18. ค่ำคืนแห่งการต่อสู้
ย้อนกลับไปเส้นทางเดิม
ถึงแม้ยาโคบออกจากปัดดานอารัมตามการทรงนำของพระเจ้าแต่ก็ยังมีความหวาดกลัว ในขณะที่เดินย้อนเส้นทางที่เคยใช้หนีภัยเมื่อ 20 ปีก่อนหน้านั้น ความบาปที่ตนได้หลอกลวงพ่อนั้นอยู่ในใจตลอด ท่านตระหนักว่าที่ต้องอพยพหนีไปต่างแดนเสียเนิ่นนานเป็นผลจากความบาปของตนโดยตรง ท่านไตร่ตรองถึงสิ่งเหล่านี้ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เสียงฟ้องร้องของจิตสำนึกผิดชอบทำให้บรรยากาศการเดินทางเป็นไปอย่างเศร้าหมอง เมื่อมองเห็นเนินเขาที่เป็นถิ่นฐานบ้านเกิดตั้งอยู่แต่ไกล ยาโคบสะเทือนใจยิ่งนัก ท่านจำภาพต่างๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำ ขณะที่คิดถึงความบาปของตนท่านก็พลันระลึกถึงการที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและทรงสัญญาว่าจะช่วยกู้และนำทางท่าน {PP 195.1}
เมื่อยาโคบเดินทางเข้าใกล้จุดหมาย ท่านคิดถึงเอซาวจนรู้สึกหวาดหวั่นไม่น้อยเพราะครั้งที่ยาโคบหนีไปนั้น เอซาวถือว่าตนเป็นทายาทเพียงผู้เดียว เมื่อได้ยินว่ายาโคบกลับมาก็คงกลัวว่ากำลังมาเพื่อรับมรดก ตอนนี้หากเอซาวอยากทำร้ายยาโคบก็สามารถทำได้ ไม่ใช่เพราะความเคียดแค้นอย่างเดียว แต่เพราะอยากครองกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สมบัติที่ถือว่าเป็นของตนมานาน {PP 195.2}
เครื่องหมายแห่งการคุ้มครอง
พระเจ้าประทานเครื่องหมายแห่งการทรงคุ้มครองแก่ยาโคบอีกอย่างหนึ่ง ขณะที่เดินทางจากภูเขากิเลอาดไปทางทิศใต้เหมือนมีทูตสวรรค์ 2 กองทัพห้อมล้อมท่านไว้ทั้งหน้าหลังและเดินไปพร้อมกับพวกเขาราวกับคอยป้องกันภัย ยาโคบระลึกถึงนิมิตที่เบธเอลครั้งกระโน้นแล้วใจที่แบกภาระอันหนักอึ้งก็รู้สึกค่อยๆ เบาลงเมื่อเห็นทูตสวรรค์ที่เคยให้กำลังใจและความหวังครั้งที่ท่านหนีไป บัดนี้ทูตสวรรค์เหล่านั้นกำลังคุ้มครองท่านในขณะที่กลับมา ท่านจึงกล่าวว่า “‘นี่แหละกองทัพของพระเจ้า’ จึงเรียกสถานที่นั้นว่า ‘มาหะนาอิม’” มีความหมายว่า สองกองทัพหรือสองค่าย {PP 195.3}
ถึงกระนั้นก็ตามยาโคบรู้สึกว่าท่านเองต้องทำอะไรบางอย่างเพื่อความปลอดภัยของตน จึงใช้ผู้สื่อสารนำหน้าไปก่อนเพื่อพบกับเอซาวและทักทายไกล่เกลี่ย ยาโคบสอนพวกเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าควรจะพูดกับเอซาวอย่างไร ก่อนที่สองพี่น้องคู่นี้เกิด มีการทำนายไว้ว่าพี่จะรับใช้น้อง ยาโคบกลัวว่าเอซาวยังคงรู้สึกขมขื่นใจเมื่อระลึกถึงคำพยากรณ์นั้น ท่านจึงสั่งคนใช้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเอซาวให้เรียกเขาว่า “ใต้เท้า” และเรียกยาโคบว่า “ผู้รับใช้ของท่าน” นอกจากนี้ยาโคบเป็นห่วงว่าเอซาวคงคิดว่าตนเป็นผู้พเนจรที่แร้นแค้นและคงกลับมาเพื่อทวงเอามรดกจากบิดา จึงสอนให้คนใช้รีบเสริมว่า “ข้าพเจ้ามีฝูงโค ฝูงลา ฝูงแพะแกะ มีคนใช้ชายหญิง ข้าพเจ้าใช้คนมาเรียนใต้เท้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้เป็นที่โปรดปรานในสายตาของใต้เท้า” {PP 195.4}
