวลา จึงสรุปว่าแต่ละวันในปฐมกาล บทที่ 1 หมายถึงยุคสมัยที่ยาวนาน แต่ผู้เขียนอธิบายว่าคำนี้มีอีกความหมายหนึ่ง คือให้กำเนิดหรือแพร่พันธุ์ ↩
-
โมเสสเป็นผู้เขียนพระคัมภีร์ห้าเล่มแรกคือปฐมกาลถึงเฉลยธรรมบัญญัติ ↩