อยู่ด้วยความเชื่อ45. พระบัญญัติและชีวิต

45. พระบัญญัติและชีวิต

การรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าสรุปได้อยู่ในคำคำเดียว นั่นคือความรัก ส่วนความรักนั้นก็มาจากพระเจ้า “เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก” (1 ยอห์น 4:8) ให้เราสังเกตว่าข้อพระคัมภีร์นี้ไม่ได้กล่าวว่า “พระเจ้าทรงมีความรัก” แต่เขียนว่า “พระเจ้าทรงเป็นความรัก” ความรักเป็นธรรมชาติของพระเจ้า เป็นพระลักษณะแห่งชีวิตของพระองค์ จากนี้ก็เห็นได้ชัดว่าการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าคือการรับเอาพระลักษณะของพระองค์ ซึ่งประเด็นนี้ควรจะถูกย้ำอยู่บ่อยๆ {LBF 139.1}

เมื่อขุนนางหนุ่มมาทูลพระคริสต์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ” พระองค์ทรงตอบเขาว่า “ท่านใช้คำว่าประเสริฐกับเราทำไม ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว” (ลูกา 18:18–19) ในข้อนี้พระคริสต์ไม่ได้ตำนิขุนนางหนุ่มที่เรียกพระองค์ว่าประเสริฐ เพราะพระองค์ทรงประเสริฐจริง พระองค์ “ทรงไม่มีบาป” (2 โครินธ์ 5:21) พระองค์เคยตรัสแก่คนยิวว่า “มีใครในพวกท่านที่อาจชี้ให้เห็นว่าเรามีบาป” (ยอห์น 8:46) และในอีกข้อหนึ่งตรัสว่า “ผู้ครองโลกกำลังจะมา ผู้นั้นไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา” (ยอห์น 14:30) พระเยซูทรงทราบว่าพระองค์ประเสริฐ และพระองค์ไม่สามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้นอกจากจะปฏิเสธพระองค์เอง ซึ่งพระองค์คงไม่ทำเช่นนั้น แต่ด้วยข้อความที่พระองค์ทรงถามและตรัสกับขุนนางหนุ่มคนนั้น ทรงสำแดงพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา ซึ่งพระเจ้าเท่านั้นทรงประเสริฐ {LBF 139.2}

เมื่อเปรียบเทียบกับพระเจ้าแล้ว มนุษย์มีแต่ความชั่ว “ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด พวกเขาเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย” (โรม 3:10–12) “เพราะว่าจากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มาระโก 7:21–23) {LBF 139.3}

ใจเป็นอย่างไร เราก็เป็นอย่างนั้น “คนชั่วย่อมเอาสิ่งชั่วออกจากคลังชั่วในจิตใจของตน” (ลูกา 6:45) เนื่องจากเรามีใจชั่ว ถ้าขึ้นอยู่กับตัวเราเองแล้ว เราทำได้แต่ความชั่ว “เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังขัดแย้งพระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ขัดแย้งเนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายต่อสู้กัน ดังนั้นท่านทั้งหลายจึงไม่สามารถทำสิ่งที่ท่านปรารถนาจะทำ” (กาลาเทีย 5:17) และข้อความนี้บันทึกไว้ให้เราโดยเฉพาะในช่วงที่เราปรารถนาทำสิ่งที่ดี {LBF 140.1}

ความชั่วในใจนี้ขัดแย้งกับพระบัญญัติของพระเจ้า ตามที่เขียนไว้ว่า “จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย แต่จิตใจที่พระวิญญาณทรงควบคุมนำไปสู่ชีวิตและสันติสุข จิตใจที่เต็มไปด้วยบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้” (โรม 8:6–8 TNCV) {LBF 140.2}

พระเจ้าทรงบัญชาให้เรารักษาพระบัญญัติของพระองค์ แต่เราจะรักษาพระบัญญัติไม่ได้นอกจากเราจะมีธรรมชาติของพระองค์ เพราะเราไม่สามารถรักษาพระบัญญัติตามธรรมชาติของเราได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่มีความชอบธรรม ส่วนพระคริสต์ทรงสำแดงพระบิดาดังที่เขียนไว้ว่า “ไม่มีใครรู้จักพระบิดานอกจากพระบุตร และคนที่พระบุตรประสงค์จะสำแดงให้รู้” (มัทธิว 11:27) ในชีวิตของพระคริสต์เต็มไปด้วยความดีที่สมบูรณ์แบบ เพราะชีวิตของพระคริสต์เป็นชีวิตของพระเจ้า พระเจ้าทรงประเสริฐ มีแต่คุณงามความดีอยู่ในพระองค์ ความดีไม่ใช่เรื่องของนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่ต้องมีการแสดงออกในชีวิต เนื่องจากว่าไม่มีผู้ใดที่ประเสริฐนอกจากพระเจ้า แสดงว่าถ้าเราจะรักษาพระบัญญัติของพระองค์ก็ต้องมีชีวิตของพระองค์ดำรงอยู่ภายในเรา {LBF 140.3}