ขอการคุ้มภัย
เมื่อผู้รับใช้กลับมาก็รายงานว่าเอซาวกำลังมาพร้อมกับพรรคพวก 400 คน ไม่มีวี่แววว่าจะตอบรับสารของยาโคบที่พยายามจะคืนดี ดูเหมือนว่าเอซาวกำลังมาเพื่อแก้แค้นเป็นแน่ ทุกคนในค่ายต่างขวัญหนีดีฝ่อ “ยาโคบมีความกลัวและเป็นห่วงยิ่งนัก” ท่านจะถอยกลับก็ไม่ได้ จะไปข้างหน้าก็ไม่กล้า คนที่อยู่กับยาโคบไม่มีอาวุธป้องกันตัวและไม่พร้อมที่จะสู้รบ ท่านจึงแบ่งคนเป็น 2 กลุ่มเผื่อว่าถ้ากลุ่มหนึ่งถูกโจมตี อีกกลุ่มหนึ่งอาจจะหนีรอดได้ ท่านส่งของกำนัลมากมายจากฝูงสัตว์อันอุดมของท่านพร้อมกับสารแห่งสัมพันธไมตรี ท่านทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อชดใช้ความผิดที่ท่านกระทำต่อพี่ชายและทำทุกอย่างเพื่อให้พ้นภัยที่กำลังคุกคาม จากนั้นยาโคบได้ถ่อมใจลงอ้อนวอนขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครอง กราบทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ตรัสสั่งข้าพระองค์ไว้ว่า ‘กลับไปยังเมือง และยังญาติพี่น้องของเจ้า เราจะช่วยให้เจ้าได้ดี’ นั้น ข้าพระองค์ไม่สมควรจะรับความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์แม้เล็กน้อยที่สุด ที่พระองค์ทรงโปรดประทานแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ ด้วยว่าข้าพระองค์ข้ามแม่น้ำจอร์แดนนี้เมื่อมีแต่ไม้เท้า และบัดนี้ข้าพระองค์มีผู้คนเป็น 2 พวก ขอพระองค์ทรงโปรดช่วยกู้ข้าพระองค์ให้พ้นจากเงื้อมมือพี่ชายข้าพระองค์ คือจากเงื้อมมือของเอซาว เพราะข้าพระองค์กลัวเขา เกรงว่าเขาจะมาฆ่าพวกข้าพระองค์ทั้งสิ้น คือแม่ๆ กับลูกๆ” {PP 196.1}
ขณะนั้นพวกเขาได้มาถึงแม่น้ำยับบอก เมื่อตกค่ำยาโคบส่งครอบครัวข้ามไปก่อนที่ท่าข้าม ส่วนท่านอยู่ต่อที่นั่นคนเดียว ด้วยว่าตัดสินใจที่จะอธิษฐานทั้งคืนและปรารถนาอยู่กับพระเจ้าแต่ลำพัง พระเจ้าทรงสามารถกระทำให้จิตใจของเอซาวอ่อนลง พระองค์ทรงเป็นความหวังเดียวที่ยาโคบมี {PP 196.2}
ปล้ำสู้ในคืนที่เจ็บปวด
บริเวณนั้นเป็นแถบเทือกเขาอ้างว้างเปล่าเปลี่ยว เป็นที่อาศัยของสัตว์ป่า และมักมีโจรผู้ร้ายและฆาตกรซุ่มซ่อนอยู่ ยาโคบอยู่ลำพังไม่มีการคุ้มกัน ท่านก้มกราบถึงดินด้วยใจเป็นทุกข์ ขณะนั้นเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว ทุกสิ่งที่ท่านรักก็อยู่ห่างไกลจากท่านและกำลังเผชิญกับความหายนะ ยาโคบเจ็บปวดใจที่สุดที่ผู้ไร้ความผิดต้องมาเสี่ยงภัยเนื่องจากความบาปของท่านเอง