4. เนรมิตด้วยพระวจนะ
สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะได้ง่ายที่สุดคือการพิจารณาเรื่องการทรงสร้าง “โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์ พระองค์ทรงรวบรวมน้ำทะเลเหมือนอย่างทำนบ และทรงเก็บที่ลึกไว้ในคลัง ให้แผ่นดินโลกทั้งสิ้นยำเกรงพระเจ้า ให้บรรดาชาวพิภพทั้งปวงยืนตะลึงพรึงเพริดต่อพระองค์ เพราะพระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมา พระองค์ทรงบัญชา มันก็ออกมา” (สดุดี 33:6–9 TH1971) {LBF 13.1}
จากข้อนี้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สารพัดในโลกล้วนแล้วแต่บังเกิดขึ้นโดยพระวจนะของพระเจ้า เราไม่อาจหยั่งถึงฤทธานุภาพของพระองค์ได้ แต่เราสามารถเห็นได้จากพระดำรัสว่า พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่ถ้อยคำที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ แต่มีแก่นสารที่แท้จริงเสมือนว่าโลกถูกซ่อนอยู่ในพระวจนะก่อนที่จะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้นมา เมื่อพระเจ้าตรัส ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจึงบังเกิดขึ้น {LBF 13.2}
เมื่อพระวจนะของพระเจ้ากำหนดชื่อให้สิ่งใด สิ่งนั้นก็บังเกิดขึ้น อะไรก็ตามที่พระวจนะบรรยายถึงก็มีตัวตนอยู่ในพระวจนะนั้น ดังนั้นเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะมุสา เพราะเมื่อพระองค์ตรัสไปแล้วทุกสิ่งก็สำเร็จตามนั้น ดังที่มีเขียนไว้ว่า พระองค์ “ทรงเรียกสิ่งที่ไม่มีเสมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว” (โรม 4:17 TNCV) นั่นเป็นสิ่งที่พระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้ มนุษย์ชอบตั้งชื่อให้สิ่งต่างๆ แต่การตั้งชื่อของเรานั้นไม่มีพลังที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อมนุษย์เรียกสิ่งที่ไม่มีว่ามี สรุปได้อย่างเดียวว่าเป็นความเท็จ แต่พระเจ้าไม่อาจมุสา กระนั้นพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตนราวกับว่ามีอยู่แล้ว ทั้งตรัสถึงสิ่งที่ไม่ปรากฏตัวและทรงเรียกชื่อของมันเหมือนกับเป็นสิ่งที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเมื่อพระองค์ตรัสถึงสิ่งใด สิ่งนั้นก็บังเกิดขึ้นทันที {LBF 13.3}
ให้เราพิจารณาข้อความนี้อีกที “พระองค์ตรัส มันก็เกิดขึ้นมา” ถ้าอ่านผ่านๆ ก็อาจจะเข้าใจผิดว่าพระองค์ตรัส แล้วหลังจากเวลาผ่านไปสักพักหนึ่งมันก็ค่อยเกิดขึ้นมาด้วยตัวมันเอง…1 แต่ในความเป็นจริงทันทีที่พระองค์ตรัส สิ่งเหล่านั้นก็มีครบ เพราะพระเจ้าตรัสสิ่งใด สิ่งนั้นก็มีขึ้นมาทันที เพราะพระวจนะได้สร้างสิ่งนั้นขึ้น {LBF 14.1}
เพราะเหตุนี้เองบ่อยครั้งที่คำพยากรณ์ในพระคัมภีร์จึงเขียนราวกับว่า เหตุการณ์นั้นได้ผ่านไปแล้ว พระเจ้าตรัสถึงสิ่งที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นเหมือนสิ่งนั้นสำเร็จแล้ว ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นมีอยู่ในพระประสงค์ของพระองค์ แต่เพราะมีอยู่ในพระวจนะ สิ่งเหล่านั้นมีอยู่จริง และจะจริงไปกว่านั้นไม่ได้ แม้ว่ายังไม่ปรากฏให้เห็นด้วยตาก็ตาม {LBF 14.2}
ด้วยเหตุนี้พระวจนะของพระเจ้าจึงเป็นกำลังและการหนุนใจให้กับทุกคนที่เชื่อ เพราะถ้อยคำที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า เป็นพระดำรัสเดียวกันกับที่สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า” (2 ทิโมธี 3:16) เป็น “ลมพระโอษฐ์” ของพระองค์ ด้วยว่า “โดยพระวจนะของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็ถูกสร้างขึ้นมา กับบริวารทั้งปวง ก็ด้วยลมพระโอษฐ์ของพระองค์” (สดุดี 33:6 TH1971) ลมพระโอษฐ์ของพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจในการสร้าง และโดยลมพระโอษฐ์นี้เองพระเจ้าได้ประทานพระบัญญัติและพระสัญญาไว้ในพระคัมภีร์ {LBF 14.3}
