1. บนภูเขาแห่งพระพร
กว่าสิบสี่ศตวรรษก่อนพระเยซูประสูติที่หมู่บ้านเบธเลเฮม ครั้งหนึ่งชนชาติอิสราเอลได้รวมตัวกันที่หุบเขาเชเคมอันสวยสดงดงาม จากภูเขาฟากหนึ่งสู่อีกฟากหนึ่งประชาชนได้ยินเสียงปุโรหิตร้องประกาศทั้งคำอวยพรและคำสาปแช่งว่า “ถ้าท่านกระทำตามพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน…ท่านก็จะเป็นไปตามพรนั้น ถ้าท่านไม่กระทำตาม…ท่านก็จะเป็นไปตามคำสาปแช่งนั้น” (เฉลยธรรมบัญญัติ 11:27–28 TH1971) ต่อมาจึงมีคนเรียกภูเขาเกริซิมที่ปุโรหิตยืนอวยพรประชาชนนั้นว่า “ภูเขาแห่งพระพร” แต่ถ้อยคำซึ่งเป็นพระพรให้แก่มวลมนุษย์ที่เศร้าหมองในความบาปกลับไม่ได้ประกาศที่ภูเขาเกริซิม เนื่องจากคนอิสราเอลบกพร่องและไม่ได้กระทำตามมาตรฐานอันสูงส่งที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้ จะต้องมีผู้หนึ่งแทนโยชูวาที่จะนำคนของพระองค์ให้เข้าสู่การพำนักแท้ที่มาโดยความเชื่อ ปัจจุบันไม่มีใครเรียกภูเขาเกริซิมว่า “ภูเขาแห่งพระพร” อีกต่อไป แต่กลับใช้ชื่อนี้เรียกภูเขาที่ไม่ทราบชื่อซึ่งอยู่ข้างทะเลสาบเยนเนซาเรท ที่พระเยซูตรัสสอนเป็นถ้อยคำแห่งพระพรแก่เหล่าสาวกและฝูงชน {MB 1.1}
ให้เราจินตนาการถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นว่าเรากำลังนั่งอยู่กับเหล่าสาวกบนภูเขา มีความคิดและความรู้สึกร่วมกับพวกเขา มีความเข้าใจว่าถ้อยคำของพระเยซูมีความหมายอย่างไรกับผู้ที่ได้ฟังในขณะนั้น เราอาจจะพบว่าถ้อยคำเหล่านั้นไพเราะและชัดเจนเป็นพิเศษ และบางทีเราจะได้บทเรียนที่ลึกซึ้งกว่าที่เคย {MB 1.2}
เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ ความเข้าใจของมหาชนเรื่องพระเมสสิยาห์ผิดไปจากความเป็นจริงจนพวกเขาไม่พร้อมที่จะรับพระองค์ คนสมัยนั้นเน้นธรรมเนียมและพิธีกรรมจนสูญเสียความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ส่วนคำพยากรณ์ก็ถูกตีความไปตามสภาพจิตใจที่เย่อหยิ่งและหลงรักฝ่ายโลก ชาวยิวเฝ้ารอคอยจอมราชาที่จะเสด็จมาในฐานะผู้พิชิตประชาชาติทั้งหลายให้อยู่ภายใต้ราชสีห์แห่งเผ่ายูดาห์ ไม่ใช่พระผู้ช่วยให้รอดจากบาป ยอห์นผู้ให้บัพติสมาเรียกร้องให้คนกลับใจด้วยพลังที่แทงทะลุจิตใจเหมือนกับผู้เผยพระวจนะโบราณ แต่ก็เปล่าประโยชน์ ณ ริมแม่น้ำจอร์แดนนั่นเอง ยอห์นชี้ไปยังพระเยซูและร้องประกาศว่า นี่เป็นลูกแกะของพระเจ้าที่จะนำเอาความผิดบาปของโลกไป พระเจ้าทรงชี้นำให้คนอิสราเอลพิจารณาคำพยากรณ์ของอิสยาห์ถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่พวกเขาก็ไม่สนใจ {MB 1.3}
