19. รักษาด้วยสัมผัส
การอัศจรรย์ที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งของพระเยซูอ่านได้จากข้อความสั้นๆ ในลูกา 5:12–13 ซึ่งเขียนไว้ว่า {LBF 57.1}
“ต่อมาขณะที่พระเยซูประทับอยู่ในเมืองแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีคนหนึ่งเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ซบหน้าลงถึงดิน ทูลอ้อนวอนพระองค์ว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอเพียงแต่พระองค์เต็มพระทัยเท่านั้น ก็จะทำให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้’ พระองค์จึงยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขาแล้วตรัสว่า ‘เราเต็มใจ จงหายสะอาดเถิด’ ทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย” {LBF 57.2}
ในสมัยนั้นโรคเรื้อนเป็นโรคที่คนพากันกลัวและขยะแขยงมากที่สุด คนโรคเรื้อนนั้นจึงถูกขับไล่ไสส่งไปจากสังคม และต้องแยกไปอยู่ต่างหากแม้แต่จากครอบครัวของเขาเอง อาการของโรคค่อยๆ ลามไปทั่วร่างกาย เป็นการตายอย่างช้าๆ จนสุดท้ายร่างกายที่บิดเบี้ยวและชีวิตที่แสนเข็ญก็จบลงที่ความตาย {LBF 57.3}
ไม่มีโรคไหนที่แสดงถึงการมีมลทินอันเป็นผลของความบาปเท่ากับโรคเรื้อน ยิ่งกว่านั้นสภาพของชายคนนี้ก็คล้ายๆ กับถ้อยคำของอิสยาห์ที่บรรยายลักษณะของประชาชนว่า “ศีรษะก็เจ็บไปหมด ใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น ตั้งแต่ฝ่าเท้าถึงศีรษะไม่มีตรงไหนปรกติเลย ล้วนแต่ฟกช้ำและเป็นรอยเฆี่ยน ทั้งยังเป็นแผลเลือดไหล ไม่ได้บีบออกหรือพันไว้ หรือบรรเทาปวดด้วยน้ำมัน” (อิสยาห์ 1:5–6) ฉะนั้นในขณะที่ศึกษาเรื่องที่พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อนนั้น เราจะได้เรียนรู้ที่จะเชื่อฟังพระดำรัสของพระองค์ที่สั่งว่า “จงหายสะอาดเถิด” {LBF 57.4}
ประเด็นแรกคือคนโรคเรื้อนมีความมั่นใจว่าพระเยซูทรงมีฤทธิ์อำนาจที่จะรักษาเขาให้หาย เพราะเขาทูลพระองค์ว่า “ขอเพียงแต่พระองค์เต็มพระทัยเท่านั้น ก็จะทำให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” ประเด็นนี้สำคัญมาก มีน้อยคนนักที่เชื่อจริงๆ ว่าพระเยซูคริสต์สามารถชำระเขาให้สะอาดจากความบาปได้ คนเหล่านี้ยอมรับอยู่ว่าพระองค์สามารถช่วยคนทั่วไปให้รอดจากความบาป คือพระองค์สามารถช่วยคนอื่นได้ แต่ก็ไม่เชื่อว่าพระองค์สามารถช่วยเขาได้ด้วย ให้คนเหล่านี้เรียนรู้ถึงฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ ให้ฟังถ้อยคำของผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์ที่กล่าวโดยการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า คือพระองค์เอง ผู้ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกด้วยฤทธานุภาพใหญ่ยิ่งของพระองค์ และด้วยพระหัตถ์ซึ่งเหยียดออกของพระองค์ สำหรับพระองค์ไม่มีสิ่งใดที่ยากเกิน” (เยเรมีย์ 32:17 TH1971) {LBF 57.5}
