บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 329. ซาตานเกลียดชังพระบัญญัติ

29. ซาตานเกลียดชังพระบัญญัติ

ประทานสิทธิในการเลือก

ความพยายามของซาตานในการล้มล้างพระบัญญัติครั้งแรกท่ามกลางชาวสวรรค์ผู้ปราศจากบาปดูเหมือนจะได้ผลอยู่ระยะหนึ่ง มีทูตสวรรค์มากมายที่หลงกลลวงของมัน แต่สิ่งที่ดูเหมือนเป็นชัยชนะของซาตานกลับกลายเป็นความพ่ายแพ้และความสูญเสีย ต้องพรากจากพระเจ้าและถูกขับไล่ออกจากสวรรค์ {PP 331.1}

เมื่อซาตานดำเนินการต่อสู้ครั้งต่อไปบนโลก ก็ดูเหมือนมันเป็นฝ่ายได้เปรียบ การล่วงละเมิดพระบัญชาของพระเจ้าทำให้มนุษย์ตกเป็นเชลยของซาตาน อาณาจักรมนุษย์จึงตกอยู่ในมือของจอมกบฏด้วยเช่นกัน คราวนี้ซาตานเหมือนจะได้โอกาสที่จะตั้งอาณาจักรให้เป็นเอกราชเพื่อท้าทายพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์ แต่แผนการช่วยให้รอดทำให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระเจ้าและทำตามพระบัญญัติของพระองค์ได้ อีกทั้งให้มนุษย์และแผ่นดินโลกได้รับการไถ่คืนจากอำนาจของมารร้าย {PP 331.2}

ซาตานต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง มันจึงใช้กลอุบายตามเคย โดยหวังจะพลิกสถานการณ์ให้ความปราชัยกลายเป็นชัยชนะ มันหาทางยุยงให้มนุษยชาติที่หลงในความบาปกบฏต่อพระเจ้า จึงใส่ความว่าพระเจ้าไม่ทรงยุติธรรมที่ปล่อยมนุษย์ให้ฝ่าฝืนพระบัญญัติของพระองค์ มารร้ายหลอกถามอย่างมีชั้นเชิงว่า ‘เมื่อพระเจ้าทรงรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น ทำไมพระองค์ทรงทดสอบมนุษย์และทรงเปิดโอกาสให้ทำบาป จนเป็นเหตุให้ทนทุกข์และต้องตาย’ แล้วลูกหลานของอาดัมพากันลืมพระเมตตาของพระเจ้าที่อดกลั้นพระทัยไว้ช้านานในการให้โอกาสมนุษย์ และมองข้ามการเสียสละอันใหญ่หลวงของพระเจ้าแห่งสวรรค์เนื่องจากการกบฏ มนุษย์จึงเงี่ยหูฟังซาตานล่อลวง และบ่นต่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพวกเขาให้พ้นจากอำนาจแห่งการทำลายของซาตานได้แต่พระองค์เดียว {PP 331.3}

ในทุกวันนี้ชีวิตคนนับหมื่นนับแสนสะท้อนถึงคำต่อว่าพระเจ้าเช่นนี้ พวกเขาไม่เข้าใจว่าอิสรภาพในการเลือกเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ ถ้าไม่มีสิทธินี้มนุษย์ก็จะเป็นได้แต่เพียงหุ่นยนต์ พระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะบังคับใครเพราะมนุษย์ถูกสร้างมาให้มีอิสระในการเลือกด้านศีลธรรม มนุษย์จะต้องถูกทดสอบการเชื่อฟังเหมือนกับผู้ที่อาศัยในโลกอื่นๆ แต่จะไม่มีสักครั้งเลยที่จำเป็นต้องยอมทำชั่ว ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นเกินกว่าที่มนุษย์จะต้านทานได้ พระเจ้าประทานความช่วยเหลือไว้มากมายเสียจนมนุษย์ไม่ต้องพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับซาตาน {PP 331.4}

ความตกต่ำของมนุษย์หลังน้ำท่วมโลก

เมื่อมนุษย์เพิ่มทวีขึ้นบนแผ่นดิน คนเกือบทั้งโลกร่วมกันอยู่ฝ่ายกบฏ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ดูเหมือนว่าซาตานจะมีชัย แต่พระเจ้าทรงยับยั้งกิจการชั่วด้วยฤทธานุภาพของพระองค์ ทรงให้น้ำท่วมเพื่อชำระล้างโลกให้สะอาดพ้นจากความเสื่อมเสียด้านศีลธรรม {PP 332.1}

