13. อับราฮัมในแผ่นดินคานาอัน
ลัดหน้าพระเจ้า
อับราฮัมเชื่ออย่างไม่มีข้อสงสัยว่าพระเจ้าจะประทานบุตรตามพระสัญญา แต่ท่านมิได้รอให้พระองค์ทรงกระทำให้สำเร็จตามวิธีการและช่วงเวลาที่ทรงกำหนดไว้ การที่ต้องรอคอยก็เพื่อทดสอบความเชื่อในฤทธานุภาพของพระเจ้า แต่ทว่าท่านไม่ผ่านการทดสอบนั้น ซาราห์คิดว่าการมีบุตรในวัยชราเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จึงคิดหาวิธีหวังที่จะช่วยให้แผนการของพระเจ้าสำเร็จ โดยยกคนใช้ให้เป็นภรรยาน้อยของอับราฮัม ในสมัยนั้นการมีภรรยาหลายคนเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายจนทำให้คนทั่วไปถือว่าเป็นเรื่องปกติไม่เป็นบาป แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นการฝ่าฝืนต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่ดี และเป็นตัวบ่อนทำลายความสงบสุขและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันครอบครัว การแต่งงานระหว่างอับราฮัมกับฮาการ์ไม่เพียงแต่ส่งผลร้ายแก่คนในครอบครัวของท่านเองเท่านั้น แต่ผลเสียยังตกทอดไปจนถึงคนรุ่นหลังอีกด้วย {PP 145.1}
ฮาการ์อวดดีที่ตนได้รับเกียรติมาเป็นภรรยาของอับราฮัม และหวังจะเป็นมารดาของชนชาติใหญ่ที่จะสืบเชื้อสายมาจากบุตรของตน เธอเกิดความหยิ่งผยองและสบประมาทดูแคลนนายหญิงของตน ความอิจฉาริษยาของทั้งสองฝ่ายทำลายความสงบสุขที่เคยมีอยู่ในครอบครัว อับราฮัมจำใจต้องฟังคำบ่นตัดพ้อของทั้งสองฝ่ายและพยายามสร้างความปรองดองกันแต่ก็ไร้ผล ถึงแม้ซาราห์เป็นคนอ้อนวอนให้อับราฮัมแต่งงานกับฮาการ์ แต่บัดนี้นางกลับโยนความผิดให้สามี ซาราห์ต้องการขับไล่คู่แข่งออกไป แต่อับราฮัมไม่อนุญาตเพราะนางฮาการ์จะมีลูกให้ท่าน และอับราฮัมหวังว่าลูกคนนี้จะเป็นบุตรที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ อย่างไรก็ตามฮาการ์ยังคงเป็นคนใช้ของนางซาราห์ อับราฮัมจึงให้เธออยู่ใต้คำสั่งของนายหญิงต่อไป แต่ใจที่หยิ่งยโสของฮาการ์ไม่ยอมทนต่อการดุด่าที่เกิดขึ้นเพราะการอวดดีของตน “นางซารายเคี่ยวเข็ญหญิงนั้น จนนางหนีไปให้พ้นหน้า” {PP 145.2}
ฮาการ์มุ่งหน้าไปทางทะเลทราย ขณะที่เธอพักอยู่ข้างบ่อน้ำพุด้วยความอ้างว้างเดียวดาย ทูตสวรรค์ของพระเจ้าในรูปกายของมนุษย์ปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอ และเรียกเธอว่า “ฮาการ์ หญิงคนใช้ของนางซาราย” เพื่อเตือนให้เธอระลึกว่าเธอเป็นใครและมีหน้าที่อะไร ทูตของพระเจ้าสั่งฮาการ์ว่า “กลับไปหานายผู้หญิงของเจ้า และยอมอยู่ใต้บังคับเขาเถิด” การว่ากล่าวนี้ยังแฝงด้วยคำปลอบโยน ทูตสวรรค์กล่าวอีกว่า “พระเจ้าทรงรับฟังความทุกข์ร้อนของเจ้า” “เราจะให้พงศ์พันธุ์ของเจ้าทวีมากขึ้นจนนับไม่ถ้วน” และเพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าตลอดไป ทูตองค์นั้นได้บอกให้ฮาการ์ตั้งชื่อบุตรของเธอว่า อิชมาเอล มีความหมายว่า “พระเจ้าทรงรับฟัง” {PP 145.3}
คำสัญญา