พระเจ้าผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกด้วยพระดำรัสสั่ง ทรงสามารถกระทำทุกสิ่ง “พระเจ้าของเราทั้งหลายอยู่ในฟ้าสวรรค์ สิ่งใดที่พอพระทัย พระองค์ก็ทรงกระทำ” (สดุดี 115:3) “ฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้ให้ทุกสิ่งแก่เรา ที่จำเป็นต่อชีวิต และต่อการดำเนินตามทางพระเจ้า” (2 เปโตร 1:3) “เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงทรงสามารถช่วยคนทั้งหลายที่เข้ามาใกล้พระเจ้าโดยทางพระองค์นั้นอย่างเต็มที่” (ฮีบรู 7:25) พระคริสต์ทรงรับอำนาจ “เหนือมนุษย์ทั้งสิ้น” (ยอห์น 17:2) {LBF 58.1}
คนโรคเรื้อนมั่นใจในฤทธิ์อำนาจอันเหลือล้นของพระเยซู แต่ก็ไม่แน่ใจว่าพระองค์จะยอมรักษาเขาให้หายหรือไม่ เขาจึงทูลว่า “ขอเพียงแต่พระองค์เต็มพระทัยเท่านั้น ก็จะทำให้ข้าพระองค์หายสะอาดได้” แต่เราไม่ต้องมาหาพระองค์ด้วยความกล้าๆ กลัวๆ เหมือนคนโรคเรื้อนนี้ เพราะเราแน่ใจได้เลยว่า พระองค์ทรงสามารถชำระเราได้ นอกจากนั้นพระองค์ได้ทรงให้ตัวอย่างมากมายว่า พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะชำระเราด้วย เช่นในกาลาเทีย 1:4 ที่เขียนไว้ว่า “พระเยซูทรงสละพระองค์เองเพราะบาปของเรา เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเรา” ยิ่งไปกว่านั้น 1 เธสะโลนิกา 4:3 ยังยืนยันว่า “พระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านได้รับการชำระให้บริสุทธิ์” (TNCV) {LBF 58.2}
ฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้ามีอยู่ครบบริบูรณ์ในพระคริสต์ (ดู 1 โครินธ์ 1:24) ทุกสิ่งในฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก “ถูกยึดเข้าด้วยกันโดยพระองค์” (โคโลสี 1:16–17) อัครทูตเปาโลจึงกล่าวว่า “พระองค์ผู้ไม่ทรงหวงพระบุตรของพระองค์เอง แต่ประทานพระบุตรนั้นเพื่อเราทุกคน ถ้าเช่นนั้น พระองค์จะไม่ประทานสิ่งสารพัดให้เราด้วยกันกับพระบุตรนั้นหรือ” (โรม 8:32) พระเจ้าประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์เพื่อชำระเราให้พ้นจากความบาป เราจึงมั่นใจได้ว่าพระองค์พอพระทัยในการทรงชำระนั้น {LBF 58.3}
“ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายที่วางใจในพระนามของพระบุตรของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีชีวิตนิรันดร์ และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์” (1 ยอห์น 5:13–15) ด้วยเหตุนี้เราจึงสามารถ “เข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ” (ฮีบรู 4:16) โดยตระหนักว่า “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:9) {LBF 58.4}
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่โดดเด่นที่สุดในเรื่องนี้ คือพระเยซูทรงยื่นพระหัตถ์ออกแตะต้องคนโรคเรื้อนนั้น ทั่วทั้งแผ่นดินไม่มีใครสักคนเดียวที่จะยอมเข้าใกล้คนโรคเรื้อน อย่าว่าแต่สัมผัสเลย แต่พระเยซูทรง “ยื่นพระหัตถ์แตะต้องเขา” และด้วยการสัมผัสนั้นโรคร้ายจึงหายเป็นปลิดทิ้ง {LBF 59.1}
