บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 18. หลังน้ำท่วม

8. หลังน้ำท่วม

ลอยเคว้งคว้างกลางน้ำ

น้ำท่วมเหนือภูเขาที่สูงที่สุดถึง 15 ศอก ในขณะที่ลมพัดและคลื่นซัดเรือให้โคลงเคลงอยู่เป็นเวลา 5 เดือน บ่อยครั้งที่ดูเหมือนว่าครอบครัวในเรือนั้นจะต้องพินาศเป็นแน่ นั่นเป็นประสบการณ์ทดลองใจที่ยากแสนสาหัส แต่ความเชื่อของโนอาห์มิได้หวั่นไหว เพราะท่านมั่นใจในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงคุ้มกันเรืออยู่ {PP 105.1}

ในขณะที่น้ำเริ่มลด พระเจ้าทรงให้เรือนั้นลอยไปในที่แห่งหนึ่งซึ่งล้อมไว้ด้วยเทือกเขาที่พระองค์ทรงรักษาไว้ด้วยอานุภาพของพระองค์ ยอดเขาเหล่านั้นทิ้งช่วงห่างกันเพียงเล็กน้อย และเรือก็ลอยเข้าไปหลบภัยอยู่ในที่เงียบสงบนั้น และไม่ต้องถูกต้อนไปในมหาสมุทรอันกว้างไกลอีก คนในเรือจึงโล่งอกเป็นอย่างมากหลังจากที่ต้องเหน็ดเหนื่อยจากการถูกแกว่งโซเซไปมาเป็นเวลานาน {PP 105.2}

โนอาห์กับครอบครัวรอคอยให้น้ำลดด้วยใจจดจ่อ เพราะเขาปรารถนายิ่งนักที่จะออกไปเดินบนแผ่นดินอีก 40 วัน หลังจากที่ได้เห็นยอดเขาโนอาห์ปล่อยกาตัวหนึ่งออกไปเพราะเป็นนกที่ไวต่อกลิ่น เพื่อดูว่าแผ่นดินแห้งหรือยัง กาตัวนั้นพบแต่น้ำก็เลยบินวนไปมาอยู่รอบเรือ หลังจากนั้น 7 วัน ก็ได้ปล่อยนกเขาตัวหนึ่งออกไป เมื่อมันไม่พบที่ที่จะเกาะก็บินกลับมายังเรือ โนอาห์รออีก 7 วัน แล้วจึงส่งนกเขาตัวนั้นไปอีก เมื่อมันกลับมาตอนเย็นและคาบใบมะกอกเทศมาด้วย ก็มีความชื่นชมยินดีกันเป็นอันมาก จากนั้น “โนอาห์เปิดหลังคาที่ปิดนาวา แลดูเห็นว่าพื้นดินแห้ง” แต่ท่านก็ยังอดทนรออยู่ในเรือต่อไป ท่านได้เข้ามาในเรือตามคำสั่งของพระเจ้าและจะรอคำสั่งของพระองค์เช่นกันเมื่อจะออกจากเรือ {PP 105.3}

