9. รอดในปัจจุบัน
พระเจ้าทรงสรรพเวลาสถิต คือทรงสถิตอยู่ในนิรันดร์กาล อดีตปัจจุบันและอนาคตล้วนแต่เป็นเรื่อง ‘ปัจจุบัน’ สำหรับพระองค์ ฉะนั้นพระสัญญาและพระพรทุกอย่างที่พระองค์ทรงมีให้เราล้วนแต่เป็นเรื่องของปัจจุบันเช่นกัน พระองค์จึงเป็น “ความช่วยเหลือที่พร้อมเสมอ” (สดุดี 46:1 TNCV) เพราะเราอยู่แต่เฉพาะในปัจจุบัน ไม่อาจอยู่ในอนาคตได้แม้แต่ชั่วขณะเดียว เราอาจคาดหวังสิ่งต่างๆ ในอนาคต แต่ในความจริงเรามีเพียงปัจจุบัน เพราะเมื่อพรุ่งนี้มาถึงมันก็คือวันนี้สำหรับเรา สิ่งที่หวังไว้สำหรับอนาคตจะเป็นเพียงความต่อเนื่องของสิ่งที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน และทุกสิ่งนั้นมีอยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงสัญญาว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20) {LBF 26.1}
อัครทูตเปาโลถวายสาธุการแด่พระเจ้าเพราะพระองค์ “ประทานพรฝ่ายจิตวิญญาณทุกอย่างแก่เราในสวรรคสถานโดยพระคริสต์” (เอเฟซัส 1:3) พระสัญญาของพระเจ้าสำหรับอนาคตจะต้องเป็นของเราในปัจจุบัน ถ้าเราจะได้ประโยชน์จากพระสัญญาเหล่านั้น “เพราะว่าพระสัญญาต่างๆ ของพระเจ้าล้วนแต่เป็นจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าอาเมนโดยพระองค์ ซึ่งเป็นการถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า” (2 โครินธ์ 1:20) เนื่องด้วย “พระสัญญาอันล้ำค่าและยิ่งใหญ่” เราจึง “มีส่วนในพระลักษณะของพระเจ้า” (2 เปโตร 1:4) สง่าราศีในสวรรค์จะเป็นเพียงการเปิดเผยของสิ่งที่เรามีอยู่แล้ว คือพระเยซูคริสต์ผู้สถิตภายในเรา นี่แหละเป็นความหวังเดียวที่เรามีในสวรรค์คือการที่พระคริสต์สถิตในใจ {LBF 26.2}
“พระเยซูคริสต์ทรงเหมือนเดิมทั้งวานนี้ และวันนี้ และตลอดไปเป็นนิตย์” (ฮีบรู 13:8) พระวจนะของพระเจ้า “ทรงชีวิตและยืนยงถาวร” (1 เปโตร 1:23 TNCV) เราไม่ได้มีสัมพันธภาพกับถ้อยคำที่เสมือนตายไปแล้ว ซึ่งกล่าวไว้นานเกินจนหมดความหมายและขาดซึ่งฤทธิ์เดช แต่พระวจนะที่เราสัมพันธ์อยู่นั้นยังคงมีชีวิตเหมือนคราวที่ตรัสไว้ในอดีต แท้จริงพระวจนะจะเกิดประโยชน์แก่เรา ต่อเมื่อเรารับไว้เสมือนหนึ่งว่าพระองค์ตรัสกับเราโดยตรง “เมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านที่เชื่อ” (1 เธสะโลนิกา 2:13) “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์” (2 ทิโมธี 3:16) ฉะนั้นพระคัมภีร์จึงล้วนแต่เกี่ยวข้องกับปัจจุบัน {LBF 26.3}
ด้วยเหตุนี้ไม่มีวันที่เราจะเติบโตจนถึงจุดที่พระคัมภีร์หมดความหมาย ไม่มีข้อพระคัมภีร์แม้แต่ข้อเดียวที่ล้าสมัย แม้กระทั่งคริสเตียนที่อาวุโสและมีประสบการณ์มากมายก็ยังต้องการพระคัมภีร์ทุกข้อ ไม่อาจละเว้นไปเลยสักข้อเดียว ข้อพระคัมภีร์ที่นำเรามาถึงพระผู้ช่วยให้รอดเป็นข้อเดียวกันกับที่จะรักษาเราไว้ให้ติดสนิทกับพระองค์ ถึงแม้ความเข้าใจของเราพัฒนาขึ้น และตาใจของเราเห็นได้ชัดขึ้นก็ตาม แต่พระวจนะทุกตอนลึกซึ้ง และกว้างไกลไร้ขอบเขต ฉะนั้นความเข้าใจของเราเพิ่มมากขึ้นเท่าไร พระวจนะของพระองค์จะมีความหมายสำหรับเรามากขึ้นเท่านั้น {LBF 27.1}
