5. ความอ่อนแอและฤทธานุภาพ
มีสิ่งใดที่บอบบางแต่มีพลังอันยิ่งใหญ่อย่างใบหญ้าเล็กๆ ใบหนึ่งไหม {LBF 16.1}
มันแทงใบโผล่ขึ้นมาจากดินแห้ง ค่อยๆ ดันก้อนหินดินกรวดให้ทะลุทางของมันอย่างช้าๆ มีพลังอันใดที่ดันสิ่งเหล่านี้ออกไปเล่า ไม่ใช่สัตว์น้อยใหญ่ ไม่ใช่กองทัพมดหรือตัวด้วง หากแต่เป็นเพียงใบหญ้าอ่อนเล็กๆ ใบหนึ่ง ก้อนหินดินกรวดหนักกว่ามันหลายเท่า แต่ใบหญ้าอ่อนที่งอกขึ้นก็ผลักไสมันออกอย่างง่ายดายราวกับว่าไม่ต้องเสียพลังอะไรเลย ไม่มีใครอาจเสริมแต่งให้ใบหญ้ามีพลังเช่นนี้ได้ ถ้าเราค่อยๆ เอาก้อนดินมาวางทับลงบนใบหญ้า ใบหญ้าก็คงหักงอไปตามน้ำหนักของก้อนดิน ดังนั้นคงต้องมีพลังอะไรบางอย่างที่ไม่ได้อยู่ในตัวของใบหญ้าเองซึ่งสามารถกระทำการใหญ่เช่นนี้ได้ และพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า พลังนั้นคือฤทธิ์เดชและชีวิตที่มีอยู่ในพระวจนะของพระเจ้าซึ่งบันดาลให้ใบหญ้างอกงาม เพราะพระเจ้าตรัสว่า “‘แผ่นดินจงเกิดพืช’ …และก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล 1:11) {LBF 16.2}
ให้สังเกตดูตัวอย่างผลกระจิดริดของต้นโอ๊กที่ไร้ค่าและไร้ศักยภาพ แต่เมื่อพิจารณาอีกทีเราจะเห็นถึงชีวิตที่ซ่อนเร้นและพลังมหัศจรรย์ที่ทำให้เปลือกแข็งของมันปริร้าว หยั่งรากเล็กลึกลงไปในดินและชูกิ่งก้านน้อยๆ ขึ้น ลำต้นเจริญงอกงาม ผลักดันสิ่งกีดขวางออกไป และแม้แต่ก้อนหินใหญ่ก็แตกร้าวต่อหน้าต้นโอ๊กนั้น แล้วชีวิตที่มองไม่เห็นและพลังพิเศษในลูกโอ๊กคืออะไร มันคือชีวิตและฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้า เพราะพระองค์ตรัสว่า “‘แผ่นดินจงเกิดพืช คือธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน’ และก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล 1:11) {LBF 16.3}
แม้ว่าใบหญ้าและลูกโอ๊กเป็นสองสิ่งที่บอบบางและไร้ค่า แต่เมื่อความอ่อนแอได้รับการเสริมกำลังด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็จะกลายเป็นพลังมหัศจรรย์ ตัวเราก็เช่นเดียวกัน เราขาดกำลัง ไม่ต่างอะไรกับใบหญ้าเพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “ส่วนมนุษย์นั้น วันเวลาของเขาเหมือนหญ้า เขาเจริญขึ้นเหมือนดอกไม้ในทุ่งนา” (สดุดี 103:15) “ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่แล้วก็หายไป” (ยากอบ 4:14 TH1971) เราอ่อนแอและไร้กำลัง ไม่อาจดูแลตัวเองได้แม้แต่ครู่เดียว เราไม่สามารถต้านทานแม้แต่การทดลองเล็กๆ น้อยๆ ที่สุด และไม่อาจกระทำการดีใดๆ ได้โดยลำพังเลย {LBF 16.4}
แต่จงพิจารณาอีกทีถึงพลังที่ไม่เห็นด้วยตาซึ่งมาสวมทับให้เราประกอบด้วยชีวิตใหม่ และดูเถิด เรา “จึงพิชิตอาณาจักรต่างๆ ปกครองด้วยความเที่ยงธรรม ได้รับสิ่งต่างๆ ที่ทรงสัญญาไว้ ได้ปิดปากสิงโต ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ได้เปลี่ยนจากคนอ่อนแอมาเป็นคนเข้มแข็ง มีกำลังมากในการสงคราม ได้ตีกองทัพของประเทศอื่นๆ แตกพ่ายไป” (ฮีบรู 11:33–34) เราเคยขาดกำลัง แต่บัดนี้กลับเข้มแข็ง ในจุดที่เคยสั่นสะท้านและล้มเหลว บัดนี้กลับยืนตระหง่านดุจดังบ้านที่สร้างไว้บนศิลาอันมั่นคง {LBF 17.1}