เมื่ออับราฮัมมีอายุเกือบ 100 ปี พระเจ้าทรงย้ำอีกครั้งถึงพระสัญญาว่าจะประทานบุตรให้แก่ท่าน โดยยืนยันว่าทายาทที่จะสืบเชื้อสายนั้นจะเป็นบุตรของนางซาราห์ แต่อับราฮัมยังไม่เข้าใจพระสัญญาจึงหวนคิดถึงอิชมาเอลทันที ท่านเชื่อว่าชีวิตของอิชมาเอลจะทำให้พระประสงค์อันกอปรด้วยพระคุณของพระเจ้าสำเร็จ จึงอุทานออกมาด้วยความรักที่มีต่อลูกว่า “โอ ขอให้อิชมาเอลมีชีวิตอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์” แล้วพระเจ้าทรงให้คำมั่นสัญญาด้วยถ้อยคำที่กระจ่างชัดว่า “ซาราห์ภรรยาของเจ้าจะคลอดบุตรชายคนหนึ่งให้เจ้า และเจ้าจงตั้งชื่อเขาว่า อิสอัค เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับเขา” ถึงกระนั้นพระองค์ไม่ได้ทรงมองข้ามคำภาวนาของอับราฮัม ตรัสว่า “ฝ่ายอิชมาเอลนั้น เราฟังเจ้าแล้ว เราจะอำนวยพรแก่เขา…และเราจะกระทำให้เขาเป็นชาติใหญ่ชาติหนึ่ง” {PP 146.1}
การกำเนิดของอิสอัคทำให้อับราฮัมกับซาราห์สมใจปรารถนา มีความปลาบปลื้มยินดีทั่วที่อยู่อาศัยของท่านทั้งสองหลังจากที่ต้องรอคอยอย่างยาวนานมาตลอดชีวิต แต่สำหรับนางฮาการ์แล้ว เหตุการณ์นี้ได้หยุดยั้งสิ่งที่เธอใฝ่ฝันมาตลอด ฝ่ายอิชมาเอลเติบโตเป็นหนุ่มและทุกคนต่างรู้ดีว่าเขาจะเป็นผู้สืบทอดมรดกอันมั่งคั่งของอับราฮัม เป็นทายาทที่จะรับพระพรที่ทรงสัญญาแก่เชื้อสายของท่าน บัดนี้จู่ๆ เขาก็ไม่ได้รับความสำคัญเช่นเดิมเสียแล้ว เมื่อเกิดความผิดหวัง ทั้งแม่และลูกจึงเกลียดชังบุตรของนางซาราห์ ยิ่งเห็นทุกคนยินดีก็ยิ่งทำให้สองแม่ลูกเกิดความอิจฉาริษยามากขึ้นจนกระทั่งอิชมาเอลกล้าเย้ยหยันทายาทแห่งพระสัญญาอย่างเปิดเผย นางซาราห์มองเห็นความบาดหมางที่จะเกิดขึ้นต่อไปไม่สิ้นสุดจากพฤติกรรมที่ก้าวร้าวของอิชมาเอล จึงขอร้องให้อับราฮัมขับไล่ฮาการ์และอิชมาเอลไปจากค่าย ความทุกข์ใจอย่างใหญ่หลวงจึงตกอยู่กับอับราฮัม ท่านจะขับไล่ไสส่งอิชมาเอลลูกชายที่ท่านรักได้อย่างไร ขณะที่ว้าวุ่นใจท่านได้ร้องทูลขอการทรงนำจากพระเจ้า พระองค์ทรงใช้ทูตสวรรค์มาบอกให้ท่านทำตามที่ซาราห์ต้องการ ความรักที่อับราฮัมมีต่อฮาการ์และอิชมาเอลจะต้องไม่เป็นอุปสรรคขวางกั้น มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะรักษาความกลมเกลียวและความสุขในครอบครัวของท่านไว้ได้ ทูตสวรรค์ได้กล่าวปลอบประโลมด้วยพระสัญญาว่าถึงแม้อิชมาเอลจะต้องพลัดพรากจากบ้านบิดา แต่พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเขา พระองค์จะทรงรักษาชีวิตของเขา และเขาจะเป็นบิดาของชนชาติใหญ่ อับราฮัมเชื่อฟังถ้อยคำของทูตสวรรค์ด้วยความปวดร้าวใจ ท่านต้องแบกรับความขมขื่นสุดที่จะบรรยายในขณะที่ส่งนางฮาการ์และลูกชายออกไป {PP 146.2}
บทเรียนที่ต้องจำ
คำสั่งสอนที่อับราฮัมได้รับในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของการเป็นคู่สมรสเป็นบทเรียนให้แก่คนในทุกยุคทุกสมัย สอนให้รู้ว่าสิทธิและความสุขของการเป็นสามีภรรยาจะต้องปกป้องไว้ให้ถึงที่สุด แม้ต้องแลกกับการเสียสละครั้งใหญ่ก็ตาม นางซาราห์เป็นภรรยาที่แท้จริงเพียงคนเดียวของอับราฮัม ไม่ควรมีใครมาแย่งส่วนในสิทธิความเป็นภรรยาและแม่นั้นได้ นางให้เกียรติสามี ด้วยเหตุนี้ชื่อของนางจึงปรากฏในพันธสัญญาใหม่ในฐานะปูชนียบุคคล นางซาราห์ไม่ยอมให้อับราฮัมแบ่งปันความรักให้ผู้อื่น แต่พระเจ้ามิได้ทรงตำหนิที่นางขอให้อับราฮัมขับไล่ฮาการ์ออกไป ทั้งอับราฮัมและนางซาราห์ไม่ได้วางใจในฤทธานุภาพของพระเจ้า ความผิดนี้เองที่เป็นเหตุให้อับราฮัมแต่งงานกับนางฮาการ์ {PP 147.1}