จักรวาลดูยิ่งใหญ่สำหรับนักดาราศาสตร์ ต่างกับคนทั่วไปที่ไม่เคยส่องกล้องโทรทรรศน์ เมื่อเรามองดูดาวด้วยตาเปล่า ดูเหมือนดาวอยู่ไกลมาก แต่เมื่อใช้กล้องโทรทรรศน์ขนาดใหญ่ส่องไป ก็พบว่ายังมีดวงดาวที่ไกลออกไปอีก ยิ่งมองไกลเท่าไรในจักรวาลก็ยิ่งมีอะไรให้เราศึกษา พระคัมภีร์ก็เช่นกัน ยิ่งค้นหาก็ยิ่งมีให้ค้น พระสัญญาของพระเจ้าที่เราเห็นว่าล้ำค่าเมื่อเราเริ่มเชื่อ ก็จะมีความหมายมากยิ่งขึ้นเมื่อเราไตร่ตรองและนำมาใช้ในชีวิตจริง {LBF 27.2}
พระธรรมของพระเจ้าเป็นแสงที่ส่องในความมืด (ดู 2 เปโตร 1:19) เป็นการเปิดเผยของพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นแสงสว่างของโลก ฉะนั้นพระคัมภีร์จึงเป็นโคมไฟ (ดู สดุดี 119:105; สุภาษิต 6:23) ท่านอาจเคยได้ยินเรื่องกะลาสีเรือหนุ่มคนหนึ่งที่ได้รับมอบหมายให้ควบคุมพวงมาลัยเรือในกลางคืน โดยถูกกำชับให้มุ่งไปตามดาวดวงหนึ่งที่กำหนดไว้ เวลาผ่านไปสองสามชั่วโมง นักเดินเรือหนุ่มก็เรียกกัปตันและขอติดตามดาวดวงใหม่เพราะเขาผ่านดาวดวงแรกไปแล้ว ปัญหาอยู่ที่ไหน คือเขาได้กลับเรือและมุ่งไปในทิศตรงกันข้ามกับดาวดวงที่กำหนดไว้นั้น คนที่บอกว่าเขาโตแล้วและไม่ต้องการพระคัมภีร์ก็เป็นเช่นนั้นด้วย ปัญหาคือเขาได้หันหลังให้พระวจนะนั่นเอง {LBF 27.3}
ข่าวประเสริฐคืออะไร “ข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด” (โรม 1:16) เป็นฤทธานุภาพในปัจจุบันเมื่อเราเชื่ออยู่ในปัจจุบันเพื่อให้เราได้รับความรอด แล้วฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ว่านี้จะช่วยให้เรารอดพ้นจากอะไรบ้าง พระเยซูทรงเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า และมีคำเขียนถึงพระองค์ว่า “จงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา” (มัทธิว 1:21) “คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด” (1 ทิโมธี 1:15) ฉะนั้นข่าวประเสริฐจึงเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาป แต่เป็นฤทธานุภาพในปัจจุบันเพราะความบาปมีอยู่ตลอดเวลา และฤทธานุภาพนั้นจะมีประโยชน์สำหรับเราก็ต่อเมื่อเราเชื่อเท่านั้น “คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ” (โรม 1:17) เราหยุดเชื่อเมื่อไหร่ เมื่อนั้นเราก็กลายเป็นคนบาปทันทีเสมือนหนึ่งว่าเราไม่เคยเชื่อ ความเชื่อของเมื่อวานช่วยเราในวันนี้ไม่ได้ เหมือนกับการหายใจเมื่อวานไม่ได้ต่อชีวิตของเราออกไปได้ถ้าเราหยุดหายใจในวันนี้ {LBF 27.4}
