25. การงานของเนื้อหนัง
“การงานของเนื้อหนังนั้นเห็นได้ชัด คือการล่วงประเวณี การโสโครก การเสเพล การนับถือรูปเคารพ การถือวิทยาคม การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การฉุนเฉียวกัน การใฝ่สูง การทุ่มเถียงกัน การแตกก๊กกัน การอิจฉากัน การเมาเหล้า การเล่นเป็นพาลเกเร และการอื่นๆ ในทำนองนี้” (กาลาเทีย 5:19–21) {LBF 77.1}
ฝ่ายเนื้อหนังของมนุษย์ไม่สามารถทำการดีอะไรได้เลย เพราะการงานของเนื้อหนังนั้นมีแต่ความบาป ถึงแม้จะพยายามทำดีอยู่บ่อยๆ แต่ผลก็เหมือนเดิม เนื้อหนังผูกมัดอยู่กับความบาปจนแยกกันไม่ออก เมื่อฝ่ายหนึ่งปรากฏ อีกฝ่ายหนึ่งก็ปรากฏด้วย ทั้งสองร่วมเป็นร่วมตายกันเลยทีเดียว {LBF 77.2}
ฝ่ายเนื้อหนังจะปฏิบัติงานทุกครั้งที่เราไม่มีความเชื่อ “การกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น” (โรม 14:23) เมื่อเรามีความเชื่อ พระเจ้าเป็นฝ่ายปฏิบัติการ แต่เมื่อใดที่ไม่มีความเชื่อเนื้อหนังจะเป็นฝ่ายกระทำ และเนื้อหนังไม่อาจทำงานของพระเจ้าได้ เมื่อชาวยิวถามพระผู้ช่วยให้รอดว่าจะทำอย่างไรถึงจะทำงานของพระเจ้าได้ พระองค์ทรงตอบว่า “งานของพระเจ้าคือการวางใจในผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 6:29) เรารับพระองค์เข้ามาในชีวิตด้วยความเชื่อ พระองค์จึงเป็นผู้กระทำ แล้วสิ่งที่ทำนั้นจึงเป็นงานของพระเจ้า {LBF 77.3}
อย่าเข้าใจผิดว่าฝ่ายเนื้อหนังของเราจะทำงานของพระเจ้าได้ โดยธรรมชาติแล้วเราไม่รู้จักงานของพระองค์ ความคิดและวิธีการของพระเจ้าต่างกับของเราอย่างสิ้นเชิง เราไม่รู้ว่าความชอบธรรมคืออะไร ฉะนั้นเราพยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองเหมือนคนยิวในสมัยก่อน เราจึงพลาดจากความชอบธรรมของพระเจ้า เราอาจจะได้ในสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความชอบธรรมในสายตาของเราเอง แต่ถ้าเราพึ่งพาในสิ่งนั้น ในวันพิพากษาเราจะพบว่าเป็นการเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงเลยทีเดียว {LBF 77.4}
การเป็นทาสของเนื้อหนัง
เมื่อมีคนพยายามทำงานของพระเจ้าโดยอาศัยเนื้อหนัง สิ่งที่ปรากฏมีแต่โซ่ตรวนแห่งการเป็นทาส เนื้อหนังของเราเป็นทาสของพระบัญญัติเพราะ “จิตใจที่เต็มไปด้วยบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย” (โรม 8:7 TNCV) ไม่มีความปรองดองระหว่างสองสิ่งนี้ “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำในสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (กาลาเทีย 5:17) ตรงนี้แหละที่การเป็นทาสปรากฏ คือเราไม่สามารถทำในสิ่งที่เราอยากจะทำ และทำในสิ่งที่พระเจ้าทรงสั่งไว้ ฝ่ายเนื้อหนังของเราขัดแย้งกับพระบัญชาของพระเจ้า และไม่สามารถปรองดองกันได้เลย {LBF 78.1}
เมื่อเนื้อหนังหยุดที่จะพยายามทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าเราจะรู้สึกเหมือนเป็นอิสระ ไม่ใช่เพราะเราหลุดออกจากการเป็นทาส แต่เพราะเราไม่รู้สึกถึงการเป็นทาสแล้วต่างหาก เมื่อใดที่พยายามก้าวเดิน เราก็สัมผัสถึงโซ่ตรวนที่ผูกมัดเราไว้ เมื่อนั่งลงโซ่ก็ไม่ได้หลุดไปไหน แค่ไม่รู้สึกเพราะไม่ได้ดิ้นรนต่อต้าน ถ้าเราตาบอดด้านจิตวิญญาณแล้วก็ไม่ยากที่จะคิดไปว่าตนไม่ได้เป็นทาสอีกแล้ว {LBF 78.2}