ถูกเรียกไปลองใจ
พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมให้เป็นบิดาแห่งความเชื่อ เพื่อให้ชีวิตของท่านเป็นแบบอย่างในเรื่องความเชื่อแก่คนรุ่นหลัง แต่ความเชื่อของท่านยังบกพร่องอยู่ ท่านเคยแสดงถึงความไม่ไว้ใจพระเจ้าโดยปิดบังความจริงว่านางซาราห์เป็นภรรยาของตนและอีกครั้งเมื่อแต่งงานกับนางฮาการ์ พระเจ้าจึงทรงทดสอบอับราฮัมอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้ท่านบรรลุถึงมาตรฐานสูงสุด ซึ่งเป็นการทดสอบที่หนักเกินกว่าใครเคยได้รับ อับราฮัมได้รับนิมิตในเวลากลางคืน พระเจ้าตรัสสั่งให้ท่านไปยังดินแดนโมริยาห์และถวายบุตรชายของตนเป็นเครื่องบูชาบนภูเขาซึ่งพระเจ้าจะทรงสำแดง {PP 147.2}
อับราฮัมได้รับพระดำรัสสั่งนี้เมื่อท่านอายุ 120 ปี แม้แต่ในสายตาของคนสมัยนั้นก็ยังถือว่าท่านชรามาก ในช่วงวัยหนุ่มท่านเคยแข็งแรง บากบั่นสู้ทนต่ออุปสรรคเภทภัย แต่บัดนี้ความกระตือรือร้นในวัยหนุ่มได้ดับมอดไปเสียแล้ว ชายวัยฉกรรจ์อาจเผชิญกับความทุกข์ยากลำบากได้ซึ่งถ้าหากต้องประสบความทุกข์อันเดียวกันเมื่ออายุมากก็คงทำให้ใจสลาย แต่พระเจ้าทรงเตรียมการทดสอบแก่อับราฮัมเป็นครั้งสุดท้ายและยากที่สุดเมื่อท่านแก่ชรา คือเมื่อท่านเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ต้องการพักผ่อนจากความกังวลและงานที่ตรากตรำ {PP 147.3}
ขณะนั้นอับราฮัมอาศัยอยู่ที่เบเออร์เชบา มั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติและเกียรติยศ เจ้าเมืองทั้งหลายยกย่องท่านว่าเป็นดั่งเจ้าชายผู้เกรียงไกร มีแกะมีวัวนับเป็นพันๆ ตัวกระจายอยู่ทั่วท้องทุ่งจากค่ายที่พักจนสุดสายตา ในบริเวณรอบๆ เต็นท์ของท่าน มีเต็นท์ของผู้ติดตามและที่พักของคนใช้ที่ซื่อสัตย์นับร้อยๆ คน บุตรชายที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้ก็ได้เติบโตเป็นชายหนุ่มอยู่เคียงข้างบิดาราวกับว่าสวรรค์ได้เทพระพรให้กับบุคคลที่เสียสละเฝ้ารอคอยความหวังอันยาวนาน {PP 147.4}
ในการดำเนินตามหนทางแห่งความเชื่อ อับราฮัมได้หันหลังให้บ้านเกิดเมืองนอนกับญาติพี่น้องและหลุมฝังศพของบิดา เร่ร่อนอย่างคนแปลกถิ่นในแผ่นดินที่จะได้รับเป็นมรดก นานมากแล้วที่ท่านได้เฝ้ารอคอยทายาทซึ่งทรงสัญญาไว้ และยังต้องขับไล่อิชมาเอลลูกชายของท่านออกจากบ้านไปตามพระบัญชาของพระเจ้า บัดนี้บุตรชายที่เฝ้าคอยมานานกำลังโตเป็นผู้ใหญ่ และอับราฮัมเริ่มเห็นว่าความหวังใกล้จะสำเร็จเต็มที แต่ก็มีการทดลองที่หนักกว่าที่เคยประสบกำลังรอท่านอยู่ข้างหน้า {PP 148.1}
การทดลองที่หนักหน่วง
หัวใจของผู้เป็นบิดาคงทรมานอย่างสาหัสเมื่อได้ยินพระบัญชาของพระเจ้าตรัสว่า “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัค บุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก…และถวายเขาที่นั่นเป็นเครื่องเผาบูชา” อิสอัคเป็นเสมือนแสงประทีปของครอบครัว เป็นผู้บรรเทาความทุกข์แก่บิดาผู้ชรา และเหนือสิ่งอื่นใดเขาเป็นผู้ที่จะรับมรดกตามพระสัญญา หากว่าต้องสูญเสียบุตรชายที่รักไม่ว่าด้วยอุบัติเหตุหรือโรคร้ายคงทำให้หัวใจของบิดาปวดร้าว ศีรษะที่ขาวหงอกคงค้อมลงคอตกด้วยความเศร้าโศก แต่อับราฮัมได้รับพระบัญชาให้ปลิดชีวิตบุตรชายด้วยมือของท่านเอง ช่างดูน่ากลัวและเป็นไปไม่ได้เลย {PP 148.2}
