14. เอวาไม่เชื่อฟังพระเจ้า
ถ้าเอวาเพียงแต่เชื่อวางใจในพระวจนะของพระเจ้า นางคงไม่มีวันทำบาปตั้งแต่แรก {LBF 43.1}
แท้จริงแล้ว ตราบใดที่เอวายังคงเชื่อในพระวจนะของพระเจ้า นางก็ทำบาปไม่ได้ ถ้าคิดให้ดีๆ ก็จะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นความจริง {LBF 43.2}
เอวาได้รับพระดำรัสสั่งจากพระเจ้าไว้อย่างชัดเจนว่า “ผลของต้นไม้แห่งการรู้ถึงความดีและความชั่วนั้น ห้ามเจ้ากิน เพราะในวันใดที่เจ้ากิน เจ้าจะต้องตายแน่” (ปฐมกาล 2:17) {LBF 43.3}
ซาตานโต้แย้งด้วยวาทศิลป์ที่ฟังมีเหตุมีผลว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะพระเจ้าทรงทราบอยู่ว่า พวกเจ้ากินผลจากต้นไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว” (ปฐมกาล 3:4–5) {LBF 43.4}
ถ้าหากเอวาได้ตอบว่า ‘ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าตรัสสั่งห้ามไม่ให้เรากินผลไม้จากต้นนี้ พระองค์ตรัสว่า ถ้าฉันกินผลไม้นี้วันใด ก็จะต้องตายแน่ ถึงแม้ว่าฉันจะไม่เข้าใจแต่ฉันก็จะเชื่อพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงเข้าพระทัยในสิ่งที่พระองค์ตรัสสั่งไว้ ฉันจะวางใจในพระองค์และจะไม่ขัดพระบัญชาด้วยการกินผลไม้ที่พระองค์ทรงห้าม’ ถ้าเพียงแต่เอวาตอบเช่นนี้นางคงไม่มีวันทำบาป เพราะตราบใดที่ยังเชื่อวางใจอยู่นางก็ทำบาปไม่ได้ {LBF 43.5}
ข้อนี้เป็นความจริงตลอดกาล ถ้าเอวาได้เชื่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่องนางจะไม่มีวันทำบาปเลย และตราบใดที่ยังเชื่อวางใจนั้น นางก็ทำบาปไม่ได้ อาดัมก็เช่นกัน {LBF 43.6}
นี่ยังเป็นความจริงจวบจนทุกวันนี้เช่นเดียวกับในสมัยอาดัมกับเอวา และก็เป็นความจริงสำหรับเราในวันนี้พอๆ กับที่เป็นความจริงสำหรับเอวาในวันนั้น {LBF 43.7}
ในวันนี้ถ้าเราเชื่อวางใจในพระเจ้า เราจะไม่ทำบาป และตราบใดที่ยังเชื่อพระเจ้าอยู่ เราจะทำบาปไม่ได้ หลักการนี้เป็นหลักการนิรันดร์ เป็นความจริงสำหรับวันนี้พอๆ กับในสมัยปฐมกาล ส่วนพระคริสต์ก็ทรงเป็นแบบอย่างถึงเรื่องนี้เมื่อครั้งพระองค์ทรงสภาพมนุษย์เหมือนอย่างเรา {LBF 43.8}
แต่เราต้องเชื่อพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่เสแสร้ง ไม่ใช่ว่าเชื่อพระวจนะแค่บางส่วนขณะที่ปฏิเสธบางส่วน หรือเชื่อพระสัญญาบางข้อแต่เคลือบแคลงในบางข้อ เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นก็เท่ากับการไม่เชื่อพระเจ้าเลย {LBF 44.1}
เราต้องมีใจพร้อม ต้องเอาใจใส่ มีความหิวกระหายที่จะรู้จักพระวจนะของพระเจ้า เราก็จะได้เรียนรู้ถึงพระดำรัสของพระองค์อย่างถ้วนถี่ตามลำดับ ซึ่งแน่นอน ถ้าหากเราเลือกทำบาปมากกว่าที่จะค้นคว้าพระวจนะของพระองค์และเชื่อวางใจในพระวจนะนั้นเพื่อจะไม่ทำบาป ก็ไม่มีอำนาจใดในจักรวาลที่จะกีดกันเราจากการทำบาปได้ แต่ถ้าเราเกลียดชังความบาปและยอมตายแทนที่จะทำบาปอีก พระวจนะของพระเจ้าจะเป็นสิ่งประเสริฐสำหรับเรา เราจะค้นคว้าและอ่านด้วยความปลาบปลื้มยินดีเพื่อเรียนรู้ทุกสิ่งที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ จะมีความหิวกระหายและจะน้อมรับเอาพระวจนะของพระองค์เพื่อจะได้ไม่ทำบาป {LBF 44.2}
“ข้าพระองค์ได้ระวังตนให้พ้นจากวิถีทางของคนใจเหี้ยมโดยอาศัยพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์” (สดุดี 17:4 TNCV) {LBF 44.3}
“เมื่อพบพระวจนะของพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ก็กินเสีย พระวจนะของพระองค์เป็นความชื่นบานแก่ข้าพระองค์ และเป็นความปีติยินดีแห่งจิตใจของข้าพระองค์” (เยเรมีย์ 15:16) {LBF 44.4}
“จงหมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อสำแดงตนเองให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า” (2 ทิโมธี 2:15 TKJV) {LBF 44.5}
“จงให้พระวจนะของพระคริสต์เปี่ยมล้นอยู่ในท่าน” (โคโลสี 3:16 TNCV) {LBF 44.6}
“ข้าพระองค์ได้เก็บรักษาพระดำรัสของพระองค์ไว้ในใจ เพื่อข้าพระองค์จะไม่ทำบาปต่อพระองค์” (สดุดี 119:11) {LBF 44.7}
แน่ทีเดียว ด้วยพระวจนะนี้แหละที่เราจะได้รับ “การคุ้มครองโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าทางความเชื่อให้เข้าในความรอด ซึ่ง” บัดนี้พร้อมแล้วที่จะ “ปรากฏในวาระสุดท้าย” (1 เปโตร 1:5) {LBF 44.8}