อยู่ด้วยความเชื่อ28. การตัดสินคนอื่น

28. การตัดสินคนอื่น

คนชอบธรรมคือคนที่มีพระวจนะของพระเจ้าดำรงอยู่ในใจ ซึ่งความจริงข้อนี้ไม่ปรากฏให้เห็นภายนอก ถ้าเราสามารถมองเห็นหัวใจคนเหมือนที่พระเจ้าทรงเห็น เราจะรู้อย่างชัดเจนว่าคนๆ นั้นมีความเชื่อหรือไม่มี และจากข้อนี้เราจึงสามารถรู้ได้ว่าเขาอยู่กลุ่มไหนในมนุษย์สองกลุ่มใหญ่นั้น {LBF 87.1}

ความเชื่อนำมาซึ่งความชอบธรรม และการขาดความเชื่อเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้เกิดความชั่ว เพราะทุกคนชั่วโดยธรรมชาติอยู่แล้ว โดยมีใจฝ่ายเนื้อหนัง และ “ไม่อยู่ใต้บังคับของธรรมบัญญัติของพระเจ้า แท้จริงเขาอยู่ใต้บังคับก็ไม่ได้” (โรม 8:7 แปลจากฉบับ KJV) ธรรมชาติเดียวกันนี้ปรากฏอยู่ในการฆ่าคน การเล่นเสเพลและการต่ำช้าทุกอย่างที่มนุษย์กระทำกัน ซึ่งเป็นธรรมชาติโดยพื้นฐานของมนุษย์ทั้งปวง สาเหตุที่ทุกคนไม่ได้ทำความชั่วเหมือนกันก็เพราะความบังเอิญและสถานการณ์ที่แตกต่างกันเท่านั้น คนที่เป็นที่นับหน้าถือตาของสังคมแต่ยังไม่รู้จักพระเจ้า ไม่สามารถอวดตัวได้ที่เขาไม่เป็นที่รังเกียจของคนทั่วไป เพราะความแตกต่างระหว่างเขากับคนอื่นไม่ใช่ความแตกต่างของธรรมชาติ แต่เป็นความแตกต่างในเรื่องของโอกาส ซึ่งเขาไม่สามารถอวดอ้างอะไรในเรื่องนี้ได้ {LBF 87.2}

เมื่ออาดัมทำบาป เขาได้รับธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง หรือที่เรียกว่าโลกียวิสัย ซึ่งเป็นธรรมชาติเดียวที่เขาสามารถถ่ายทอดให้แก่ลูกหลาน ฉะนั้นลูกหลานของอาดัมทุกคนจึงได้รับธรรมชาตินี้สืบเนื่องต่อๆ กันมาจนถึงสมัยของเรา นอกจากพระคุณของพระเจ้าแล้ว มนุษย์เราต่างกันตรงที่การเกิดและสถานการณ์ในชีวิตเท่านั้น แต่ทุกคนมีธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนังอยู่ดี ส่วนคนที่ได้รับพระคุณของพระเจ้า พระคุณนั้นได้ชนะเนื้อหนังแล้ว และความสำเร็จใดๆ ที่เขาอาจได้รับในชีวิตก็เนื่องจากพระคุณนี้ ไม่ใช่เพราะวาสนาหรือโชคชะตา แม้แต่อัครทูตเปาโลก็ยังเป็นพยานถึงเรื่องนี้ว่า “โดยพระคุณของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงเป็นอย่างที่เป็นอยู่นี้” “ข้าพเจ้าไม่ขออวดอะไรนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (1 โครินธ์ 15:10; กาลาเทีย 6:14) {LBF 87.3}

ฉะนั้นเป็นความจริงที่ว่า ผู้ที่ห่างไกลพระเจ้ามากที่สุดคือพวกที่รู้สึกว่าต้องการพระคุณของพระองค์น้อยที่สุดในการช่วยตนให้รอดพ้นจากธรรมชาติแห่งความบาป คำอุปมาเรื่องคนฟาริสีกับคนเก็บภาษีเป็นตัวอย่างในประเด็นนี้ ทั้งสองคนไปอธิษฐานอยู่ที่พระวิหาร ฝ่ายคนฟาริสีคิดว่าเขาดีกว่าใครโดยธรรมชาติ จึงขอบคุณพระเจ้าที่เขาไม่เหมือนคนอื่น ส่วนคนเก็บภาษีนั้นรู้สึกถึงความบกพร่องของตนจึงร้องทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” พระเยซูตรัสว่า “เราบอกพวกท่านว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปถึงบ้านของตนก็ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม” (ลูกา 18:13–14) {LBF 88.1}