ท่านจึงร้องไห้อธิษฐานอ้อนวอนขอต่อพระเจ้า ในทันใดนั้นมีมือที่แข็งแรงจับท่านไว้ ยาโคบคิดว่าศัตรูมาเพื่อเอาชีวิตท่านจึงพยายามดิ้นให้หลุด ทั้งสองคนสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายในความมืดแต่ไม่มีใครพูดอะไร ส่วนยาโคบพยายามสุดกำลังโดยไม่อ่อนข้อผ่อนแรงเลย ในขณะที่กำลังต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดท่านสำนึกถึงความผิดบาปของตนจนรู้สึกว่ากำลังถูกแยกออกจากพระเจ้า แต่ในขณะที่ท่านอยู่ในสภาพที่เลวร้ายสุดบรรยาย ยาโคบได้ระลึกถึงพระสัญญาของพระเจ้าแล้วทุ่มเทจิตใจอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงเมตตา เขาทั้งสองยังคงสู้กันจนใกล้สว่าง ในที่สุด คนแปลกหน้าจึงเอานิ้วไปแตะที่สะโพกของยาโคบทำให้ขาเคล็ดทันที บัดนี้ยาโคบตระหนักแล้วว่าผู้ที่กำลังต่อสู้กับท่านเป็นทูตจากสวรรค์ ด้วยเหตุนี้ท่านจึงไม่สามารถเอาชนะได้แม้จะพยายามด้วยสิ้นสุดกำลังก็ตาม ผู้ที่สู้กับยาโคบนั้นคือพระเยซูผู้ทรงเป็น “ทูตแห่งพันธสัญญา” (มาลาคี 3:1 TH1971) ส่วนยาโคบนั้นพิการและเจ็บปวดมากแต่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ ท่านรู้สึกใจแตกสลายและระทมทุกข์เพราะบาปที่เคยกระทำ จึงจับพระเยซูจอมเทพไทไว้แน่น ท่าน “ร้องไห้และขอความเมตตา” (โฮเชยา 12:4 TH1971) ยาโคบอ้อนวอนขอพระพร ท่านต้องแน่ใจว่าพระองค์ทรงให้อภัยแล้ว ความเจ็บปวดของร่างกายไม่อาจทำให้ท่านหันเหจากความตั้งใจอันนี้ไปได้ ยาโคบมุ่งมั่นมากขึ้นทุกทีด้วยความเชื่อที่ร้อนรนและสู้ทนจนถึงที่สุด พระเยซูทรงพยายามสลัดมือออกไปตรัสว่า “ปล่อยให้เราไปเถิดเพราะใกล้สว่างแล้ว” แต่ยาโคบตอบว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” หากการขอครั้งนั้นเกิดจากความหยิ่งยโสหรือเพราะหลงในความดีของตนเองแล้ว ยาโคบคงถูกทำลายทันที แต่ที่ยาโคบกล้าขอก็เพราะได้ถ่อมตัวลงยอมรับว่าตนไม่คู่ควร ในขณะเดียวกันท่านไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ไว้มั่น {PP 196.3}
ยาโคบ “สู้กับทูตสวรรค์และมีชัย” (โฮเชยา 12:4 TH1971) คนบาปคนนี้ชนะพระเจ้าเพราะความถ่อมตัว การกลับใจ และการยอมจำนน ใจที่สั่นคลอนของยาโคบยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า แล้วพระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงไม่อาจเบือนพระพักตร์จากคำอ้อนวอนของคนบาปผู้นี้ได้ {PP 197.1}
ที่มาของอิสราเอล