ถ้าหากว่าครูบาอาจารย์และผู้นำในประเทศอิสราเอลยอมให้พระคุณของพระองค์เปลี่ยนแปลงชีวิต พระเยซูคงได้ตั้งพวกเขาให้เป็นทูตของพระองค์ท่ามกลางคนทั้งหลาย การประกาศเรื่องการมาของแผ่นดินของพระเจ้าเกิดขึ้นในแคว้นยูเดียก่อนที่อื่นใด และ ณ ที่นั่นมีการเรียกร้องให้คนกลับใจก่อนที่อื่น เมื่อพระเยซูทรงชำระพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม ก็เท่ากับเป็นการประกาศว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ คือผู้ที่จะชำระจิตใจมนุษย์จากมลทินบาป เพื่อทำให้คนของพระองค์เป็นดังวิหารบริสุทธิ์แด่พระเจ้า แต่ผู้นำชาวยิวไม่ยอมถ่อมตัวลงเพื่อรับเอาพระอาจารย์ผู้ยากไร้แห่งนาซาเร็ธ เมื่อพระองค์เสด็จเยือนกรุงเยรูซาเล็มครั้งที่สอง พระองค์ถูกนำไปต่อหน้าสภาสูง แต่เพียงเพราะผู้นำกลัวประชาชนจึงยังไม่หาช่องทางสังหารพระองค์เสียในตอนนั้น พระเยซูจึงได้เสด็จออกจากแคว้นยูเดียและทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ที่แคว้นกาลิลี {MB 2.1}
พระเยซูประทับอยู่ที่แคว้นกาลิลีหลายเดือนก่อนที่จะทรงเทศนาบนภูเขา พระองค์ทรงประกาศไปทั่วสารทิศว่า “แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17) ทำให้คนทุกชนชั้นตื่นตัว ต่างคนต่างหวังว่าชีวิตในอาณาจักรใหม่ที่ว่านั้นจะต้องดีขึ้น ถึงแม้ชนชั้นนำจะไม่ชอบ แต่ชื่อเสียงของพระอาจารย์คนใหม่ได้เลื่องลือออกไปนอกเขตปาเลสไตน์ และคนทั่วไปคิดว่านี่คงเป็นพระผู้ช่วยที่พวกเขาเฝ้ารอ มีฝูงชนจำนวนมากติดตามพระองค์ด้วยความตื่นเต้นดีใจ {MB 2.2}
ถึงเวลาแล้วที่เหล่าสาวกผู้ใกล้ชิดพระเยซูมากที่สุดจะได้ร่วมในพระราชกิจของพระองค์โดยตรงมากยิ่งขึ้น เพื่อฝูงชนจะได้ไม่ถูกปล่อยปละละเลยเหมือนฝูงแกะที่ขาดผู้เลี้ยง สาวกบางคนได้ติดตามพระองค์มาตั้งแต่ทรงเริ่มพระราชกิจแล้ว และสาวกเกือบทั้งสิบสองคนมีความใกล้ชิดกับพระเยซูราวกับเป็นครอบครัวเดียวกัน กระนั้นพวกเขาก็ยังหลงไปตามคำสอนของพวกธรรมาจารย์อยู่ จึงมีความคาดหวังเหมือนคนทั่วไปว่า พระเมสสิยาห์จะต้องเสด็จมาตั้งอาณาจักรในโลกนี้ พวกเขาไม่เข้าใจการกระทำของพระเยซูว่าทำไมพระองค์ไม่พยายามสร้างบารมีให้กับพระองค์เองด้วยการเข้าหาพวกปุโรหิตกับธรรมาจารย์เพื่อขอการสนับสนุน ทำไมพระองค์ไม่แสวงหาอำนาจเพื่อจะเป็นกษัตริย์ครอบครองโลก พวกสาวกต้องได้รับการสั่งสอนอีกมากก่อนที่จะสามารถสืบต่อพระราชกิจของพระเยซูหลังจากพระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์ ถึงแม้เหล่าสาวกจะช้าในการเชื่อ แต่พวกเขาก็ได้ตอบสนองต่อความรักของพระเยซู พระองค์ทรงเห็นว่าคนเหล่านี้สามารถฝึกฝนสำหรับพระราชกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้ บัดนี้พวกเขาได้อยู่กับพระองค์นานพอที่จะมีความเชื่อในระดับหนึ่งแล้วว่าพันธกิจของพระองค์มาจากพระเจ้า และประชาชนได้เห็นหลักฐานซึ่งแสดงถึงฤทธิ์อำนาจของพระองค์ที่ปฏิเสธไม่ได้ ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะอธิบายหลักการแห่งอาณาจักรของพระองค์เพื่อพวกเขาจะได้เข้าใจลักษณะที่แท้จริงของมัน {MB 3.1}