ซาตานคอยอยู่ใกล้พร้อมที่จะใส่ความคิดให้อับราฮัมว่า ท่านกำลังถูกหลอก เพราะพระบัญญัติของพระเจ้ากล่าวว่า “อย่าฆ่าคน” และพระองค์คงไม่ประสงค์ให้ทำในสิ่งที่เคยห้ามไว้ อับราฮัมเดินออกไปข้างนอกเต็นท์ แหงนดูท้องฟ้าที่ปลอดโปร่งและเงียบสงบ นึกย้อนไปถึงพระสัญญาซึ่งได้รับเมื่อเกือบ 50 ปีก่อนนั้นว่า พงศ์พันธุ์ของท่านจะนับไม่ถ้วนดุจดวงดาวบนท้องฟ้า หากพระสัญญานี้จะสำเร็จโดยทางอิสอัคแล้ว เหตุใดจึงต้องฆ่าเขาด้วย อับราฮัมเกือบหลงเชื่อว่าท่านกำลังถูกหลอกลวง จึงซบหน้าลงกับพื้นดินและอธิษฐานด้วยความสงสัยใจเป็นทุกข์อย่างที่ไม่เคยอธิษฐานมาก่อน เพื่อขอหมายสำคัญยืนยันว่าหน้าที่อันโหดร้ายนี้เป็นพระบัญชาจริงๆ ท่านระลึกถึงทูตสวรรค์ที่ส่งข่าวเรื่องพระประสงค์ของพระเจ้าในการทำลายเมืองโสโดมกับที่นำพระสัญญาว่าบุตรชายคนนี้คืออิสอัคจะเกิดมา ท่านไปที่ที่เคยพบกับทูตสวรรค์หลายครั้ง ในใจหวังว่าจะได้รับคำชี้นำเพิ่มเติม แต่ไม่มีทูตสวรรค์มาช่วยเหลือท่านเลย ดูเหมือนความมืดทึบจะกลืนท่านเสียแล้ว แต่พระบัญชาของพระเจ้ายังคงก้องกังวานอยู่ในหูของท่าน “จงพาบุตรของเจ้าคืออิสอัคบุตรคนเดียวของเจ้าผู้ที่เจ้ารัก” ท่านจำต้องเชื่อฟังพระบัญชานี้ จึงไม่กล้ารีรอ รุ่งอรุณใกล้เข้ามาแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องออกเดินทาง {PP 148.3}
อับราฮัมกลับไปยังเต็นท์ที่พัก แลดูอิสอัคกำลังหลับใหลอย่างไม่เป็นทุกข์ร้อนตามประสาเด็กหนุ่ม บิดามองดูใบหน้าของบุตรชายผู้เป็นที่รักอยู่ชั่วขณะ แล้วหันออกไปด้วยอาการสั่นเทา ท่านเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ ซาราห์ซึ่งกำลังหลับอยู่เช่นกัน ควรจะปลุกให้นางตื่นขึ้นมาโอบกอดลูกเป็นครั้งสุดท้ายหรือไม่ ควรไหมที่จะบอกให้นางรู้ถึงพระบัญชาของพระเจ้า อับราฮัมปรารถนาอย่างยิ่งที่จะแบ่งภาระในใจและเล่าให้ซาราห์ฟังถึงความรับผิดชอบอันน่าสะพรึงกลัวนี้ แต่ท่านห้ามความรู้สึกของตนไว้ เกรงว่าซาราห์อาจขัดขวางก็เป็นได้ อิสอัคให้ความสุขและสร้างความภูมิใจให้นาง ชีวิตของนางผูกพันแนบแน่นอยู่กับเขา และด้วยความรักของผู้เป็นแม่อาจไม่ยอมให้มีการถวายบูชาครั้งนี้ {PP 148.4}
การเดินทางที่จำใจ
ในที่สุดอับราฮัมปลุกอิสอัคให้ตื่นและบอกเขาว่าพระเจ้าทรงบัญชาให้ไปถวายเครื่องบูชาบนภูเขาที่อยู่ห่างไกล อิสอัคเคยเดินทางไปกับบิดาบ่อยๆ เพื่อนมัสการพระเจ้า ณ แท่นบูชาที่บิดาเคยก่อขึ้นตามจุดต่างๆ บนเส้นทางพเนจรของท่าน จึงไม่แปลกใจที่บิดาเรียกให้ลุกขึ้นไปด้วยกันในครั้งนี้ การเตรียมตัวเดินทางเสร็จอย่างรวดเร็ว ไม้ฟืนถูกเรียงไว้บนหลังลา สองพ่อลูกจึงออกเดินทางพร้อมคนใช้ 2 คน {PP 151.1}
อับราฮัมกับอิสอัคออกเดินทางไปเคียงคู่กันโดยมิได้พูดอะไรเลย ผู้เป็นบิดาคำนึงถึงความลับที่หนักอึ้งอยู่ในใจจนพูดไม่ออก ท่านนึกถึงความภาคภูมิใจและความรักของซาราห์ผู้เป็นแม่กับวันที่นางจะพบว่าตนกลับบ้านเพียงคนเดียว ท่านตระหนักว่ามีดที่ปลิดชีวิตของบุตรชายจะทิ่มแทงหัวใจของนาง {PP 151.2}