พระวจนะที่ทรงใช้ในการทรงสร้างคือฤทธานุภาพแห่งข่าวประเสริฐ เพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อทุกคนที่มีความเชื่อจะได้รับความรอด และฤทธานุภาพของพระเจ้านี้เห็นได้จากสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ดู โรม 1:16, 20) ฤทธานุภาพในการทรงไถ่คือฤทธานุภาพเดียวกันกับการทรงสร้าง เพราะการไถ่คือการสร้างใหม่นั่นเอง ดังนั้นผู้ประพันธ์สดุดีจึงอธิษฐานว่า “ขอทรงเนรมิตสร้างใจสะอาดในข้าพระองค์” (สดุดี 51:10) และอัครทูตเปาโลกล่าวว่า “ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว” (2 โครินธ์ 5:17) {LBF 14.4}
สภาพที่ถูกสร้างใหม่โดยข่าวประเสริฐคืออะไร คือความชอบธรรม เพราะอัครทูตเปาโลเองยังกำชับให้เรา “สวมสภาพใหม่ซึ่งได้รับการสร้างขึ้นตามแบบของพระเจ้าในความชอบธรรมและความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง” (เอเฟซัส 4:24) ความชอบธรรมหมายถึงการประพฤติชอบ ฉะนั้นอัครทูตเปาโลจึงเขียนว่า “เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (เอเฟซัส 2:10) {LBF 14.5}
“พระวจนะของพระเจ้าเที่ยงธรรม” (สดุดี 33:4 TH1971) พระดำรัสของพระองค์ชอบธรรม ในปฐมกาลพระองค์ตรัสไปยังความว่างเปล่า และโลกนี้ก็เกิดขึ้นมา เช่นเดียวกัน พระองค์ตรัสมายังผู้ที่ไร้ความชอบธรรม และถ้าคนๆ นั้นรับเอาพระวจนะที่ตรัสไว้ เขาก็จะได้รับความชอบธรรมที่มีอยู่ในพระวจนะนั้น “เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงมีพระคุณให้เขาเป็นผู้ชอบธรรมโดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เขาให้พ้นบาปแล้ว พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาไถ่บาปโดยพระโลหิตของพระองค์ ความเชื่อจึงได้ผล ทั้งนี้เพื่อแสดงให้เห็นความชอบธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัย และทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น” (โรม 3:23–25) พระเจ้าทรงสำแดงความชอบธรรมของพระคริสต์ในการลบล้างความบาป “ความเชื่อจึงได้ผล” คือเชื่อในพระวจนะ ความชอบธรรมจึงมาแทนที่ความบาป2 ซึ่งความชอบธรรมของพระเจ้าที่แสดงให้เห็นนั้นไม่ใช่ความชอบธรรมที่เลื่อนลอย แต่เป็นความชอบธรรมที่แท้จริง และเป็นความชอบธรรมที่มีการประกอบกิจ เพราะพระวจนะของพระเจ้ามีชีวิตอยู่เช่นไร ความชอบธรรมของพระองค์เป็นจริงและเคลื่อนไหวอยู่เช่นนั้น {LBF 15.1}
ที่อธิบายมานี้เพื่อช่วยให้เข้าใจว่าเรื่องการทรงสร้างนั้นมีความหมายอย่างไรเมื่อเราเชื่อ ซาตานอยากให้เราคิดว่าเรื่องนี้เป็นเทพนิยายหรือเป็นวรรณกรรมโบราณที่เราอ่านเพื่อความบันเทิงใจ นี่คือวิธีการของมารที่ใช้เพื่อลบหลู่ข่าวประเสริฐ ถ้าเรามองเรื่องการทรงสร้างแบบดูแคลนแล้ว ข่าวประเสริฐจะหมดฤทธิ์สำหรับเรา ซาตานก็ยังพอใจให้เราเข้าใจผิดว่าการทรงไถ่สำคัญและยิ่งใหญ่กว่าการทรงสร้าง เพราะการเชื่อเช่นนั้นแท้จริงแล้วไม่ได้ยกย่องการทรงไถ่ให้สูงขึ้น แต่เป็นการลดค่าลงต่างหาก การทรงไถ่และการทรงสร้างคือภารกิจเดียวกัน เราไม่สามารถยกย่องเชิดชูการทรงไถ่ได้นอกจากจะเห็นคุณค่าของการทรงสร้างให้มากขึ้นด้วย เมื่อมาถึงจุดนี้ บางคนก็พร้อมที่จะสรุปว่า สิ่งที่เป็นเครื่องเตือนใจของการทรงสร้าง ก็ต้องเตือนใจในเรื่องของการทรงไถ่ด้วยเช่นกัน แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งจะขอกล่าวในโอกาสอื่น {LBF 15.2}