เนื้อหนังผูกมัดอยู่กับความบาป และทุกครั้งที่พยายามเดินสวนทางกับความบาป โซ่แห่งความบาปก็รั้งตัวไว้ และเราได้สำนึกถึงการเป็นทาส แต่ถ้าเราหยุดที่จะเดินสวนทางกับความบาป เราจะไม่รู้สึกถึงโซ่ที่เหนี่ยวรั้งเราไว้ และอาจจะเข้าใจผิดว่า เราได้รับอิสระแล้ว และไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไป แต่นั่นไม่ใช่อิสระที่แท้จริง หากแต่เป็นอิสระที่ซาตานหยิบยื่นให้ เพราะซาตานยังถือปลายโซ่อยู่ และมันนำเราไปตามใจชอบของมัน ตราบใดที่เดินตามที่มันต้องการ เราจะไม่รู้สึกถึงโซ่ที่ผูกเราไว้ ซาตานจะให้โซ่ยาวพอที่เราจะไม่อึดอัดจนเกินไป แต่ทันทีที่เราพยายามออกห่างจากทางแห่งความบาปเพื่อมาเดินในทางของพระเจ้า ปรากฏว่าเราก็รู้สึกถึงการเป็นทาสขึ้นมาทันที ทำอย่างไรก็ไม่อาจหลุดพ้นด้วยลำพังตนเองได้ เพราะเราผูกมัดอยู่กับความบาป จึงต้องโอนอ่อนผ่อนตามแล้วแต่บาปนั้นจะพาไป {LBF 78.3}
เรารู้จักความบาปโดยธรรมบัญญัติ และถ้าไม่มีธรรมบัญญัติ ความบาปก็ตายแล้ว (ดู โรม 3:20; 7:8) ตอนนี้เรารู้ซึ้งแล้วว่า เราไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้ แต่เมื่อพระบัญญัติปรากฏ ความบาปก็กลับมีชีวิต (ดู โรม 7:9) เราได้รู้สึกถึงการเป็นทาสของความบาป สำหรับเนื้อหนังแล้ว “ธรรมบัญญัตินำไปสู่พระพิโรธ” (โรม 4:15) และ “คลอดลูกเป็นทาส” (กาลาเทีย 4:24) คือธรรมบัญญัติทำให้เรารู้สึกในการเป็นทาส “เหมือนสตรีที่แต่งงานแล้วต้องอยู่ในกฎประเพณีการสมรสตราบที่สามียังมีชีวิตอยู่…ฉะนั้น ถ้าหญิงนั้นไปเป็นของชายอื่นในเมื่อสามียังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นหญิงล่วงประเวณี” (โรม 7:2–3) ถ้าเรายังอยู่ในเนื้อหนัง แต่มาแอบอ้างพระนามของพระคริสต์ เราก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้ล่วงประเวณี ซึ่งเป็นผลของเนื้อหนังประการแรกตามที่บันทึกไว้ เนื่องจากเนื้อหนังเป็น ‘สามีเก่า’ ฉะนั้นสามีเก่านั้นต้องตายเสียก่อนที่หญิงนั้นจะแต่งงานใหม่โดยไม่ผิดศีลธรรม ด้วยเหตุนี้เมื่อเนื้อหนังของเราพยายามทำงานของพระเจ้า ก็หมายความว่าพยายามล่วงประเวณีนั่นเอง เพราะเมื่อเนื้อหนังพยายามทำอะไรก็ตาม ก็ยังเป็นงานของเนื้อหนังอยู่ดี และถ้าเรายังทำงานฝ่ายเนื้อหนังอยู่ เรา “จะไม่มีส่วนในแผ่นดินของพระเจ้า” (กาลาเทีย 5:21) {LBF 78.4}
เรื่องเปรียบเทียบ
มีครั้งหนึ่งที่อับราฮัมพยายามทำงานของพระเจ้าโดยอาศัยเนื้อหนังของตนเอง พระเจ้าทรงสัญญาแก่อับราฮัมว่าท่านจะเป็นบิดาของชนหลายชาติ แน่นอนอับราฮัมก็อยากให้พระสัญญานั้นสำเร็จโดยเร็ว แต่นางซาราห์ผู้เป็นภรรยาเป็นหมัน ท่านก็ไม่มีบุตร อับราฮัมกับซาราห์จึงตั้งต้นหาวิธีทำให้พระสัญญานั้นสำเร็จ ผลก็คืออิชมาเอล “ผู้ที่เกิดตามเนื้อหนัง” เป็น “บุตรของหญิงทาส” (กาลาเทีย 4:29, 30 TKJV/THSV; ดู ปฐมกาลบทที่ 16) ในเรื่องนี้อับราฮัมกับซาราห์ขาดความเชื่อ เพราะถ้ามีความเชื่อเขาทั้งสองคงไว้วางใจให้พระเจ้ากระทำตามที่ทรงสัญญาไว้แม้ว่าสถานการณ์ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ก็ตาม เพราะเมื่อขาดความเชื่อ สิ่งที่ทำนั้นจึงเป็นงานของเนื้อหนัง ผลก็คือบุตรชาย “ที่เกิดตามเนื้อหนัง” และเนื้อหนังเมื่อพยายามทำงานของพระเจ้าก็นำไปสู่การเป็นทาสอยู่ดี {LBF 79.1}
ยาโคบกับเรเบคาห์ก็พยายามทำให้พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จด้วยแผนของพวกเขาเองเช่นกัน ยาโคบจึงหลอกอิสอัคให้อวยพรตนตามสิทธิของบุตรหัวปี (ดู ปฐมกาลบทที่ 27) ผลก็คือต้องจากคนที่ตนรักไปตลอดชีวิต ต้องทนทุกข์และกลับใจอย่างแท้จริงเสียก่อน กว่าท่านจะได้กลับมีชีวิตที่สงบเหมือนในช่วงวัยหนุ่มอีกครั้งก็ต้องใช้เวลาหลายสิบปี {LBF 79.2}