วันอันยาวนานที่สุดในชีวิตของอับราฮัมนั้นล่วงไปอย่างช้าๆ ขณะที่ลูกชายกับคนใช้หนุ่ม 2 คน กำลังหลับอยู่ ท่านเฝ้าอธิษฐานทั้งคืน ยังหวังว่าจะมีทูตสวรรค์ลงมาบอกว่าท่านถูกทดสอบเพียงพอแล้ว และอิสอัคจะกลับไปหาแม่ได้อย่างปลอดภัย แต่ทว่าหัวใจที่ตรอมตรมไม่ได้รับการปลอบประโลม แล้วอีกหนึ่งวันที่ยาวนานกับอีกหนึ่งคืนที่ท่านถ่อมตัวอธิษฐานก็ผ่านไป ขณะที่พระบัญชาให้ต้องสูญเสียบุตรชายยังคงดังก้องกังวานอยู่ในหูมิหยุดหย่อน ซาตานคอยกระซิบอยู่ใกล้ๆ เพื่อให้เกิดความระแวงแคลงใจ แต่อับราฮัมต้านไว้ ในขณะที่พวกเขากำลังจะออกเดินทางต่อเป็นวันที่สาม อับราฮัมมองไปยังทิศเหนือและเห็นเครื่องหมายที่ทรงสัญญาไว้ คือมีแสงเรืองรองห้อมล้อมยอดเขาโมริยาห์ ท่านจึงแน่ใจว่าเสียงที่ตรัสกับท่านนั้นมาจากสวรรค์ {PP 151.3}
บิดาแห่งความเชื่อ
ถึงบัดนี้ท่านไม่ได้บ่นต่อว่าพระเจ้า แต่เสริมกำลังใจด้วยการใคร่ครวญถึงหลักฐานแห่งความสัตย์สุจริตและความดีงามของพระองค์ อับราฮัมไม่เคยคาดหวังว่าอิสอัคจะเกิดมา แล้วพระเจ้าผู้ประทานบุตรชายที่แสนพิเศษนี้จะทรงเรียกคืนไม่ได้หรือ ท่านทบทวนพระสัญญาด้วยความเชื่อมั่นว่า “ชื่อของเจ้าจะสืบต่อไปทางเชื้อสายอิสอัค” เป็นพงศ์พันธุ์ที่นับไม่ถ้วนดังเม็ดทรายที่ชายฝั่งทะเล อิสอัคเกิดมาอย่างอัศจรรย์ แล้วฤทธานุภาพที่มอบชีวิตแก่เขาจะชุบชีวิตให้กลับคืนมาไม่ได้หรือ อับราฮัมมองไปไกลเกินกว่าที่ตาจะแลเห็นได้และยึดพระวจนะของพระเจ้าไว้มั่นโดยถือว่า “พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถชุบคนตายให้ฟื้นได้” (ฮีบรู 11:19 TH1971) {PP 151.4}
พระเจ้าเท่านั้นทรงเข้าใจถึงการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ของผู้เป็นบิดาที่ต้องมอบบุตรของตนสู่ความตาย อับราฮัมจึงปรารถนาให้พระเจ้าเพียงผู้เดียวทรงเป็นพยานถึงการพลัดพรากครั้งนี้ ท่านสั่งคนใช้ให้คอยอยู่ข้างหลัง กล่าวว่า “เรากับลูกจะเดินไปที่โน้นนมัสการพระ แล้วจะกลับมาพบเจ้า” อิสอัคผู้ที่กำลังจะกลายเป็นเครื่องบูชารับฟืนแบกไป บิดาถือมีดกับไฟ ทั้งสองมุ่งหน้าขึ้นไปยังยอดเขา อิสอัคเดินไปพลางคิดในใจว่า ฝูงแพะแกะอยู่ไกลจากบริเวณนี้แล้วจะหาเครื่องบูชาได้จากที่ไหน ในที่สุดจึงถามขึ้นว่า “คุณพ่อ…นี่ไฟและฟืน แต่ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน” ช่างเป็นการทดลองใจที่ปวดร้าวเสียนี่กระไร คำว่า “คุณพ่อ” ซึ่งเป็นคำที่น่าอบอุ่นกลับแทงใจอับราฮัมอย่างยิ่ง แต่ยังก่อน ท่านยังไม่สามารถบอกลูกได้ตอนนี้ จึงตอบว่า “ลูกเอ๋ย พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เองเป็นเครื่องเผาบูชา” {PP 152.1}
เมื่อมาถึงที่หมาย ทั้งสองคนช่วยกันก่อแท่นบูชาและวางฟืนไว้บนแท่น เสร็จแล้วอับราฮัมจึงเปิดเผยพระดำรัสของพระเจ้าให้บุตรชายฟังด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ อิสอัคตระหนกตกใจเมื่อได้รู้ชะตากรรมของตัวเอง แต่มิได้ขัดขืนแต่อย่างใด เขาอาจวิ่งหนีความหายนะนี้ก็ได้ถ้าคิดจะทำ เพราะบิดาผู้ชราและอ่อนเพลียจากการเดินทางมา 3 วัน บวกกับความทุกข์ใจที่แบกอยู่ คงไม่อาจห้ามปรามลูกชายวัยหนุ่มแน่นได้ แต่อิสอัคได้รับการฝึกฝนมาตั้งแต่เด็กให้พร้อมที่จะเชื่อฟังและไว้วางใจ ขณะที่บิดาเปิดเผยแผนการของพระเจ้า เขาก็น้อมรับด้วยใจยินยอม อิสอัคมีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัม และรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ถูกเรียกให้ถวายชีวิตเป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เขาเห็นใจบิดาและพยายามปลอบประโลมท่าน บอกให้ท่านยกมือที่อ่อนแรงของท่านขึ้นมามัดตัวเขาไว้กับแท่นบูชา {PP 152.2}