นี่เป็นวิธีเดียวที่ความชอบธรรมของพระบัญญัติจะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา อัครทูตเปาโลเขียนว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นโมฆะ เพราะว่าถ้าความชอบธรรมเกิดจากธรรมบัญญัติแล้ว พระคริสต์ก็สิ้นพระชนม์โดยเปล่าประโยชน์” (กาลาเทีย 2:20–21) ความชอบธรรมมาจากชีวิตของพระเจ้าที่มีอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น ฉะนั้น “คนจำนวนมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ทรงเชื่อฟัง” (โรม 5:19) ท่ามกลางบรรดาคนที่ได้รับการทรงไถ่ในแผ่นดินสวรรค์จะมีแต่ความชอบธรรมของพระคริสต์เพียงผู้เดียวปรากฏอยู่ พระคริสต์ไม่เพียงแต่ทรงรักษาพระบัญญัติ 2,000 ปีที่แล้วเมื่อทรงอยู่ในโลกเท่านั้น แต่ยังทรงรักษาในทุกวันนี้ เพราะพระองค์ทรงเหมือนเดิม ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และสืบไปเป็นนิตย์ ฉะนั้นเมื่อพระเยซูเข้ามาสถิตในใจของเราด้วยความเชื่อ ชีวิตแห่งการเชื่อฟังของพระองค์จะปรากฏในชีวิตของเรา เหมือนที่พระองค์ทรงเชื่อฟังเมื่อครั้งเสด็จมาสิ้นพระชนม์ไถ่บาปของเรา เมื่อสิ่งเหล่านี้เป็นจริงอยู่ในชีวิตของเรา เราจึงรู้ว่าพระคริสต์ได้เสด็จมาในสภาพมนุษย์ {LBF 140.4}

เนื่องจากว่าพระบัญญัติของพระเจ้าคือชีวิตของพระองค์ และพระบัญญัตินั้นเป็นความรัก พระเยซูคริสต์ทรงสั่งสอนว่า “เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม เพราะว่าถ้าพวกท่านรักคนที่รักท่าน พวกท่านจะได้บำเหน็จอะไร พวกคนเก็บภาษีก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ ถ้าพวกท่านทักทายแต่พี่น้องของตนเท่านั้น ท่านได้ทำอะไรพิเศษยิ่งกว่าคนอื่นๆ พวกต่างชาติก็ทำอย่างนั้นไม่ใช่หรือ” (มัทธิว 5:44–47) {LBF 141.1}

ความรักของมนุษย์นั้นอย่างดีก็แค่แสดงความรักกับคนที่รักตน “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน” (ยอห์น 15:13) “แต่พระเจ้าทรงสำแดงความรักของพระองค์แก่เรา คือขณะที่เรายังเป็นคนบาปอยู่นั้น พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม” (โรม 5:8) เรารักเพื่อนเป็นบางครั้ง แต่พระเจ้าทรงรักศัตรูของพระองค์ นี่แหละคือความรักแท้ เพราะไม่ใช่ลักษณะของการรักตอบผู้ที่รักตน พระคริสต์ทรงทราบว่าความรักแท้เป็นไปไม่ได้สำหรับธรรมชาติของมนุษย์ พระองค์จึงตรัสเพิ่มเติมว่า “พวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม” (มัทธิว 5:48) คือให้เรามีความดีพร้อมอย่างพระเจ้า ไม่ได้หมายความว่าให้เรากลายเป็นเทพเจ้า แต่ให้ชีวิตของพระองค์ปรากฏอยู่ในตัวเรา แล้วเราจะมีความดีพร้อมสมบูรณ์แบบของพระเจ้า ความดีเหล่านั้นล้วนแต่เป็นของพระองค์ แต่จะถูกนับว่าเป็นของเรา เพราะเรายอมให้พระองค์ดำเนินชีวิตของพระองค์ในตัวเรา {LBF 141.2}

