อยู่ด้วยความเชื่อ47. การเติบโตแบบคริสเตียน

47. การเติบโตแบบคริสเตียน

กระบวนการการเติบโตเป็นพัฒนาการของสิ่งที่ยังไม่เจริญผ่านระยะขั้นตอนต่างๆ ไปสู่สภาพที่สมบูรณ์ การเติบโตด้านจิตวิญญาณมีความเป็นไปได้และจำเป็นพอๆ กับการเติบโตฝ่ายร่างกาย ชีวิตด้านจิตวิญญาณเริ่มต้นด้วยการบังเกิดใหม่ คราวนั้นเราเป็นทารกในพระคริสต์ ถ้าเรายังคงเป็นทารกต่อไปเรื่อยๆ เราจะไม่สามารถเป็นทหารของไม้กางเขนที่รับใช้พระอาจารย์ด้วยความทรหดอดทนได้ เมื่อยังเป็นทารกเราไม่สามารถกินอาหารแข็งควบคู่ไปกับ “น้ำนมอันบริสุทธิ์แห่งพระวจนะ” (1 เปโตร 2:2 TKJV) ซึ่งมีอยู่ในข่าวประเสริฐของพระคริสต์ได้ เราต้องมีการพัฒนาการจากสภาพที่เป็นทารกไปสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์ในพระคริสต์ สิ่งนี้เป็นไปได้ด้วยกระบวนการการเติบโตเท่านั้น {LBF 145.1}

การเจริญเติบโตมีส่วนประกอบสำคัญหลายประการ เกือบทุกคนสามารถบอกได้ว่าพืชต้องการอะไรบ้างในการเติบโต แต่ดูเหมือนว่ามีน้อยคนที่รู้ถึงปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาในชีวิตคริสเตียน ที่จริงเราไม่ต้องยุ่งยากลำบากใจในการค้นหาประเด็นนี้ เพราะเราแต่ละคนก็เป็นเสมือนพืชต้นหนึ่งในอุทยานของพระเจ้า คือเป็นพืชฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งเหมือนกับพืชผักที่ต้องการดินดี แสงแดด และน้ำที่เพียงพอ {LBF 145.2}

พระเจ้าทรงเตรียมสิ่งเหล่านี้ไว้สำหรับอุทยานของพระองค์ ส่วนพืชต่างๆ ก็มีแต่ซึมซับเอาสิ่งที่พระองค์ทรงเตรียมไว้นั้น และตรงนี้แหละที่เราซึ่งเป็นพืชฝ่ายจิตวิญญาณผิดแผกไปจากพืชในธรรมชาติ พระเจ้าตรัสแก่เยเรมีย์ถึงคนของพระองค์ในสมัยนั้นว่า ถึงแม้พระองค์ทรงปลูกเขาไว้ “เป็นเถาองุ่นอย่างดี เป็นพันธุ์แท้ทั้งนั้น” แต่พวกเขา “เสื่อมทรามลงจนกลายพันธุ์ไป” (เยเรมีย์ 2:21) คนจำนวนมากในทุกวันนี้ที่ได้รับพระพรแบบเดียวกับคนในสมัยนั้นก็ไม่ต่างกัน ไม่มีความบกพร่องอยู่ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ แต่กลับมีหลักการชั่วที่เข้ามาในชีวิตของพวกเขาจนธรรมชาติผิดเพี้ยนไปจากเดิม ผลก็คือการเสื่อมถอยและการสูญเสียทุกสิ่งที่ดีงามไปในที่สุด {LBF 145.3}

ตามธรรมชาติแล้วพืชจะหันไปหาดวงอาทิตย์ แต่ในอุทยานฝ่ายจิตวิญญาณของพระเจ้ามีบางต้นที่หันไปยังทิศทางตรงกันข้าม บางต้นพยายามโตด้วยกำลังของตัวเอง และแน่นอน เมื่อทำเช่นนั้นการเติบโตก็ไม่เกิดขึ้น ลองจินตนาการดูว่าถ้ามีพืชต้นหนึ่งดิ้นรนที่จะเติบโตด้วยกำลังของมันเอง (ถ้ามันทำได้) มันก็คงพยายามดีดตัวให้สูงขึ้น แข็งแรงขึ้น และหยั่งรากลึกลงไปในดิน นี่เป็นความคิดที่ประหลาด หลายคนเข้าใจผิดว่าการเติบโตฝ่ายจิตวิญญาณของคริสเตียนก็เป็นเช่นนี้ แต่พระคริสต์ตรัสว่า “มีใครในพวกท่าน โดยความกระวนกระวาย อาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกศอกหนึ่งได้หรือ” (ลูกา 12:25 TKJV) มีใครบ้างคิดที่จะรวบรวมกำลังเพื่อยืดตัวเองให้สูงขึ้น {LBF 146.1}