ออกจากนาวา

ในที่สุดมีทูตลงมาจากสวรรค์เปิดประตูมหึมา และเรียกโนอาห์กับครอบครัวให้ออกมาจากเรือพร้อมกับทุกชีวิตในเรือด้วย ถึงแม้โนอาห์จะปีติยินดีที่ได้รับอิสระ แต่ก็ไม่ได้ลืมพระเจ้าผู้ทรงสงวนชีวิตของพวกเขาไว้ด้วยพระกรุณาธิคุณ หลังจากที่โนอาห์ออกมาจากเรือแล้วสิ่งแรกที่ท่านทำก็คือสร้างแท่นบูชาและถวายสัตวบูชาจากสัตว์และนกที่สะอาดทุกชนิด ซึ่งแสดงถึงการขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยกู้ชีวิตเอาไว้ และแสดงถึงความเชื่อในพระคริสต์ผู้ทรงเป็นเครื่องบูชาอันยิ่งใหญ่ การถวายบูชาครั้งนี้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า พระองค์จึงทรงอวยพระพรไม่เพียงแต่โนอาห์กับครอบครัว แต่ทรงอวยพระพรทุกชีวิตที่จะอาศัยอยู่บนโลก “พระเจ้าทรงได้กลิ่นที่พอพระทัยแล้ว ทรงดำริในพระทัยว่า ‘เราจะไม่สาปแผ่นดินอีกต่อไป แม้ว่ามนุษย์ไม่ดี…โลกยังดำรงอยู่ตราบใด จะมีฤดูหว่านกับฤดูเกี่ยว เวลาเย็นกับเวลาร้อน ฤดูร้อนกับฤดูหนาว และมีวันกับคืนเรื่อยไปตราบนั้น’” นี่เป็นบทเรียนแก่คนทุกชั่วอายุที่รับช่วงต่อมา เมื่อโนอาห์ได้ออกมาสู่โลกที่ว่างเปล่านั้น ก่อนที่จะเตรียมบ้านสำหรับตัวเอง ท่านได้สร้างแท่นบูชาเพื่อพระเจ้า ฝูงวัวของท่านก็มีไม่กี่ตัว และส่วนที่มีอยู่นั้น ท่านได้ดูแลรักษามาด้วยความยากลำบาก แต่ท่านก็ยังได้ถวายส่วนหนึ่งให้พระเจ้าด้วยใจยินดี โดยยอมรับว่าทุกสิ่งเป็นของพระองค์ เราควรถวายแด่พระเจ้าด้วยใจสมัครก่อนอย่างอื่นเช่นกัน และควรน้อมรับการแสดงออกถึงพระเมตตาคุณและความรักของพระองค์ทุกครั้งด้วยใจกตัญญูทั้งด้วยการอุทิศตัวและการถวายสนับสนุนพระราชกิจของพระองค์ {PP 105.4}

พระสัญญา

พระเจ้าประทานคำมั่นสัญญาให้เป็นกำลังใจแก่โนอาห์กับครอบครัวเพื่อไม่ให้มนุษย์ผวากลัวว่าน้ำจะท่วมทุกครั้งเมื่อเห็นก้อนเมฆหรือฝนตก พระองค์ตรัสว่า “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่า…จะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป…คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก เมื่อเราให้มีเมฆเหนือแผ่นดิน และมีรุ้งขึ้นที่เมฆนั้น…เราจะดูรุ้งนั้น และระลึกถึงพันธสัญญาถาวรระหว่างพระเจ้ากับบรรดาสัตว์โลกที่มีชีวิต” {PP 106.1}

พระเมตตาคุณของพระเจ้าใหญ่ยิ่งนักที่ทรงลดพระองค์ลงเพื่อโปรดชีวิตทั้งหลายที่หลงผิด โดยประทานรุ้งอันสวยงามไว้ในเมฆเพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างพระองค์กับมนุษย์ พระองค์ตรัสว่า เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นรุ้ง พระองค์จะทรงระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์ แต่ที่ตรัสดังนั้นไม่ได้หมายความว่าพระองค์อาจจะลืมได้ แต่พระองค์ตรัสกับเราโดยใช้สำนวนภาษาของมนุษย์ เพื่อเราจะเข้าใจพระองค์ได้ง่ายขึ้น พระองค์มีพระประสงค์ว่า เมื่อลูกหลานของคนรุ่นหลังถามถึงความหมายของรุ้งที่โค้งข้ามฟ้าด้วยสีสดใสนั้น พ่อแม่ของเขาจะได้เล่าทบทวนเรื่องน้ำท่วมโลกและบอกเขาว่าพระเจ้าสูงสุดทรงให้รุ้งโค้งอยู่ในเมฆเป็นคำมั่นสัญญาว่าน้ำจะไม่ท่วมโลกอีกต่อไป ดังนั้นรุ้งจะเป็นพยานถึงความรักของพระเจ้าแก่มนุษย์ในแต่ละชั่วอายุที่สืบทอดกันมา เพื่อเขาจะได้มีความมั่นใจในพระองค์มากยิ่งขึ้น {PP 106.2}