อับราฮัมและอิสอัคสวมกอดกันเป็นครั้งสุดท้าย กล่าวอำลากันด้วยความรักและน้ำตาที่ไหลพรั่งพรู บิดาชูมีดเพื่อจะแทงลูกชาย ทันใดนั้นแขนที่ชูขึ้นก็ถูกห้ามไว้ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าได้เรียกชื่อท่านว่า “อับราฮัม อับราฮัม” ท่านรีบขานขึ้นว่า “พระเจ้าข้า” แล้วเสียงนั้นพูดต่อไปว่า “อย่าแตะต้องเด็กนั้นหรือกระทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา” {PP 152.3}
แล้วอับราฮัมหันไปเห็น “แกะผู้ตัวหนึ่ง เขาของมันติดอยู่ในพุ่มไม้ทึบ” จึงรีบนำแกะตัวนั้นมาเพื่อถวายเป็นเครื่องเผาบูชา “แทนบุตรชาย” และด้วยความยินดีกับใจที่ขอบพระคุณ อับราฮัมจึงตั้งชื่อใหม่ให้กับสถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นว่า “เยโฮวาห์ยิเรห์” หมายความว่า “พระเจ้าจะทรงจัดหาไว้ให้” {PP 153.1}
บนยอดเขาโมริยาห์นั่นเอง พระเจ้าทรงย้ำพันธสัญญาของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อยืนยันถึงพระพรแก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านสืบไปตลอดทุกชั่วอายุ โดยตรัสว่า “เราปฏิญาณในนามของเราว่า เพราะเจ้ากระทำอย่างนี้และมิได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า เราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองศัตรูของเจ้าเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหลายทั่วโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เหตุว่าเจ้าฟังเสียงของเรา” {PP 153.2}
เชื่อฟังอย่างเต็มใจ
วีรกรรมที่เกิดจากความเชื่อของอับราฮัมเป็นเสมือนแสงประทีปที่ส่องสว่างบนหนทางของผู้รับใช้พระเจ้าในยุคต่างๆ นับแต่นั้นมา ท่านไม่ได้หาทางบ่ายเบี่ยงจากการทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าหากอับราฮัมคิดจะสงสัย การเดินทาง 3 วัน ก็มีเวลามากพอที่จะคิดหาเหตุผลและสงสัยพระเจ้าได้ ท่านอาจจะแก้ตัวว่าการฆ่าลูกของตนเองจะทำให้ผู้อื่นมองว่าท่านเป็นฆาตกร เหมือนกับเป็นคาอินอีกคนหนึ่ง อันจะทำให้ผู้คนขาดความศรัทธาและไม่ฟังคำสอนของท่านอีกต่อไป แล้วอิทธิพลในการชักนำคนอื่นในทางดีก็จะหมดไป อับราฮัมอาจทูลขอไม่ปฏิบัติเพราะชรามากแล้ว แต่ท่านมิได้หาคำแก้ตัวเหล่านี้เพื่อเอาตัวรอด ท่านเป็นมนุษย์ มีความรู้สึก ความผูกพันเหมือนกับเรา แต่ท่านไม่ได้เคลือบแคลงใจว่าหากอิสอัคถูกฆ่าแล้วพระสัญญาจะสำเร็จได้อย่างไร หรือหยุดเพื่อต่อรองกับใจที่ปวดร้าว ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงยุติธรรมและชอบธรรมในกฎเกณฑ์ทั้งสิ้นของพระองค์ ท่านจึงเชื่อฟังพระบัญชาอย่างครบถ้วน {PP 153.3}
“อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน และท่านได้ชื่อว่า เป็นสหายของพระเจ้า” (ยากอบ 2:23 TH1971) ส่วนเปาโลกล่าวว่า “ฉะนั้นคนที่เชื่อนั่นแหละเป็นบุตรของอับราฮัม” (กาลาเทีย 3:7 TH1971) แต่ความเชื่อของอับราฮัมนั้นปรากฏชัดด้วยการกระทำของท่าน “พระเจ้าทรงถือว่าอับราฮัมบรรพบุรุษของเราเป็นผู้ชอบธรรมก็เพราะการกระทำของเขาที่ถวายอิสอัคบุตรชายบนแท่นบูชาไม่ใช่หรือ ท่านก็เห็นแล้วว่าความเชื่อและการกระทำของเขาทำงานควบคู่กัน ความเชื่อของเขาครบถ้วนสมบูรณ์โดยสิ่งที่เขาได้ทำ” (ยากอบ 2:21–22 TNCV) มีหลายคนไม่เข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อกับการประพฤติปฏิบัติ พวกเขาพูดว่า ‘แค่เชื่อในพระเยซูแล้วคุณจะรอด คุณไม่จำเป็นต้องรักษาพระบัญญัติก็ได้’ แต่ความเชื่อที่แท้จริงจะปรากฏออกมาโดยการเชื่อฟัง พระเยซูได้ตรัสแก่คนยิวที่ไม่เชื่อทั้งหลายว่า “ถ้าท่านทั้งหลายเป็นบุตรของอับราฮัมแล้ว ท่านก็จะทำสิ่งที่อับราฮัมได้กระทำ” (ยอห์น 8:39 TH1971) และตรัสถึงบิดาแห่งความเชื่อว่า “อับราฮัมได้ฟังเสียงเรา และได้รักษาคำกำชับของเรา บัญญัติของเรา กฎเกณฑ์ของเรา และพระธรรมของเรา” (ปฐมกาล 26:5 TH1971) ส่วนอัครทูตยากอบกล่าวว่า “ความเชื่อก็เช่นเดียวกัน ถ้าไม่ประพฤติตามก็ไร้ผล” (ยากอบ 2:17 TH1971) แล้วยอห์นผู้บรรยายถึงความรักไว้หลายตอนได้กล่าวว่า “เพราะนี่แหละเป็นความรักต่อพระเจ้า คือที่เราทั้งหลายประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์” (1 ยอห์น 5:3 TH1971) {PP 153.4}
สัญลักษณ์แห่งการช่วยให้รอด
พระเจ้าทรง “ประกาศข่าวประเสริฐแก่อับราฮัมล่วงหน้า” โดยผ่านสัญลักษณ์และพระสัญญาของพระองค์ (กาลาเทีย 3:8 TH1971) ส่วนอับราฮัมเพ่งความเชื่อไปยังพระผู้ไถ่ที่จะเสด็จมา พระคริสต์ตรัสแก่พวกยิวว่า “อับราฮัมบิดาของท่านชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และท่านก็ได้เห็นแล้วและมีความยินดี” (ยอห์น 8:56 TH1971) ลูกแกะที่ถูกฆ่าถวายแทนอิสอัคเป็นเครื่องหมายแสดงถึงพระบุตรของพระเจ้า ผู้จะต้องสละพระชนม์ชีพเพื่อเรา เมื่อการฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระเจ้าชี้ชะตาว่ามนุษย์จะต้องตาย พระบิดาทอดพระเนตรไปยังพระบุตรของพระองค์ และตรัสกับคนบาปว่า “[จงมีชีวิตอยู่ เรา] ได้พบค่าไถ่สำหรับเขาแล้ว” (โยบ 33:24 TNCV) {PP 154.1}
การที่พระเจ้าทรงบัญชาให้อับราฮัมฆ่าบุตรของตนก็เพื่อให้ท่านตระหนักถึงความจริงของข่าวประเสริฐและเพื่อเป็นการทดสอบความเชื่อ พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุดทรงให้อับราฮัมทนต่อการทดลองที่ร้ายแรงจนจิตใจต้องเจ็บปวดรวดร้าวเป็นเวลาหลายวัน เพื่อให้ท่านตระหนักถึงการเสียสละอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ในการไถ่มนุษย์ให้รอด ไม่มีการทดสอบใดๆ ที่จะทำให้อับราฮัมทรมานใจเท่ากับการต้องถวายลูกของตน พระเจ้าทรงมอบพระบุตรของพระองค์ให้ทนทุกข์และอับอายจนตาย บรรดาทูตสวรรค์ที่ได้เห็นถึงการถ่อมพระองค์และความปวดร้าวพระทัยของพระบุตรพระเจ้า ไม่ได้รับอนุญาตให้ขัดขวางเหมือนในกรณีของอิสอัค ไม่มีเสียงร้องว่า “พอแล้ว” พระมหากษัตริย์ผู้เปี่ยมด้วยพระสิริทรงสละพระชนม์ของพระองค์เพื่อช่วยมนุษยชาติที่ตกสู่ความบาปให้รอด และจะมีหลักฐานอะไรอีกเล่าที่แสดงให้เห็นถึงพระเมตตาและความรักอันเหลือล้นของพระเจ้าได้หนักแน่นกว่านี้ “พระองค์ผู้มิได้ทรงหวงพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ แต่ได้ทรงโปรดประทานพระบุตรนั้นเพื่อประโยชน์แก่เรา ถ้าเช่นนั้นพระองค์จะไม่ทรงโปรดประทานสิ่งสารพัดให้เราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” (โรม 8:32 TH1971) {PP 154.2}