เป็นความจริงที่การออกกำลังกายมีผลต่อการเติบโตอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เติบโต เราไม่มีอะไรที่จะจุดประกายการเติบโตเลย แต่หลักการพัฒนาการมีอยู่ในทุกคนโดยธรรมชาติ อย่างเดียวที่เราพอจะทำได้ก็คือ ทำตามเงื่อนไขเพื่อให้หลักการแห่งการเจริญเติบโตดำเนินการของมันเอง ในโลกฝ่ายจิตวิญญาณก็เช่นกัน พระเจ้าทรงใส่หลักการแห่งการเจริญเติบโตเมื่อเราบังเกิดใหม่ ถ้ามีปัจจัยที่เหมาะสม ทารกในพระคริสต์จะเติบโตจนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เราสามารถขัดขวางหรือถ่วงหลักการแห่งการเติบโตนี้ แต่เราไม่สามารถสร้างหลักการนี้ขึ้นมาได้ ส่วนพญามารรู้หลักการนี้ดี มันจึงหลอกคนเราให้เพียรพยายามเติบโตด้วยกำลังของเราเอง มันอยากให้เราคิดว่า เพียงแต่เราทำบุญทำกุศลหรือทำศาสนกิจมากๆ อาจต่อชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้ในพระคริสต์ มีคนจำนวนมากที่ลองทำตามแผนนี้เรื่อยมาตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบัน และยังคงทำต่อๆ ไปจนกว่าจะพบว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล เพราะเขาตระหนักว่าหลังจากที่พยายามทำดีมาหลายปี เขาไม่ได้เป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งขึ้นกว่าตอนกลับใจใหม่ๆ เลย และก็ไม่ได้เติบโตขึ้นสู่บรรยากาศแห่งสวรรค์มากกว่าเมื่อครั้งเริ่มต้น เขาจึงท้อถอย และในภาวะที่กำลังท้อถอยอยู่นั้นพญามารเข้ามาทดลอง เพราะเห็นว่าเขาพร้อมที่จะตกเป็นเหยื่อของมัน {LBF 146.2}

ไม่มีอุปสรรคอะไรที่จะทำให้การเติบโตของคริสเตียนเป็นไปไม่ได้ ที่ผ่านมาปัญหาอยู่ที่เราไม่เข้าใจธรรมชาติของการเติบโต หรือเงื่อนไขและปัจจัยที่จำเป็นในการเติบโตนั้น เพราะเราไม่ได้รับบทเรียนที่พระเจ้าทรงเปิดเผยอยู่ในพระวจนะและในธรรมชาติ แท้จริงแล้วพืชพันธุ์ต่างๆ เติบโตขึ้นโดยที่มันไม่ต้องขวนขวาย มันเพียงแต่หันหน้าไปหาดวงอาทิตย์ และรับพลังจากลำแสงที่ส่องมา มันก็งอกขึ้นสู่แหล่งที่มาของพลังนั้น กระบวนการทั้งหมดคือการขยับตัวเข้าไปใกล้กับแหล่งที่มาของชีวิต ส่วนในดินนั้นก็พบน้ำกับแร่ธาตุต่างๆ ที่ดูดซึมมาเป็นเนื้อเยื่อของพืช ตราบใดที่พืชยังหันไปหาแสงอาทิตย์หลักการทำงานของธรรมชาติก็ดำเนินไป และพืชก็เติบโตตามกระบวนการที่พระผู้สร้างกำหนดให้มัน {LBF 146.3}

ต้นพืชฝ่ายจิตวิญญาณในอุทยานแห่งสวรรค์ก็ต้องเป็นอย่างนั้น คือต้องหันไปทางดวงอาทิตย์ เราไม่สามารถเติบโตได้ด้วยการมองที่ตัวเอง และการมองไปที่คนอื่นจะไม่ได้ทำให้เราเติบโตขึ้นเช่นกัน เราไม่ควรตะเกียกตะกายเพื่อซึมซับปัจจัยที่จะทำให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้น แต่ให้กระบวนการซึมซับนั้นเป็นไปตาม “กฎของพระวิญญาณแห่งชีวิต” ที่พระเจ้าใส่ไว้ในตัวเรา “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ฟีลิปปี 2:5) หนังสือฟีลิปปีฉบับภาษากรีกโบราณหลายฉบับแทนที่จะเขียนว่า “จงมี” เขียนว่า “จงยอมให้มี” ซึ่งพระคัมภีร์ภาษาอังกฤษฉบับคิงเจมส์ก็แปลมาจากฉบับโบราณเหล่านั้น ความหมายคือให้เรายินยอมต่อพระเจ้า เพื่อพระองค์จะทรงเป็นผู้ดำเนินการภายในเรา นี่เป็นสิ่งเดียวที่พระองค์ทรงปรารถนาให้เราทำ {LBF 147.1}