เป็นที่น่าสังเกตว่า พระเยซูทรงแตะต้องหลายคนที่พระองค์ทรงรักษาให้หาย เมื่อแม่ยายของเปโตรล้มป่วยด้วยพิษไข้ พระเยซู “ทรงสัมผัสมือนาง ไข้ก็หาย” (มัทธิว 8:15) ในคืนเดียวกันนั้น “ใครที่มีคนเจ็บเป็นโรคต่างๆ ก็พามาหาพระองค์ พระองค์วางพระหัตถ์ถูกต้องเขาทุกคนให้หายจากโรค” (ลูกา 4:40) ในภูมิลำเนาของพระองค์เอง ชาวเมืองไม่เชื่อในพระองค์ ฉะนั้น “พระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ เว้นแต่วางพระหัตถ์ถูกต้องคนเจ็บบางคนให้หายโรค” (มาระโก 6:5) {LBF 59.2}
มัทธิวกล่าวว่า การรักษาให้หายในครั้งนั้นเป็นไป “เพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะที่ตรัสผ่านอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะว่า ‘ท่านแบกความเจ็บไข้ของเรา และหอบโรคของเราไป’” (มัทธิว 8:17) เรารู้ว่า “มีฤทธิ์เดชซ่านออกจากพระองค์ และรักษา” คนทั้งหลายที่พากันห้อมล้อมอยู่นั้นด้วยหวังที่จะสัมผัสพระองค์ (ลูกา 6:19) ที่พระองค์ทรงแบกความเจ็บไข้ของเรานั้นมีความหมายว่า เมื่อพระองค์ทรงรักษาผู้ใด พระองค์ทรงรับเอาโรคภัยไข้เจ็บของผู้นั้นมาไว้ที่พระองค์เองและประทานฤทธิ์เดชในการรักษาเข้าไปแทนที่ {LBF 59.3}
บัดนี้เราได้รับการหนุนใจว่า ถึงแม้พระเยซูได้ “เสด็จผ่านฟ้าสวรรค์” แล้ว แต่พระองค์ไม่ได้ทรงหยุดที่จะเมตตาพวกเรา เพราะพระองค์ทรง “สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา” (ฮีบรู 4:14, 15) พระองค์ทรงเมตตาสงสาร “เพราะพระองค์เองทรงรู้จักโครงร่างของเรา พระองค์ทรงระลึกว่าเราเป็นแต่ผงคลี” (สดุดี 103:14) ถึงแม้ว่าเราจะเสื่อมโทรมไปด้วยความบาป แต่พระเยซูไม่ทรงรังเกียจหรืออายที่จะติดสนิทกับเราเพื่อช่วยเหลือเรา {LBF 59.4}
ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงการดำเนินการของพระเจ้าต่อคนอิสราเอลในสมัยโบราณว่า “พระองค์ทุกข์พระทัยในความทุกข์ทั้งหมดของเขา” (อิสยาห์ 63:9) ทุกวันนี้ก็เช่นกัน นกอินทรีพยุงลูกไว้ด้วยปีกของมันฉันใด พระองค์ทรงอุ้มชูเราไว้ ทั้งทรงแบกเอาความบาปและความเศร้าของเราไปฉันนั้น พระองค์ทรงรับมันไว้ในพระองค์ ความบาปและความเศร้าของเราจึงถูกกลืนหายไปโดยวิธีการเดียวกันนี้ที่พระองค์จะทรง “กลืนความตายด้วยการมีชัย” ในที่สุด (อิสยาห์ 25:8 TKJV) {LBF 59.5}
พระคริสต์ทรงรับเอาคำสาปแช่ง เพื่อพระพรจะได้มาถึงพวกเรา (ดู กาลาเทีย 3:13–14) “พระเจ้าทรงกระทำพระองค์ผู้ทรงไม่มีบาปให้บาป เพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าทางพระองค์” (2 โครินธ์ 5:21 TH1971) พระองค์ทรงทนต่อความตายอันเป็นส่วนของเรา เพื่อเราจะได้ส่วนในชีวิตของพระองค์ การแลกเปลี่ยนนี้เกิดขึ้นเมื่อเรามาสัมผัสพระองค์ด้วยการสารภาพว่า “พระเยซูคริสต์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” (1 ยอห์น 4:2 TNCV) ถ้าเราเปรียบพระองค์เสมือนคนแปลกหน้าหรือมองเรื่องความเชื่อในพระองค์ว่าเป็นเพียงแต่ทฤษฎีเท่านั้น เราก็จะสูญเสียโอกาสอันยิ่งใหญ่ แต่เมื่อเราตระหนักว่า พระองค์ทรงทราบถึงสภาพอันต่ำต้อยของเรา และทรงรับเอาสภาพความผิดบาปของเรานั้น เราก็จะขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงสัญญาว่า “เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:20) {LBF 59.6}