บัดนี้ยาโคบเห็นชัดแล้วว่าความบาปที่ตนโกงเอาสิทธิบุตรหัวปีมานั้นเกิดขึ้นเพราะท่านไม่ได้ไว้วางใจในพระสัญญาของพระเจ้า แต่กลับพยายามขวนขวายเอาสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำให้สำเร็จตามเวลาและวิธีการของพระองค์ เพื่อเป็นหลักฐานว่าพระเจ้าทรงอภัยความบาปของท่านแล้ว พระองค์ทรงเปลี่ยนชื่อให้ยาโคบ จากชื่อที่ย้ำถึงความบาปของท่านก็เป็นชื่อที่ให้ระลึกถึงชัยชนะของตนแทน ทูตแห่งพระเจ้าตรัสว่า “เขาจะไม่เรียกเจ้าว่ายาโคบต่อไป แต่จะเรียกว่า อิสราเอล เพราะเจ้าสู้กับพระเจ้าและมนุษย์และได้ชัยชนะ” {PP 197.2}
ยาโคบได้รับพระพรตามที่เฝ้าปรารถนา พระเจ้าทรงให้อภัยท่านที่เคยหลอกลวงและแย่งตำแหน่งของคนอื่น วิกฤตในชีวิตผ่านพ้นไปแล้ว ก่อนหน้านี้ชีวิตของท่านทุกข์ทนขมขื่นด้วยความสงสัยว้าวุ่นใจในการสำนึกผิด แต่บัดนี้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงแล้ว สันติสุขอันอบอุ่นห้อมล้อมท่านไว้เมื่อได้กลับคืนดีกับพระเจ้า ยาโคบไม่กลัวที่จะพบพี่ชายอีกต่อไป พระเจ้าผู้ทรงอภัยความบาปของท่านทรงสามารถดลใจเอซาวให้ยอมรับท่านที่ถ่อมตัวและยอมรับการคืนดีได้เช่นกัน {PP 198.1}
ขณะที่ยาโคบปล้ำสู้กับพระเยซูจอมเทพไท มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งไปหาเอซาว เอซาวฝันเห็นน้องชายที่ต้องพลัดถิ่นห่างจากบ้านบิดาไปถึง 20 ปี และความทุกข์ของยาโคบเมื่อทราบข่าวว่าแม่เสียชีวิตแล้ว ทั้งยังเห็นบรรดาทูตสวรรค์ของพระเจ้าล้อมรอบท่านไว้ เอซาวเล่าความฝันนี้แก่ทหารของตนและกำชับว่าไม่ให้ทำร้ายยาโคบเพราะพระเจ้าของบิดาทรงอยู่กับท่าน {PP 198.2}
เผชิญหน้าเอซาว
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน เอซาวเจ้าแห่งทะเลทรายนำกองทหารพร้อมที่จะสู้รบอยู่ฝ่ายหนึ่ง ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งคือยาโคบพร้อมด้วยบรรดาภรรยาและลูกๆ มีทั้งสาวใช้และคนใช้ที่ดูแลฝูงแพะแกะและฝูงวัวที่ตามมาเป็นขบวนยาว ยาโคบจับไม้เท้าไว้แน่นแล้วค่อยๆ เดินกะโผลกกะเผลกไปหากองทหารที่อยู่ข้างหน้า ตัวท่านทั้งซีดและพิการจากการปล้ำสู้ที่เพิ่งผ่านมา ท่านเดินไปหยุดไปทีละก้าวอย่างช้าๆ ด้วยความเจ็บปวด แต่ใบหน้าเปล่งแสงสว่างแห่งสันติสุข {PP 198.3}
เมื่อเอซาวเห็นยาโคบเดินโขยกเขยกมาด้วยความทรมานนั้น เขาก็ “วิ่งออกไปต้อนรับ กอดและซบหน้าลงที่คอ จุบเขา ต่างก็ร้องไห้” ในขณะที่มองดูเหตุการณ์นั้น แม้แต่ทหารของเอซาวที่แข็งกร้าวก็ยังประทับใจ แม้ว่าเอซาวจะเคยเล่าเรื่องความฝันให้ฟัง แต่พวกเขาก็ยังไม่อาจเข้าใจว่าทำไมหัวหน้าถึงเปลี่ยนแปลงไปอย่างนี้ ทหารของเอซาวมองไปยังยาโคบที่กำลังรู้สึกทรมานกายอยู่นั้นโดยหารู้ไม่ว่าความอ่อนแอของท่านนั่นแหละที่ทำให้ท่านเข้มแข็ง {PP 198.4}
พระเจ้าเท่านั้น