คนที่ชั่วช้าที่สุดจนแก้ไม่ได้คือคนที่รู้สึกพอใจกับสภาพจิตวิญญาณของตัวเอง คนเหล่านี้อาจจะไม่ใช่คนอ่อนแอหรือเป็นพวกก่ออาชญากรรมอันร้ายแรง แต่เป็นพวกที่ปรับชีวิตไปตามมาตรฐานศีลธรรมฝ่ายโลกเพื่อให้ดูดีภายนอกและเป็นที่ยอมรับของสังคม {LBF 88.2}

เราสามารถรู้จักฐานะของเราต่อพระพักตร์ของพระเจ้าได้ไม่ยาก โดยสำรวจใจตัวเองว่าเชื่อในพระวจนะของพระองค์หรือไม่ พระวจนะนั้นสอนเราให้ไว้วางใจในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ไม่ให้พึ่งพาตนเอง หรืออาศัยเนื้อหนังแต่อย่างใด ถ้าเราตอบรับที่จะเชื่อวางใจในพระวจนะ พระองค์จะทรงกระทำให้เราเป็นคนชอบธรรมด้วยฤทธานุภาพแห่งการทรงสร้างของพระองค์ และเราจะเป็นคนชอบธรรมในสายพระเนตรของพระองค์ {LBF 88.3}

เราไม่สามารถรู้จักสภาพจิตใจของคนอื่นจำเพาะพระเจ้าได้ เพราะเรามองไม่เห็นเหมือนที่พระองค์ทรงเห็น เราเห็นได้แต่ภายนอก ซึ่งไม่ใช่เครื่องวัดว่าข้างในคนคนนั้นมีธรรมชาติอย่างไร ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงเตือนเราว่า “ฉะนั้นอย่าตัดสินสิ่งใดก่อนถึงเวลา จงคอยจนกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา พระองค์จะทรงเปิดเผยสิ่งที่ซ่อนอยู่ในความมืด และจะทรงเผยความมุ่งหมายของจิตใจทั้งหลาย” (1 โครินธ์ 4:5) {LBF 88.4}

ในพระธรรมมาลาคีเขียนไว้ว่า “เขาทั้งหลายจะเป็นคนของเรา เป็นเพชรพลอยของเราในวันที่เราจะประกอบกิจ และเราจะไว้ชีวิตคนเหล่านี้ ดังชายที่ไว้ชีวิตบุตรชายของเขาผู้ปรนนิบัติเขา” (มาลาคี 3:17 TKJV) ในเวลาที่กล่าวถึงนี้ผู้ที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์จะไม่ได้รับการไว้ชีวิต “แล้วเจ้าจะกลับมาและสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมกับคนชั่ว ระหว่างคนที่ปรนนิบัติพระเจ้ากับคนที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์” (มาลาคี 3:18 TKJV) ที่กล่าวมานี้เป็นเวลาเดียวกันที่ “การพิพากษาถูกมอบให้แก่บรรดาผู้บริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุดนั้น” คือเวลาที่ “บรรดาผู้บริสุทธิ์จะรับราชอาณาจักร” (ดาเนียล 7:22) ในการฟื้นจากความตายครั้งแรก (ดู วิวรณ์ 20:4–6) {LBF 88.5}

ไม่ใช่ธุระของเราที่จะล่วงรู้ความคิดหรือแรงบันดาลใจอันซ่อนเร้นในใจของคนอื่น ถ้าล่วงรู้ก็จะเป็นภัยมากกว่าเป็นพร งานของเรามีเพียงอย่างเดียว คือเชื่อพระวจนะเพื่อเราเอง และหว่านพระวจนะนั้นไปทุกที่ โดยไม่ยกเว้นแม้แต่คนที่เราคิดว่ารับไปก็เปล่าประโยชน์ แต่ให้หวังในทุกคน เพราะพระเจ้าประทานพระคุณและพระเมตตาอันเหลือล้นมายังทุกคนในข่าวประเสริฐ {LBF 89.1}