บนภูเขาใกล้ทะเลสาบกาลิลี พระเยซูทรงอธิษฐานทั้งคืนเพื่อสาวกเหล่านี้ที่ทรงเลือก พอเช้าตรู่พระองค์ทรงเรียกให้พวกเขามาหา ทรงสั่งสอนและอธิษฐานเผื่อเหล่าสาวก พระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนศีรษะของแต่ละคนเป็นการอวยพร ต่อแต่นั้นไปให้สาวกเหล่านี้มีชีวิตอยู่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ จากนั้นก็เสด็จไปที่ชายทะเลกับพวกเขา ที่นั่นมีคนมากมายเริ่มเกาะกลุ่มกันตั้งแต่เช้ามืด {MB 4.1}
นอกจากคนท้องถิ่นแคว้นกาลิลีแล้ว ก็ยังมีคนจำนวนมากจากแคว้นยูเดียและกรุงเยรูซาเล็มที่ร่วมติดตามพระองค์ มีคนจากฟากตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน มีชาวเมืองทศบุรีที่เชื่อพระเจ้าแต่ยังไหว้รูปเคารพอยู่ นอกจากนั้นก็มีคนจากเอโดมทางใต้ของยูเดีย จากแคว้นเมืองไทระและไซดอนเมืองใหญ่แห่งฟินิเซียที่ตั้งอยู่ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน “เมื่อทราบถึงสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำนั้น” ประชาชนเป็นอันมากได้มาหาพระองค์ “เพื่อจะฟังพระองค์ และให้พระองค์ทรงรักษาโรคของเขา…เพราะว่ามีฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์ รักษาเขาให้หายทุกคน” (มาระโก 3:8 TH1971; ลูกา 6:17–19 TH1971) {MB 4.2}
คนที่ไปฟังพระเยซูมีมากจนชายหาดแคบเกินไปที่จะให้ทุกคนได้ยืนฟังพระองค์ พระเยซูจึงนำพวกเขากลับไปที่ภูเขาและเสด็จขึ้นไปหน่อยหนึ่ง ประทับลงบนทุ่งหญ้าในที่ราบเหมาะสำหรับมวลชนได้นั่งฟัง เมื่อสาวกและฝูงชนเห็นพระองค์ประทับลงแล้วก็กระทำตาม {MB 4.3}
เหล่าสาวกรู้สึกว่าวันนี้น่าจะมีอะไรพิเศษที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น จึงขยับเข้าไปใกล้พระอาจารย์ของเขา เมื่อระลึกถึงเหตุการณ์ตอนเช้าตรู่ พวกเขามั่นใจว่าพระเยซูจะประกาศเรื่องอาณาจักรของพระองค์ และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า พระองค์ใกล้จะสถาปนามันขึ้นแล้ว มหาชนที่ติดตามพระองค์ก็รู้สึกตื่นเต้นไปด้วย ต่างคนต่างมุ่งความสนใจไปยังพระเยซูด้วยความอยากรู้อยากเห็น {MB 4.4}
ขณะที่ประชาชนกำลังนั่งรอฟังพระอาจารย์บนเนินเขาอันเขียวขจีอยู่นั้น ใจพวกเขามัวแต่ฝักใฝ่ในเรื่องเกียรติยศศักดิ์ศรีแห่งอนาคต มีพวกฟาริสีกับธรรมาจารย์เฝ้ารอคอยวันที่จะได้ปกครองเหนือชาวโรมันที่พวกเขาเกลียดชัง และจะได้ครอบครองทรัพย์สมบัติและศักดิ์ศรีของมหาอาณาจักรโรม ส่วนชาวนาและชาวประมงผู้ยากไร้หวังว่าจะได้ยินพระเยซูยืนยันว่า กระท่อมอันทรุดโทรม อาหารที่ขาดแคลน ชีวิตที่ตรากตรำและความกลัวต่อความอดอยากจะได้เอาไปแลกกับคฤหาสน์ของพวกโรมันผู้บีบบังคับและชีวิตที่สุขสบาย พวกเขาหวังว่าพระคริสต์จะทรงมอบเสื้อผ้าหรูหราของศัตรูแทนที่เสื้อผ้าชุดเดียวที่พวกเขาสวมใส่ในกลางวันและใช้ห่มในกลางคืน {MB 5.1}
หัวใจทุกดวงกำลังเต็มตื้นไปด้วยความหวังว่าในไม่ช้าชนชาติอิสราเอลจะได้รับเกียรติต่อหน้าบรรดาประชาชาติในฐานะชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรร และกรุงเยรูซาเล็มจะได้รับการยกย่องให้เป็นเมืองหลวงของมหาอำนาจที่จะครอบครองสากลโลก {MB 5.2}