ความคิดความเข้าใจดังกล่าวเป็นการให้เกียรติพระบัญญัติ เพราะทำให้เห็นว่าพระบัญญัติมีความหมายมากกว่าข้อบังคับปฏิบัติ เพราะ “เรารู้ว่าพระบัญญัติของพระองค์นั้นเป็นชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 12:50) พระบัญญัติสิบประการของพระเจ้าไม่ใช่ข้อบังคับที่พระองค์ทรงกำหนดขึ้นมาเปล่าๆ เพื่อบริหารมนุษย์ให้มีระเบียบ ไม่ใช่ศีลที่บันทึกไว้ให้เราอ่านและปฏิบัติตามด้วยความพากเพียร พระบัญญัติสิบประการไม่เหมือนกฎหมายการปกครองที่ฝ่ายนิติบัญญัติร่างขึ้นมาโดยไม่ยื่นความช่วยเหลือให้ประชาชนสามารถปฏิบัติได้ พระเจ้าไม่ได้ประทานพระบัญญัติที่ปราศจากชีวิตเหมือนแผ่นศิลาที่จารึกบนภูเขาซีนาย พระองค์ไม่ได้ทรงทิ้งพระบัญญัติไว้ให้มนุษย์ปฏิบัติตามเท่าที่จะทำได้โดยทรงเฝ้าที่จะลงโทษถ้าฝ่าฝืน มิใช่เช่นนั้นเลย เพราะพระบัญญัติที่พระเจ้าทรงจารึกไว้บนแผ่นศิลาด้วยนิ้วพระหัตถ์ของพระองค์ เป็นพระดำรัสแห่งความชอบธรรมของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ และด้วยความรักพระองค์จึงประทานให้ทุกคนที่ยอมรับเอา พระบัญญัตินั้นเป็นเงื่อนไขแห่งชีวิต เพราะทุกชีวิตมาจากพระเจ้า และผู้ที่จะมีชีวิตนิรันดร์ทุกคนจะต้องมีชีวิตและความชอบธรรมของพระองค์ {LBF 141.3}

พระเจ้าไม่ได้ทรงปล่อยให้เราต้องดิ้นรนเพื่อไขว่คว้าหาความชอบธรรมนี้ด้วยกำลังของเราเอง เพราะพระองค์ทรงรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ พระองค์จึงประทานพระองค์เองโดยสละพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อเราจะได้ความชอบธรรมของพระองค์ ฉะนั้นพระบัญญัติของพระเจ้าคือชีวิตของพระองค์ที่เต็มไปด้วยพระคุณ ความรัก และพระเมตตา {LBF 142.1}

มีอีกประเด็นหนึ่งที่ควรสังเกตคือ มีแต่ชีวิตของพระเจ้าเท่านั้นที่สมบูรณ์ตามที่พระบัญญัติกำหนดไว้ ทุกคนที่เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า คือพระคุณความดีของพระองค์ ล้วนแล้วแต่เป็นคนบาป เป็นผู้ล่วงละเมิดต่อพระบัญญัติ มีแต่ความชอบธรรมของพระเจ้าที่มาโดยความเชื่อของพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่พระบัญญัติรับรองว่าสมบูรณ์แบบ อะไรที่น้อยไปกว่านี้จะถูกพระบัญญัติกล่าวโทษ เพราะ “การกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น” (โรม 14:23) พระเจ้าทรงยุติธรรมที่วางมาตรฐานสูงนี้ให้เรา เพราะพระองค์ประทานพระองค์เองพร้อมด้วยความชอบธรรมทั้งหมดแห่งชีวิตของพระองค์แก่ทุกคนที่จะรับเอา พระองค์ประทานให้โดยไม่คิดมูลค่า สิ่งเดียวที่เราต้องทำคือ ยอมจำนนต่อความชอบธรรมของพระองค์ {LBF 142.2}

การทำตัวธรรมะธัมโมไม่มีประโยชน์อะไร การปฏิบัติให้ดูดีภายนอกไม่ถือว่าเป็นการรักษาพระบัญญัติ พระเจ้ามีองค์เดียว จึงมีชีวิตเดียวที่เป็นของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงยอมรับให้มีพระอื่น และความชอบธรรมที่ลอกเลียนแบบชีวิตของพระเจ้าไม่อาจหลอกลวงพระองค์ได้ การอวดอ้างว่าปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระเจ้าในขณะที่การปฏิบัตินั้นไม่ได้เกิดจากชีวิตของพระองค์ที่ดำเนินอยู่ในใจก็เป็นความบาป อย่าลืมว่าความชอบธรรมของเราคือการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเป็นไปได้โดยความเชื่อของพระเยซูคริสต์เท่านั้น เพราะ “การกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น” (โรม 14:23) {LBF 142.3}