เพื่อจักรวาลได้รับรู้
การที่พระเจ้าทรงให้อับราฮัมเสียสละมิใช่เพื่อประโยชน์ของท่านเองหรือเพื่อชนรุ่นหลังเท่านั้น แต่เป็นบทเรียนสำหรับชาวสวรรค์ผู้ไร้บาปและแก่โลกอื่นๆ ด้วย สมรภูมิแห่งการต่อสู้ระหว่างพระคริสต์กับซาตานคือสนามรบที่แผนการทรงไถ่ให้รอดดำเนินอยู่ เป็นบทเรียนให้แก่จักรวาล เนื่องจากอับราฮัมเคยแสดงถึงความไม่เชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า ซาตานจึงฟ้องท่านต่อหน้าทูตสวรรค์และต่อพระพักตร์พระองค์ว่าท่านไม่ได้ทำตามเงื่อนไขของพันธสัญญา จึงไม่คู่ควรกับพระพรแห่งพันธสัญญานั้น พระเจ้ามีพระประสงค์ให้พิสูจน์ความจงรักภักดีของผู้รับใช้พระองค์ต่อหน้าชาวสวรรค์ทั้งปวง เพื่อสำแดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงยอมรับแต่การเชื่อฟังที่สมบูรณ์เท่านั้น และเพื่อชี้แจงแผนการช่วยมนุษย์ให้รอดให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้น {PP 154.3}
ชาวสวรรค์เฝ้าดูเหตุการณ์ขณะที่อับราฮัมถูกทดสอบความเชื่อและอิสอัคถูกทดสอบในเรื่องการยอมจำนน บททดสอบนี้สาหัสยิ่งกว่าที่อาดัมเคยต้องเผชิญ การเชื่อฟังกฎข้อห้ามที่พระเจ้าทรงบัญชาให้แก่บรรพบุรุษคู่แรกนั้นไม่ต้องแลกด้วยความทุกข์แต่อย่างใด แต่พระบัญชาที่ให้แก่อับราฮัมนั้นเป็นเหตุให้ต้องเสียสละด้วยใจที่ทุกข์โศก ทั่วทั้งสวรรค์ประหลาดใจและชื่นชมกับการที่อับราฮัมเชื่อฟังอย่างไม่หวั่นไหวและชมเชยความจงรักภักดีของท่าน คำกล่าวหาของซาตานถูกพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีมูลความจริง พระเจ้าตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “บัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า [ถึงแม้ซาตานจะกล่าวร้ายก็ตาม] ด้วยเห็นว่าเจ้ามิได้หวงบุตรชายของเจ้า แต่ยอมถวายบุตรชายคนเดียวของเจ้าให้เรา” การที่พระเจ้าทรงกระทำพันธสัญญากับอับราฮัมโดยปฏิญาณต่อหน้าบรรดาผู้ที่อาศัยบนโลกอื่นๆ เป็นการพิสูจน์ว่าผู้ที่เชื่อฟังย่อมได้รับบำเหน็จ {PP 155.1}
แม้แต่ทูตสวรรค์ก็ยากที่จะเข้าใจถึงความลี้ลับของการทรงไถ่ให้รอดจากความบาป คือการที่พระบุตรของพระเจ้าผู้บัญชาการแห่งสวรรค์ต้องสิ้นพระชนม์เพื่อคนผิดบาป เมื่อพระเจ้าทรงบัญชาให้อับราฮัมถวายบุตรของตน ชาวสวรรค์ทั้งปวงได้เพ่งความสนใจอยู่กับเหตุการณ์นี้ พวกเขาเฝ้าดูอับราฮัมกระทำตามพระบัญชาไปทีละขั้นๆ ด้วยใจจดจ่อ เรื่องของอับราฮัมได้เผยให้เห็นความลี้ลับของการทรงไถ่ให้กระจ่างยิ่งขึ้น คือเมื่ออิสอัคถามบิดาว่า “ลูกแกะสำหรับเครื่องเผาบูชาอยู่ที่ไหน” และอับราฮัมตอบว่า “พระเจ้าจะทรงจัดหาลูกแกะสำหรับพระองค์เอง” เมื่อมือของบิดาถูกรั้งไว้ขณะที่กำลังจะแทงร่างของลูกชาย และพระเจ้าประทานแกะผู้ตัวหนึ่งมาแทน เมื่อนั้นเองแม้แต่ทูตสวรรค์ทั้งหลายต่างตระหนักมากขึ้นว่าแผนการแห่งความรอดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่มนุษย์นั้นประเสริฐนัก (ดู 1 เปโตร 1:12) {PP 155.2}