โมเสสก็เช่นกัน ท่านพยายามทำให้พระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จด้วยกำลังของตนเอง พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะกู้ชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาส โมเสส “จึงฆ่าคนอียิปต์นั้น แล้วซ่อนศพไว้ในทราย” (อพยพ 2:12) แต่นั่นไม่ใช่วิธีการของพระเจ้า ท่านต้องหนีเข้าไปในทะเลทรายเพื่อเอาชีวิตรอด พระสัญญาจึงล่าช้าไปอีก 40 ปีกว่าจะสำเร็จ {LBF 79.3}
ทุกครั้งที่เนื้อหนังพยายามทำให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผลก็จะเป็นเช่นนี้แหละ ผลของเนื้อหนังต่างกับพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างลิบลับ เหมือนความคิดของมนุษย์ที่ด้อยกว่าความคิดของพระเจ้าอย่างไรก็อย่างนั้น พระสัญญาไม่มีวันสำเร็จ และการงานก็ไม่มีวันสมบูรณ์นอกจากจะกระทำด้วยความเชื่อ {LBF 80.1}
ตัวเก่าต้องตาย
พระเจ้าประทาน “พระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่แก่เรา” (2 เปโตร 1:4) แต่เราจะไม่เห็นความสำเร็จของพระสัญญาเหล่านี้ด้วยผลของเนื้อหนัง พระเจ้าประทานบรรดาพระสัญญา “แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่าน” (กาลาเทีย 3:16) เราจะเป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความเชื่อเท่านั้น ตามเนื้อหนังเรายังติดพันอยู่กับ ‘ตัวเก่า’ เรายังดำเนินชีวิตตามโลกียวิสัยซึ่งไม่อาจอยู่ใต้บังคับของพระบัญญัติของพระเจ้าได้ ฉะนั้นเราไม่สามารถเป็นของพระคริสต์ได้ด้วยลำพังตัวเอง แต่เราจะเป็นของพระคริสต์ได้ด้วยการถูกตรึงไว้กับพระองค์ เราจะพบพระองค์และเข้าส่วนในพระองค์อยู่ที่ไม้กางเขน (ดู กาลาเทีย 2:20) ที่ไม้กางเขน ‘ตัวเก่า’ ของเรา คือ ‘สามีคนแรก’ ได้ถูกประหารแล้ว “เพื่อท่านจะเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้ที่พระเจ้าทรงให้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว เพื่อเราจะได้เกิดผลถวายแด่พระเจ้า” (โรม 7:4) เนื้อหนังติดพันอยู่กับความบาปจนแยกไม่ออก ฉะนั้นถ้าจะหยุดทำบาป เนื้อหนังต้องตาย เราจึงพ้นจาก “กฎแห่งบาปและความตาย” คือกฎที่ผูกเราไว้กับความบาปในขณะที่เรายังอยู่ในเนื้อหนัง (ดู โรม 8:2) “เมื่อเราดำเนินชีวิตในเนื้อหนัง ตัณหาชั่วที่ธรรมบัญญัติเร้าให้เกิดขึ้นนั้น ได้ทำให้อวัยวะของเราก่อผลซึ่งนำไปสู่ความตาย แต่เดี๋ยวนี้เราได้พ้นจากธรรมบัญญัติ คือได้ตายจากธรรมบัญญัติที่เคยผูกมัดเราไว้ เพื่อจะได้เป็นทาสแบบใหม่ตามพระวิญญาณ ไม่ใช่แบบเก่าตามตัวอักษร” (โรม 7:5–6) {LBF 80.2}
การเปลี่ยนแปลงอันประเสริฐนี้เกิดขึ้นที่ไม้กางเขน พระบัญญัติไม่ได้ตาย แต่เนื้อหนังต่างหากที่ตาย เราจึงพ้นจากกฎแห่งบาปและความตาย การเป็นศัตรูกันระหว่างเรากับธรรมบัญญัติก็ตายด้วย การเป็นทาสก็หมดไป เราจึงมาผูกพันกับพระคริสต์ด้วยความเชื่อ สำหรับเราแล้วธรรมบัญญัติจึงกลายเป็น “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูคริสต์” (โรม 8:2) การงานของเนื้อหนังก็หมดไป จากนั้นเราก็จะทำกิจการแห่งความเชื่อ ซึ่งจะบังเกิดผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจึงเป็นทายาทแห่งพระสัญญาร่วมกับอับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่าน {LBF 80.3}