ข่าวสารที่มาถึงพวกเราเมื่อพระคริสต์จวนจะเสด็จมานั้นคือ “เจ้าพูดว่า ‘ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย’ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย” (วิวรณ์ 3:17) เราได้เติบโตจนกระทั่งข้อนี้หมดความหมายสำหรับเราแล้วหรือ เปล่าเลย เราจะได้รับพระพรเมื่อยอมรับว่าข้อวินิจฉัยของพระองค์เป็นความจริง แล้วพระองค์จะเสด็จมาประทานทุกสิ่งที่เราขาดอยู่ เมื่อเราทูลว่า “ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด” (ลูกา 18:13) เมื่อนั้นเราจึงจะถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม {LBF 28.1}
เราต้องอธิษฐานเช่นนั้นอย่างต่อเนื่องเพื่อเราจะยังถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม “เพราะทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น” (ลูกา 18:14) อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้” (1 ทิโมธี 1:15) ให้สังเกตถ้อยคำของอาจารย์เปาโล ท่านไม่ได้กล่าวว่า ‘ข้าพเจ้าเคยเป็นตัวเอ้’ แต่กล่าวว่า “ในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้” เมื่ออาจารย์เปาโลยอมรับว่าเป็นคนบาปตัวเอ้ ท่านได้รับพระเมตตาคุณจากพระเจ้าสมกับที่ท่านเป็นคนบาปตัวเอ้ {LBF 28.2}
มีบางคนสงสัยว่าคริสเตียนควรร้องเพลงของเวสลีย์บทต่อไปนี้หรือไม่
พระองค์ทรง บริสุทธิ์ ยุติธรรม
ข้าเลวทราม ตามใจ ไร้ศักดิ์ศรี
ข้าบาปหนา ชิงชัง ทั้งชีวี
พระองค์มี สัจจะ และพระคุณ {LBF 28.3}
ถ้าคิดว่าเราเติบโตจนเพลงนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเราแล้ว แสดงว่าเราอยู่ในสภาพที่น่าเวทนายิ่งนัก เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปิดกั้นตัวเองจากแหล่งที่มาของความชอบธรรม “ไม่มีผู้ใดประเสริฐนอกจากพระองค์เดียวคือพระเจ้า” (มัทธิว 19:17 TKJV) ฉะนั้นถ้ามีความดีความชอบอันใดแสดงออกในชีวิตของเรา ความชอบธรรมนั้นเป็นมาจากพระเจ้า แต่เราจะไม่ยึดมั่นอยู่ในความชอบธรรมของพระเจ้าที่มาโดยทางความเชื่อของพระเยซูคริสต์นอกจากเราจะยอมรับถึงความบาปของตนเองเสียก่อน มีทางเดียวเท่านั้นที่เราจะเป็นคนชอบธรรมได้ก็เนื่องด้วยการเชื่อฟังของผู้ใดผู้หนึ่ง และผู้นั้นคือพระคริสต์ (ดู โรม 5:19) {LBF 28.4}
“พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา และไม่ใช่แค่บาปของเราเท่านั้น แต่ของทั้งโลกด้วย” (1 ยอห์น 2:2) ผู้ที่เป็นคริสเตียนได้ 40 ปีก็ยังต้องการความชอบธรรมของพระคริสต์เท่าๆ กับคนบาปที่เพิ่งกลับใจในวันนี้ ตามที่เขียนไว้ว่า “ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่างเหมือนอย่างที่พระองค์สถิตในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย” (1 ยอห์น 1:7–8) เราไม่สามารถพูดได้มากไปกว่านี้คือ พระคริสต์ปราศจากความบาป และพระองค์ทรงสละพระองค์เองเพื่อเรา “ทรงเป็นพระปัญญาจากพระเจ้าสำหรับเรา ทรงเป็นผู้ทำให้เราชอบธรรม ทรงเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์ และทรงเป็นผู้ไถ่บาป” (1 โครินธ์ 1:30) การทรงชำระเราให้บริสุทธิ์นั้นเป็นเรื่องของปัจจุบัน เราอาจตระหนักว่าพระโลหิตของพระคริสต์เคยชำระเราจากความบาปในอดีต แต่นั่นไม่มีประโยชน์ในปัจจุบัน เพราะเราต้องการชีวิตของพระองค์อย่างต่อเนื่องเพื่อการทรงชำระนั้นจะยังคงดำเนินอยู่ ที่เรารอดนั้นก็รอดโดย “พระชนม์ชีพของพระองค์” (โรม 5:10) เพราะพระคริสต์ทรงเป็นชีวิตของเรา (ดู โคโลสี 3:4) {LBF 29.1}
เพราะเหตุนี้แหละ “ทุกวิญญาณที่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในเนื้อหนังก็มาจากพระเจ้า และทุกวิญญาณที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในเนื้อหนังก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า” (1 ยอห์น 4:2–3 แปลจากพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับ KJV) ให้สังเกตอีกครั้งว่าข้อพระคัมภีร์นี้เขียนในเชิงปัจจุบัน ข้อนี้ไม่ได้กล่าวว่า “พระองค์เคยเสด็จมาในเนื้อหนัง” แต่เขียนว่า “พระองค์เสด็จมาในเนื้อหนัง” การที่จะยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เคยเสด็จมาในเนื้อหนังนั้นก็ไม่พอที่จะช่วยให้เราได้รับความรอด แต่เราต้องยอมรับด้วยประสบการณ์ของเราเองว่า พระองค์ได้เสด็จมาดำรงอยู่ในเนื้อหนังของเราในปัจจุบัน เราจึงจะเป็นคนที่ “มาจากพระเจ้า” ที่พระองค์เสด็จมา 2,000 ปีก่อนก็เพื่อสำแดงความจริงข้อนี้ พระองค์เคยเสด็จมาและพระองค์สามารถเสด็จมาอีก ถ้าเราปฏิเสธความเป็นไปได้ที่พระองค์สามารถเสด็จมาในเนื้อหนังของเรา ก็เท่ากับเป็นการปฏิเสธความเป็นไปได้ที่พระองค์เสด็จมาในเนื้อหนังเมื่อ 2,000 ปีก่อน {LBF 29.2}
ส่วนหน้าที่ของเราคือถ่อมใจยอมรับว่าเราเป็นคนบาป และไม่มีความดีใดๆ เลย ถ้าไม่ทำอย่างนี้ สัจจะไม่ได้ดำรงอยู่ในเรา แต่ถ้ายอมรับแล้ว พระคริสต์ผู้เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาปให้รอดโดยเฉพาะจะเข้ามาสถิตในใจ ดังนั้นสัจจะจะดำรงอยู่ในเราอย่างแน่นอน แล้วความสมบูรณ์แบบจะแสดงออกมาท่ามกลางความบกพร่อง และความสมบูรณ์พร้อมท่ามกลางความอ่อนแอ เพราะเราทุกคน “ได้รับความครบบริบูรณ์ในพระองค์” (โคโลสี 2:10) พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์ ฉะนั้นพระองค์สามารถที่จะรับเราผู้ไร้ค่าและกระทำให้เรากลายเป็น “ที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระองค์” (เอเฟซัส 1:6) “เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระองค์ โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอพระเกียรติจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ อาเมน” (โรม 11:36) {LBF 29.3}