ในคืนที่ยาโคบทุกข์ระทมข้างลำธารยับบอกและดูเหมือนว่าจะถูกทำลายได้ทุกเมื่อ ท่านได้เรียนรู้ว่าความช่วยเหลือของมนุษย์ช่างไร้ความหมาย อำนาจของมนุษย์ช่างพึ่งไม่ได้เสียเลย ท่านเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้เดียวเท่านั้นที่จะช่วยท่านได้ แต่ท่านได้ทำบาปที่ร้ายแรงต่อพระองค์ ยาโคบรู้ว่าตนหมดหนทาง ทั้งยอมรับว่าไม่สมควรที่จะได้รับความช่วยเหลือ แต่ท่านวิงวอนขอให้พระองค์ทรงรักษาพระสัญญาที่ว่าจะทรงเมตตาคนบาปที่กลับใจ พระสัญญานี้เองที่ทำให้ท่านแน่ใจว่าพระเจ้าจะทรงยกโทษและยอมรับท่านอีก แม้ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกจะหายไป แต่พระวจนะของพระองค์ยังคงดำรงอยู่ พระวจนะนี้แหละที่ค้ำจุนท่านในขณะที่ปล้ำสู้อย่างน่ากลัวนั้น {PP 198.5}
ก่อนที่พระคริสต์จะเสด็จมาครั้งที่สองไม่นานนัก ประชากรของพระเจ้าจะต้องผ่านการทดสอบเช่นเดียวกับประสบการณ์ของยาโคบที่ปล้ำสู้ด้วยความทุกข์ระทมในคืนนั้น ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ได้เห็นนิมิตเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนั้นและกล่าวว่า “เราได้ยินเสียงร้องเพราะความกลัวตัวสั่น ความสยดสยองและความไร้ศานติภาพ…ทำไมหน้าตาทุกคนจึงซีดไป อนิจจาเอ๋ย วันนั้นใหญ่โตเหลือเกิน ไม่มีวันใดเหมือน เป็นเวลาทุกข์ใจของยาโคบ แต่เขาก็ยังจะรอดวันนั้นไปได้” (เยเรมีย์ 30:5–7 TH1971) {PP 201.1}
ประตูพระกรุณา
เมื่อพระเยซูทรงยุติหน้าที่คนกลางแทนมนุษย์ในสวรรค์ เวลาแห่งความยากลำบากดังกล่าวจะเริ่มขึ้น ในคราวนั้นบัญชีก็ถูกปิด ชะตากรรมของทุกคนถูกชี้ขาดแล้ว จะไม่มีพระโลหิตเพื่อชำระความบาปอีกต่อไป เมื่อพระเยซูทรงยุติการอ้อนวอนเพื่อมนุษย์ต่อพระพักตร์พระเจ้า จะมีเสียงประกาศก้องว่า “ผู้ที่เป็นคนอธรรมก็ให้เขาประพฤติอธรรมต่อไป ผู้ที่เป็นคนลามกก็ให้เขาลามกต่อไป ผู้ที่เป็นคนชอบธรรมก็ให้เขากระทำการชอบธรรมต่อไป และผู้ที่เป็นคนบริสุทธิ์ก็ให้เขาเป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป” (วิวรณ์ 22:11 TH1971) เมื่อนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทรงเหนี่ยวรั้งความชั่วไว้ก็จะถูกถอนไปจากโลก ยาโคบเสี่ยงตายจากพี่ชายที่โกรธเคืองฉันใด คนของพระเจ้าจะเสี่ยงตายจากคนอธรรมที่หาช่องทางทำลายพวกเขาฉันนั้น ยาโคบปล้ำสู้ทั้งคืนเพื่อพ้นมือเอซาวอย่างไร คนชอบธรรมจะอ้อนวอนทั้งกลางวันและกลางคืนขอพระเจ้าทรงช่วยกู้เขาจากศัตรูที่ห้อมล้อมเขาไว้อย่างนั้นเหมือนกัน {PP 201.2}
ความทุกข์ของยาโคบ