มนุษย์ทำสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่องานของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง และมักเอาความต้องการส่วนตัวมาขัดขวางวิธีการของพระองค์อยู่เสมอ เขาไม่ยอมมอบทางของตนให้เป็นไปตามน้ำพระทัย นี่แหละคือปัญหาทั้งหมดของการดำเนินชีวิตคริสเตียน อุปสรรคไม่ได้อยู่ที่การประพฤติ แต่อยู่ที่การเลือก คืออยู่ที่การยอมจำนนต่อพระเจ้าแทนการทำตามใจตัวเอง จงมองที่พระคริสต์แทนสิ่งอื่น และยอมให้พระองค์ประทานความคิดตามน้ำพระทัยและพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในใจ พระคริสต์ทรงเป็นดวงอาทิตย์ของเรา คือ “ดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม” (มาลาคี 4:2) ถ้าเราเพ่งพินิจไปที่พระองค์ดั่งพืชที่หันไปหาแสงอาทิตย์ที่ส่องมา ถ้าเราตั้งปณิธานไว้ว่าจะหันไปหาพระองค์เสมอและยืดตัวขึ้นไปสู่แสงที่ฉายออกมาจากพระพักตร์ของพระองค์ เหมือนที่ต้นพืชหันไปสู่แหล่งชีวิตของมัน แล้วเราจะพบว่าการเติบโตที่เราต้องการนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิด {LBF 147.2}

ทั้งนี้ทั้งนั้น เราไม่ต้องคาดหวังที่จะรู้สึกว่าเรากำลังเติบโต เช่นเดียวกับเด็กที่วัดความสูงทุกวัน เขาจะไม่เห็นความแตกต่าง ถ้าแทนที่พืชจะหันไปหาดวงอาทิตย์ มันกลับหันเข้าหาตัวเองเพื่อจะดูว่ามันสูงขนาดไหนแล้ว การเติบโตก็ย่อมหยุดชะงักลง คริสเตียนก็เช่นกัน การพยายามมองที่การเติบโตด้านจิตวิญญาณของตัวเองจะทำให้เราหยุดจากการเติบโตมากกว่าอะไรทั้งสิ้น {LBF 147.3}

ดังนั้นเราจึงไม่ควรท้อถอยเมื่อไม่รู้สึกถึงกระบวนการของการเติบโต ด้วยว่ามันกำลังเกิดขึ้นอยู่จริงเหมือนเด็กที่กำลังเติบโตตามธรรมชาติอยู่ทุกวัน เราไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลในอนาคต เพราะผลก็จะเป็นไปตามที่อัครทูตเปาโลเขียนในจดหมายที่ส่งไปยังคริสตจักรแห่งเมืองเอเฟซัส เมื่อท่านอธิษฐานขอให้พวกเขาได้รับกำลังจากการสถิตอยู่ด้วยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ท่านเขียนว่า “ให้พระคริสต์ประทับในใจของท่านโดยทางความเชื่อ ให้ท่านได้หยั่งรากและตั้งมั่นอยู่ในความรัก ข้าพเจ้าทูลขอให้ท่านสามารถเข้าใจร่วมกับธรรมิกชนทั้งหมดถึงความกว้าง ความยาว ความสูง และความลึก คือให้ซาบซึ้งในความรักของพระคริสต์ ซึ่งเกินความรู้ เพื่อพวกท่านจะได้รับความบริบูรณ์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม” (เอเฟซัส 3:17–19) {LBF 148.1}

พระเจ้าไม่ได้ตรัสสั่งให้เราเจริญขึ้นในความรู้ของตัวเอง หรือในความบาปของตน หรือด้วยการรับรู้ถึงความบาปของเพื่อนบ้าน แต่ให้เจริญขึ้นใน “พระคุณและในความรู้ของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา” (2 เปโตร 3:18) เราคงไม่มีทางรู้จักพระคุณและคุณลักษณะต่างๆ ของพระองค์นอกจากจะได้เห็นด้วยตัวเอง และเราจะไม่สามารถเห็นได้นอกจากจะมองไปที่พระองค์ {LBF 148.2}