ในสวรรค์มีสัณฐานเหมือนรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งและโค้งอยู่เหนือพระเศียรของพระคริสต์ มีผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้ว่า “ลักษณะความสุกใสที่อยู่รอบ” พระที่นั่งนั้น “เหมือนกับสัณฐานรุ้งที่ปรากฏในเมฆเมื่อฝนตก ลักษณะทรวดทรงแห่งพระสิริของพระเจ้าเป็นดังนี้แหละ” (เอเสเคียล 1:28 TH1971) ผู้เขียนหนังสือวิวรณ์กล่าวว่า “มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านองค์หนึ่งประทับบนพระที่นั่งนั้น…และมีรุ้งล้อมรอบพระที่นั่งนั้น ดูประหนึ่งแก้วมรกต” (วิวรณ์ 4:2–3 TH1971) เมื่อความชั่วช้าเสื่อมทรามของมนุษย์เป็นเหตุชักชวนให้พระเจ้าทรงลงโทษ พระผู้ช่วยให้รอดทรงอ้อนวอนต่อพระบิดาเพื่อคนบาป และทรงชี้ไปยังรุ้งในเมฆและรุ้งรอบพระที่นั่งที่โค้งอยู่เหนือพระเศียรของพระองค์ว่าเป็นเครื่องหมายแห่งพระเมตตาของพระเจ้าที่มีต่อคนบาปที่กลับใจ {PP 107.1}

พระเจ้าเองทรงเชื่อมพระสัญญาแห่งพระคุณของพระองค์ที่ล้ำค่าที่สุดอย่างหนึ่งไว้กับคำรับรองที่ประทานแก่โนอาห์ในเรื่องน้ำท่วมว่า “เราได้ปฏิญาณว่าน้ำของโนอาห์จะไม่ท่วมแผ่นดินโลกอีกเลยฉันใด เราจึงได้ปฏิญาณว่า เราจะไม่โกรธเจ้า และจะไม่ขนาบเจ้าฉันนั้น เพราะภูเขาอาจจะพรากจากไป และเนินอาจจะคลอนแคลน แต่ความรักมั่นคงของเราจะไม่พรากไปจากเจ้า และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่คลอนแคลนไป พระเจ้าผู้มีความสมเพชต่อเจ้าตรัสดังนี้” (อิสยาห์ 54:9–10 TH1971) {PP 107.2}

สัตว์ออกจากเรือ

ในขณะที่โนอาห์มองดูสัตว์แข็งแกร่งออกจากเรือ ท่านก็เกรงว่าครอบครัวของตนซึ่งมีสมาชิกเพียง 8 คน อาจถูกสัตว์เหล่านี้ทำลายหมดก็ได้ แต่พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์ไปเพื่อเสริมกำลังใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ว่า “บรรดาสัตว์บนแผ่นดิน บรรดานกในอากาศ บรรดาสัตว์ที่เลื้อยคลานอยู่บนแผ่นดิน และปลาทั้งสิ้นในทะเลจะกลัวพวกเจ้า เรามอบสัตว์ทั้งปวงไว้ในมือของพวกเจ้า ทุกสิ่งที่มีชีวิตเคลื่อนไหวไปมาจะเป็นอาหารของเจ้า เราจะยกของทุกอย่างให้แก่เจ้า ดังที่เรายกต้นผักเขียวสดให้แก่เจ้าแล้ว” ก่อนหน้านี้พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์กินเนื้อสัตว์ พระองค์มีพระประสงค์ให้มนุษย์ดำรงชีพโดยกินผลผลิตจากแผ่นดินเท่านั้น แต่บัดนี้พืชเขียวทุกอย่างถูกทำลายไปหมดแล้ว พระองค์จึงทรงอนุญาตให้กินเนื้อของสัตว์สะอาดที่รอดมาในเรือ {PP 107.3}