ซาตานได้กล่าวหายาโคบต่อทูตสวรรค์ของพระเจ้า และอ้างว่ามีสิทธิ์ที่จะทำลายท่านเพราะบาปที่ท่านทำ มันได้ยุแหย่เอซาวให้ยกกองกำลังมาเพื่อสู้กับยาโคบ และในคืนที่ยาโคบปล้ำสู้จนรุ่งสางนั้นซาตานพยายามทำให้ท่านหมดหวังด้วยการให้ท่านจมอยู่กับความคิดที่ว่าตนเป็นคนบาป เพื่อให้ท่านเลิกยึดมั่นในพระเจ้า ขณะที่ยาโคบทุกข์ใจเต็มที่นั้น ท่านได้ยึดพระเยซูไว้แน่นและอ้อนวอนพระองค์ทั้งน้ำตา ส่วนพระองค์ทรงทดลองความเชื่อของยาโคบโดยทรงทบทวนถึงความบาปของท่านในขณะที่ทรงพยายามสลัดให้หลุดจากมือของท่านไป แต่ยาโคบไม่ย่อท้อ ท่านรู้ว่าพระเจ้าทรงเมตตา จึงพึ่งพาพระเมตตาคุณของพระองค์ ท่านทบทวนถึงการกลับใจของตนและขอให้พระองค์ทรงช่วยกู้ เมื่อหวนคิดถึงชีวิตที่ผ่านมาก็เกือบสิ้นหวังแต่ก็ไม่ยอมปล่อยพระเยซูไป ท่านร่ำไห้อ้อนวอนขอจนมีชัย {PP 201.3}
เมื่อคนของพระเจ้าต่อสู้กับอำนาจชั่วร้ายเป็นครั้งสุดท้ายจะผ่านประสบการณ์เช่นเดียวกับยาโคบ พระเจ้าจะทรงทดสอบความเชื่อ ความอดทน และความมั่นใจของพวกเขาในการทรงช่วยกู้ของพระองค์ ส่วนซาตานจะพยายามขู่ขวัญให้สิ้นหวัง ให้เขาคิดว่าบาปของเขาใหญ่เกินที่พระเจ้าจะทรงอภัยได้ เขาเหล่านั้นจะสำนึกถึงความผิดพลาดของตนและเมื่อทบทวนชีวิตที่ผ่านมาก็แทบหมดความหวัง แต่เมื่อคิดถึงพระเมตตาคุณอันใหญ่หลวงของพระเจ้าและการกลับใจอย่างจริงจังของตนเองนั้นพวกเขาจะอธิษฐานขอให้พระองค์ทรงทำตามพระสัญญาที่มีในพระเยซูคริสต์ที่ว่าพระองค์จะทรงช่วยคนบาปที่กลับใจ ถึงแม้พระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐานทันที แต่ความเชื่อของพวกเขาก็ไม่ลดลงแต่อย่างใด พวกเขาจะยึดมั่นในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเหมือนที่ยาโคบจับพระเยซูไว้แน่น และจะร้องออกมาจากใจว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” {PP 202.1}
ต้องกลับใจก่อน
ถ้ายาโคบไม่ได้กลับใจจากความบาปในการหลอกเอาสิทธิบุตรหัวปีเสียก่อนหน้านั้น พระเจ้าคงไม่อาจรับฟังคำอธิษฐานของท่านและทรงเมตตาช่วยชีวิตท่านไว้ ในเวลาแห่งความยากลำบากที่จะมาถึงก็เช่นกัน ถ้าคนของพระเจ้ามีความบาปที่ยังไม่ได้สารภาพในขณะที่จิตใจหวาดกลัวและทุกข์ทรมานนั้น เขาคงจะพ่ายแพ้ต่อความสิ้นหวังไป ความเชื่อก็คงหมดลง เขาจะไม่มีความมั่นใจในการวิงวอนขอการช่วยกู้จากพระเจ้า คราวนั้นคนของพระองค์จะรู้สึกอย่างลึกซึ้งว่าตนไม่คู่ควร แต่ในขณะเดียวกันความบาปทุกอย่างที่เขาเคยทำล้วนแต่ได้สารภาพแล้วโดยไม่ปิดบัง ความบาปเหล่านั้นจึงได้รับการชำระด้วยพระโลหิตของพระเยซู และเขาก็ไม่จดจำมันอีก {PP 202.2}
ซาตานชักจูงคนให้เชื่อว่าพระเจ้าคงมองข้ามความไม่ซื่อสัตย์ต่อสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวัน แต่จากตัวอย่างของยาโคบพระเจ้าทรงสอนว่าพระองค์ไม่สามารถอนุญาตหรือทนต่อความชั่วได้แต่อย่างใด ทุกคนที่พยายามแก้ตัวหรือซ่อนความบาปของตนและปล่อยให้บาปนั้นยังคงค้างไว้ที่หนังสือบันทึกในสวรรค์โดยไม่สารภาพให้พระเจ้าทรงอภัยก็จะพ่ายแพ้ต่อซาตาน คนที่มีโอกาสสูงและมีตำแหน่งอันทรงเกียรติยิ่งทำให้ความบาปของเขาเป็นที่น่ารังเกียจมากขึ้นในสายพระเนตรของพระเจ้าและยิ่งทำให้มารร้ายแน่ใจในชัยชนะของมัน {PP 202.3}