ฤทธานุภาพที่มองไม่เห็นคืออะไร ชีวิตใหม่ในตัวเรามาจากไหน คือชีวิตและฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่บวกกับความอ่อนแอของเรา คือชีวิตและฤทธิ์อำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอง เพราะพระองค์ทรงประกอบกิจผ่านพระวจนะของพระองค์ พระเจ้า “ทรงทำงานในท่านทั้งหลาย ให้เกิดผลเป็นที่ชอบในสายพระเนตรของพระองค์” (ฮีบรู 13:21 TH1971) “เพราะพระเจ้าคือผู้ทรงกระทำกิจภายในท่าน ให้ท่านตั้งใจและทำตามพระประสงค์อันดีของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13 TNCV) {LBF 17.2}
ลำพังเราเองถ้าปราศจากพระวจนะของพระเจ้าแล้ว ก็เหมือนบ้านที่ถูกสร้างไว้บนทราย เมื่อพายุถล่มและน้ำท่วมขึ้นก็ไม่มีสิ่งใดค้ำจุนให้ยืนหยัดมั่นคงอยู่ได้ เป็นไปไม่ได้ที่จะยืนต่อสู้มรสุมชีวิตด้วยตนเอง เพราะในตัวเราไม่มีกำลังอันใดเลย {LBF 17.3}
แต่ถึงแม้เราจะเป็นผู้ที่อ่อนแอที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ก็ตาม พระเจ้าทรงพร้อมที่จะรับเอาคนอย่างเรา ถ้าเพียงแต่เรายอมจำนนต่อพระองค์ พระองค์จะทรงประกอบกิจอันยิ่งใหญ่ในผู้ที่ต้องการการเสริมกำลังโดยผ่านฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะของพระองค์ พระองค์ชอบพระทัยในการช่วยเราเช่นนี้ “พระเจ้าได้ทรงเลือก…พวกที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้พวกที่แข็งแรงอับอาย พระเจ้าได้ทรงเลือกพวกที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น และเห็นว่าไม่สำคัญ เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ เพื่อไม่ให้มนุษย์สักคนหนึ่งโอ้อวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้” (1 โครินธ์ 1:27–29) {LBF 17.4}
พระองค์ตรัสว่า “ทุกคนที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและประพฤติตาม ก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างบ้านของตนไว้บนศิลา” (มัทธิว 7:24) ฉะนั้นเมื่อเราน้อมรับเอาพระวจนะของพระเจ้าเข้ามาในใจและยินยอมให้พระวจนะนั้นกระทำการ นั่นคือการสร้างชีวิตบนศิลาอันมั่นคง พระเยซูเองทรงอยู่ในพระวจนะและทรงเป็นพระวาทะ (ดู ยอห์นบทที่ 1 และ 6) ดังนั้นเมื่อเราถ่อมใจยอมรับเอาพระวจนะ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาประกอบกิจภายในใจของเรา ด้วยเหตุนี้หน้าที่ของเราคือยินยอมและรับเอาพระวจนะนั้น ส่วนพระเยซูคือพระวาทะแห่งชีวิตผู้ประทานฤทธิ์อำนาจทั้งปวงและจะกระทำการทั้งหมดผ่านตัวเรา ถ้าเพียงแต่เรายอมจำนนต่อพระองค์ {LBF 17.5}
การที่จะใกล้ชิดกับคนที่ติดสนิทกับพระคริสต์นั้นไม่เพียงพอ หากแต่เราต้องมาหาพระองค์ด้วยตัวเอง พระองค์ทรงเป็นพระวาทะและพระศิลาที่มีชีวิต เมื่อเราให้พระองค์เป็นรากฐานชีวิตเราก็จะเป็นดั่งศิลาที่มีชีวิต เพราะได้รับชีวิตจากพระองค์ เราจึงจะเจริญเติบโตอยู่บนรากฐานนั้นจนเรากลายเป็นส่วนหนึ่งของรากฐาน และรากฐานนั้นกลายเป็นส่วนหนึ่งของเรา ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เราจะมีเรี่ยวแรงกำลังเพื่อยืนหยัดต่อสู้ทุกครั้งที่มรสุมชีวิตพัดผ่านเข้ามา {LBF 18.1}
เมื่อมองไปที่ใบหญ้าและตระหนักถึงสภาพที่อ่อนแอของตน อย่าได้รู้สึกท้อถอย แต่จงเงยหน้าขึ้นและสรรเสริญพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์เข้มแข็งสามารถนำพาผู้ที่อ่อนแอที่สุดและช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ และจะทรงเสริมกำลังให้เราโดยพระวจนะของพระองค์ “ด้วยฤทธานุภาพทั้งสิ้นตามอานุภาพแห่งพระสิริของพระองค์” (โคโลสี 1:11) {LBF 18.2}