สภาพโลกหลังน้ำท่วม

พื้นแผ่นดินถูกเปลี่ยนโฉมไปอย่างสิ้นเชิงจากน้ำท่วม นับว่าเป็นครั้งที่สามแล้วที่โลกต้องอยู่ภายใต้การแช่งสาปอันหนักหน่วงเพราะความบาป ในขณะที่น้ำเริ่มลดนั้นภูเขาทั้งหลายถูกล้อมด้วยมหาสมุทรขุ่นข้นอันกว้างใหญ่ไพศาล ซากศพของคนและสัตว์กระจัดกระจายอยู่เกลื่อนกลาดบนแผ่นดิน แต่พระเจ้าไม่ทรงยอมให้ซากเน่าเปื่อยเหล่านี้ส่งกลิ่นเหม็นให้อากาศเป็นพิษอยู่อย่างนั้น พระองค์จึงทรงให้แผ่นดินกลายเป็นที่ฝังศพขนาดใหญ่ ลมแรงกล้าที่ทรงให้พัดเพื่อช่วยให้น้ำลด ได้เคลื่อนซากศพเหล่านั้นด้วยพลังอานุภาพยิ่ง จนในบางแห่งได้พัดแม้แต่ยอดเขาไป ลมนี้ได้พัดเอาก้อนหิน ต้นไม้ และดินมากองทับถมซากศพเอาไว้ ในทำนองเดียวกัน แร่เงิน ทอง เพชรพลอย และไม้มีค่า ซึ่งเคยประดับประดาโลก และคนนำมาเป็นรูปเคารพก่อนน้ำท่วมนั้น ได้ถูกปิดบังไว้จากสายตาและการค้นหาของมนุษย์ กระแสน้ำที่เชี่ยวแรงได้ซัดเอากองดินหินทรายอยู่เหนือทรัพย์สมบัติเหล่านี้ จนในบางแห่งก่อเป็นภูเขาอยู่เหนือของมีค่าดังกล่าว พระเจ้าทรงเห็นว่า ยิ่งพระองค์ทรงอำนวยความอุดมสมบูรณ์ให้คนบาปมากเท่าใด วิถีชีวิตของเขายิ่งเสื่อมทรามลงต่อพระพักตร์พระองค์มากขึ้นเท่านั้น ทรัพย์สมบัติเหล่านี้น่าจะนำเขาให้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าผู้ประทานมาอย่างล้นเหลือ แต่เขากลับดูถูกเหยียดหยามพระองค์ และบูชาทรัพย์สินอันมีค่าแทน {PP 107.4}

สภาพแผ่นดินโลกยุ่งเหยิงและรกร้างว่างเปล่าเกินที่จะบรรยาย ภูเขาที่เคยสง่างามได้สัดส่วนทั้งหลาย บัดนี้เสียหายไปไม่ได้รูปเสียแล้ว ก้อนหินและโขดหินขรุขระเป็นตะปุ่มตะป่ำกระจายทั่วไปบนแผ่นดิน ภูเขาน้อยใหญ่หลายแห่งที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในที่ของมัน บัดนี้หายไปไม่เหลือแม้แต่ร่องรอย ส่วนบางแห่งที่เคยเป็นทุ่งราบกลับกลายเป็นเทือกเขาแทน บางที่บางแห่งเปลี่ยนแปลงไปมากกว่าที่อื่นๆ จะเห็นได้ว่าที่ไหนที่เคยอุดมไปด้วยแร่เงิน ทองคำ และอัญมณีมีค่า ที่นั่นก็จะมีร่องรอยของการถูกสาปแช่งมากที่สุด ส่วนพื้นที่ที่เคยมีคนอาศัยอยู่น้อย มีอาชญากรรมน้อย ก็จะมีร่องรอยของการถูกสาปแช่งน้อยไปด้วย {PP 108.1}