บทเรียนจากยาโคบ
ในขณะเดียวกันชีวประวัติของยาโคบเป็นกำลังใจแก่เราทั้งหลายว่าพระเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งผู้ที่ถูกล่อลวงให้ทำบาปแต่ได้หันกลับมาหาพระองค์ด้วยความจริงใจ ยาโคบมอบใจและไว้วางใจจึงได้รับสิ่งที่ไม่อาจได้มาโดยดิ้นรนด้วยกำลังของตนเอง พระเจ้าทรงสอนผู้รับใช้ของพระองค์ว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะได้รับพระพรตามปรารถนา นั่นคือด้วยฤทธิ์อำนาจและพระคุณของพระองค์ คนที่มีชีวิตในยุคสุดท้ายก็เช่นกัน เมื่อมีภยันตรายบีบคั้นอยู่รอบด้านและความทุกข์ระทมเกาะกุมหัวใจ เขาจะต้องพึ่งในพระเยซูผู้ทรงไถ่บาปของเขาเท่านั้น ลำพังตัวเราแล้วไม่อาจทำอะไรได้เลย เราอ่อนแอและไม่คู่ควร จำต้องไว้วางใจในพระบารมีของพระผู้ช่วยให้รอดที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนและฟื้นคืนพระชนม์ จะไม่มีใครที่ปฏิบัติตามนี้พินาศเลย พระเจ้าทรงเห็นความบาปผิดและความบกพร่องของเราทั้งสิ้น การฝ่าฝืนกฎศีลธรรมถูกบันทึกไว้อย่างครบถ้วนไม่ขาดแม้แต่จุดเดียว แต่พระเจ้าผู้ทรงสดับฟังผู้รับใช้ของพระองค์ในอดีตจะทรงสดับรับฟังคำอธิษฐานที่ขอด้วยความเชื่อในปัจจุบันและจะทรงยกโทษความผิดบาปของเราเช่นกัน เมื่อพระองค์ทรงสัญญาแล้วพระองค์จะทรงกระทำ {PP 202.4}
เพราะความมุ่งมั่น
ยาโคบมีชัยชนะเพราะท่านตั้งใจและอดทน ประสบการณ์ของท่านเป็นตัวอย่างของการอธิษฐานโดยไม่ยอมแพ้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะได้บทเรียนเรื่องการอธิษฐานที่มีชัยและความเชื่อที่ไม่หวั่นไหว ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของคริสตจักรหรือของคริสเตียนคนใดคนหนึ่งไม่ได้มาจากความสามารถพิเศษ การศึกษาสูง ทรัพย์สมบัติหรือการได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ แต่มาจากการเข้าเฝ้าพระเจ้าเมื่อความเชื่อที่แรงกล้าและใจที่เป็นทุกข์ยึดมั่นในพระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระองค์ {PP 203.1}
คนที่ไม่ยอมสละทิ้งความบาปทุกอย่างและไม่แสวงหาพระพรจากพระเจ้าด้วยใจจริงจะไม่ได้รับพระพร แต่ทุกคนที่ยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้าเหมือนยาโคบและมีความร้อนรนและความอดทนเหมือนท่านก็จะได้รับความสำเร็จอย่างเดียวกัน “พระเจ้าจะไม่ทรงประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ พระองค์จะอดพระทัยไว้ช้านานหรือ เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะทรงประทานความยุติธรรมให้เขาโดยเร็ว” (ลูกา 18:7–8) {PP 203.2}