ในช่วงเวลาดังกล่าวป่าไม้อันกว้างใหญ่ไพศาลถูกฝังทับถมไว้ จนต่อมาได้กลายเป็นแหล่งถ่านหินและน้ำมันดิบที่ครอบคลุมอาณาบริเวณกว้างในปัจจุบัน บ่อยครั้งถ่านหินและน้ำมันเหล่านี้จุดประกายลุกไหม้ใต้พื้นโลก ดังนั้นก้อนหินจึงได้รับความร้อน หินปูนถูกเผาไหม้กลายเป็นปูนดิบ และแร่เหล็กถูกหลอมละลาย ปฏิกิริยาระหว่างน้ำกับปูนดิบเพิ่มความร้อนให้ดุเดือดยิ่งขึ้น เป็นเหตุให้เกิดแผ่นดินไหว ภูเขาไฟ และลาวาไหลทะลักออกมา ในขณะที่น้ำกับไฟมากระทบกับแผ่นหินและแร่เหล็กทำให้เกิดการระเบิดอยู่ใต้ดินอย่างหนักหน่วง เสียงที่ได้ยินเหมือนเสียงฟ้าร้องอยู่แต่ไกล อากาศก็ร้อนและยากแก่การหายใจ ต่อมาก็เกิดภูเขาไฟระเบิด บ่อยครั้งที่การระเบิดไม่แรงพอที่จะระบายแร่ธาตุที่ร้อนระอุออกมา แผ่นดินจึงสั่นโคลงเคลงอย่างคลื่นในทะเล และเกิดการแยกของแผ่นดินเป็นช่องใหญ่ที่บางครั้งได้กลืนเมือง หมู่บ้าน และภูเขาที่กำลังลุกไหม้ลงไป ปรากฏการณ์ประหลาดที่น่ากลัวเช่นนี้จะถี่และรุนแรงขึ้นเมื่อใกล้ถึงเวลาเสด็จกลับมาของพระเยซูคริสต์ เป็นสัญญาณบ่งบอกให้รู้ว่าโลกใกล้จะถูกทำลายเสียแล้ว {PP 108.2}

ที่ลึกใต้แผ่นดินโลกเป็นคลังอาวุธของพระเจ้า ซึ่งพระองค์ได้ทรงดึงออกมาใช้ในการทำลายโลกโบราณ น้ำจากใต้ดินทะลักไหลออกมารวมกับน้ำที่เทลงมาจากฟ้าเพื่อการทำลาย ตั้งแต่สมัยน้ำท่วมโลกพระเจ้าทรงใช้น้ำและไฟเพื่อทำลายเมืองต่างๆ ที่แสนชั่วช้า พระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษเมืองเหล่านั้น เพื่อคนที่ไม่เคารพยำเกรงพระบัญญัติและเหยียบย่ำอำนาจอธิปไตยของพระองค์จะได้เกรงกลัวตัวสั่นต่อพระเดชานุภาพของพระองค์และยอมรับว่าพระองค์ทรงมีสิทธิอันชอบที่จะปกครองอยู่เหนือทุกสิ่ง ในขณะที่ผู้คนจ้องดูภูเขาไฟพ่นเปลวเพลิงและแร่ธาตุเหลวออกมา ซึ่งไหลไปสู่แม่น้ำทำให้น้ำแห้ง และไหลเข้าไปยังเมืองใหญ่ๆ ทำลายสิ่งต่างๆ กินรัศมีกว้าง แม้แต่ชายฉกรรจ์ที่แกล้วกล้าเมื่อเห็นเข้าก็ถึงกับสยดสยอง และคนที่ไม่เชื่อในพระเจ้ากับคนที่หมิ่นประมาทพระองค์ก็ถึงกับยอมรับอำนาจอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ {PP 109.1}

อำนาจอันยิ่งใหญ่

ผู้เผยพระวจนะในสมัยโบราณได้กล่าวถึงเหตุการณ์เช่นนี้ว่า “โอ ถ้าหากว่าพระองค์ทรงแหวกฟ้าสวรรค์ลงมาได้หนอ เพื่อภูเขาจะสั่นสะเทือนต่อพระพักตร์พระองค์ ดังเมื่อไฟติดกองแขนงไม้ และไฟกระทำให้น้ำเดือดเพื่อให้พระนามของพระองค์เป็นที่รู้จักแก่ปฏิปักษ์ของพระองค์ เพื่อบรรดาประชาชาติจะสะเทือนต่อพระพักตร์พระองค์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำสิ่งน่ากลัวที่พวกข้าพระองค์คาดไม่ถึง พระองค์เสด็จลงมา ภูเขาก็หวั่นไหวต่อพระพักตร์พระองค์” (อิสยาห์ 64:1–3 TH1971) “พระมรรคาของพระองค์อยู่ในลมบ้าหมูและพายุ และเมฆเป็นผงคลีแห่งพระบาทของพระองค์ พระองค์ทรงห้ามทะเล ทรงกระทำให้มันแห้ง ทรงให้แม่น้ำทั้งหลายแห้งไป” (นาฮูม 1:3–4 TH1971) {PP 109.2}

เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จมาครั้งที่สอง ภัยธรรมชาติที่ร้ายแรงน่ากลัวกว่าที่โลกเคยเห็นมานั้นจะเกิดขึ้น “ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ ภูเขาก็สั่นสะเทือน และเนินเขาก็ละลายไป แผ่นดินก็เริศร้างต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ เออ ทั้งโลกและสิ่งที่อาศัยอยู่ในโลกด้วย ใครจะต้านทานพระพิโรธของพระองค์ได้ ใครจะทนต่อความร้อนแรงแห่งความกริ้วของพระองค์ได้” (นาฮูม 1:5–6 TH1971) “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโน้มฟ้าสวรรค์ของพระองค์ และขอเสด็จลงมาแตะต้องภูเขา เพื่อให้มันมีควันขึ้น ขอทรงพุ่งฟ้าผ่าออกมาและกระจายเขาไป ขอให้ลูกธนูของพระองค์ให้เขาแตกหนีไป” (สดุดี 144:5–6 TH1971) {PP 109.3}

“เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน และนิมิตที่แผ่นดินเบื้องล่าง เป็นเลือด ไฟ และไอควัน” (กิจการ 2:19 TH1971) “และเกิดมีฟ้าแลบมีเสียงต่างๆ มีฟ้าร้อง และเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ ซึ่งตั้งแต่มีมนุษย์เกิดมาบนแผ่นดินโลกไม่เคยมีแผ่นดินไหวร้ายแรงเช่นนี้เลย…และบรรดาเกาะต่างๆ ก็หนีหายไป และภูเขาทั้งหลายก็ไม่มีผู้ใดพบ และมีลูกเห็บใหญ่ ตกลงมาจากฟ้าถูกคนทั้งปวง แต่ละก้อนหนักประมาณ 50 กิโลกรัม” (วิวรณ์ 16:18, 20–21 TH1971) {PP 110.1}

เมื่อฟ้าแลบฟ้าผ่าสมทบกับไฟใต้พื้นโลก ภูเขาจะลุกไหม้อย่างกับเตาไฟที่ลุกโพลง ธารลาวามหึมาจะไหลออกมาท่วมเรือกสวนไร่นา หมู่บ้านและเมืองเล็กเมืองใหญ่ แร่ธาตุที่ถูกหลอมเหลวจนเดือดจะพุ่งออกจากภูเขาไฟไหลลงไปในแม่น้ำ ทำให้น้ำเดือดจนดันเอาโขดหินใต้น้ำออกมาอย่างรุนแรงเหลือที่จะบรรยาย ชิ้นส่วนของหินที่แตกหักจะกระจายไปบนแผ่นดิน แม่น้ำหลายสายจะแห้งขอดไป โลกจะถูกเขย่าให้สะเทือนสะท้าน ทุกแห่งหนจะมีแผ่นดินไหวและภูเขาไฟระเบิดอย่างน่ากลัว {PP 110.2}

ดังนี้แหละ พระเจ้าจะทรงทำลายคนอธรรมให้สิ้นไปจากโลก แต่คนชอบธรรมนั้นพระเจ้าจะทรงรักษาไว้ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวาย เหมือนที่พระองค์ทรงปกป้องโนอาห์ไว้ในเรือ พระเจ้าจะทรงเป็นที่กำบังของเขา เขาจะลี้ภัยอยู่ใต้ปีกของพระองค์ ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “เพราะท่านได้กระทำให้พระเจ้าผู้เป็นที่ลี้ภัยของข้าพเจ้า คือองค์ผู้สูงสุด เป็นที่อยู่ของท่าน ไม่มีการร้ายใดๆ จะตกมาบนท่าน” (สดุดี 91:9–10 TH1971) “เพราะพระองค์จะทรงซ่อนข้าพเจ้าในที่กำบังของพระองค์ในยามยากลำบาก พระองค์จะปิดข้าพเจ้าไว้ภายใต้ร่มพลับพลาของพระองค์” (สดุดี 27:5 TH1971) พระเจ้าทรงสัญญาว่า “เพราะเขาผูกพันกับเราด้วยความรัก เราจะช่วยกู้เขา เราจะป้องกันเขาไว้เพราะเขารู้จักนามของเรา” (สดุดี 91:14 TH1971) {PP 110.3}