ผู้เผยพระวจนะกล่าวว่า “เมื่อการพิพากษาของพระองค์อยู่ในแผ่นดินโลก ชาวพิภพได้เรียนรู้ถึงความชอบธรรม ถ้าสำแดงพระคุณแก่คนอธรรม เขาก็ไม่เรียนรู้ความชอบธรรม…และมองไม่เห็นความโอ่อ่าตระการของพระเจ้า” (อิสยาห์ 26:9–10 TH1971) หลังจากน้ำท่วมโลกก็เป็นเช่นนี้ เมื่อการพิพากษาลงโทษผ่านพ้นไปแล้ว มนุษย์พากันกบฏต่อพระเจ้าอีก นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่มนุษย์ปฏิเสธพันธสัญญาของพระเจ้าและเหยียดหยามกฎเกณฑ์ของพระองค์ มนุษย์ทั้งก่อนน้ำท่วมโลกและลูกหลานของโนอาห์ต่างก็ขัดขืนต่อการปกครองของพระเจ้า แล้วพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัมและทรงรับชนชาติหนึ่งไว้เป็นผู้อภิรักษ์พระบัญญัติของพระองค์ ฝ่ายซาตานเริ่มวางกับดักล่อลวงทันทีเพื่อจะได้ทำลายคนเหล่านั้น ลูกหลานของยาโคบถูกชักนำให้แต่งงานกับคนต่างชาติที่ไม่นับถือพระเจ้าจนถูกชักจูงให้กราบไหว้นมัสการรูปเคารพของคนเหล่านั้น แต่โยเซฟซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า และความซื่อสัตย์นี้เป็นพยานถึงความเชื่อที่แท้จริงอย่างต่อเนื่อง ซาตานพยายามดับแสงแห่งความจริงนี้ผ่านความอิจฉาริษยาของพวกพี่ๆ ของโยเซฟ จนท่านต้องถูกขายไปเป็นทาสอยู่ต่างแดน แต่พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือสถานการณ์นั้นเพื่อชาวอียิปต์จะได้รู้จักพระองค์ โยเซฟได้รับการฝึกฝนทั้งในบ้านของโปทิฟาร์และในคุก สิ่งเหล่านี้บวกกับความยำเกรงพระเจ้าได้ช่วยเตรียมท่านให้พร้อมสำหรับตำแหน่งอันสูงส่ง คือนายกรัฐมนตรีแห่งอียิปต์ ตั้งแต่ตำหนักของฟาโรห์จนทั่วแผ่นดินอียิปต์ล้วนแต่ได้รับอิทธิพลจากโยเซฟและได้รับรู้เกี่ยวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อมาชนชาติอิสราเอลเจริญมั่งคั่งในอียิปต์ ส่วนคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้แผ่อิทธิพลอันดีอย่างกว้างขวาง ฝ่ายปุโรหิตของเทพเจ้าอียิปต์พากันตกตะลึงเมื่อเห็นว่าชาวบ้านสนใจศาสนาของชาวฮีบรู จึงตั้งต้นดับแสงแห่งความจริงนั้น แรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังการกระทำดังกล่าวมาจากซาตานผู้มีความจงเกลียดจงชังต่อพระเจ้า พวกปุโรหิตมีหน้าที่อบรมรัชทายาท ฉะนั้นด้วยความคลั่งไคล้ในการกราบไหว้รูปเคารพและความมุ่งมั่นขัดขวางพระเจ้า พวกเขาจึงหล่อหลอมอุปนิสัยของผู้ที่จะขึ้นครองตำแหน่งฟาโรห์องค์ต่อไป อันเป็นเหตุให้เกิดทารุณกรรมและการกดขี่ข่มเหงต่อชาวฮีบรูขึ้น {PP 332.2}

ตลอด 40 ปีหลังจากโมเสสหนีออกจากอียิปต์ ดูเหมือนฝ่ายที่นับถือรูปเคารพเป็นต่อ ความหวังของชาวอิสราเอลก็ถดถอยลงทุกทีในแต่ละปีที่ผ่านไป ฟาโรห์กับชาวอียิปต์หลงระเริงในอำนาจและพากันเยาะเย้ยพระเจ้าของคนอิสราเอล บรรยากาศแห่งการดูหมิ่นพระเจ้าได้ลุกลามไปจนถึงจุดอิ่มตัวในฟาโรห์องค์ที่ท้าโมเสส เมื่อผู้นำชาวฮีบรูเข้าเฝ้าฟาโรห์พร้อมกับสารจาก “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอล” (อพยพ 5:1 TKJV) ฟาโรห์ตอบว่า “พระเยโฮวาห์นั้นเป็นผู้ใดเล่า เราจึงจะต้องเชื่อฟังเสียงของพระองค์…เราไม่รู้จักพระเยโฮวาห์” (อพยพ 5:2 TKJV) ที่ฟาโรห์ตอบเช่นนั้นไม่ใช่ว่าท่านไม่เคยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้เลย แต่เป็นเพราะท่านต้องการท้าทายพระองค์ ตลอดตั้งแต่ต้นจนถึงวาระสุดท้ายฟาโรห์ผู้นี้ต่อต้านพระบัญชาของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่เป็นเพราะฟาโรห์มีความเกลียดชังและตั้งใจที่จะขัดขืนต่อพระบัญชาของพระองค์ต่างหาก {PP 333.1}

ซาตานบิดเบื่อนพระประสงค์ของพระเจ้า

ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์ได้ปฏิเสธเรื่องของพระเจ้ามาเป็นเวลานาน แต่พระองค์ยังทรงให้โอกาสพวกเขากลับใจ แผ่นดินอียิปต์เป็นที่ลี้ภัยของคนอิสราเอลในสมัยของโยเซฟ พระเจ้าทรงได้รับเกียรติเมื่อชาวอียิปต์แสดงความเอื้ออาทรต่อประชากรของพระองค์ พระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านาน ทรงกริ้วช้า ทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคง จนถึงคราวที่จะต้องพิพากษาลงโทษชาวอียิปต์ พระองค์ทรงทิ้งช่วงระหว่างภัยพิบัติแต่ละครั้งเผื่อคนอียิปต์จะกลับใจ เมื่อชาวอียิปต์เห็นว่าดูเหมือนพวกเขาได้รับเคราะห์ร้ายจากเทพเจ้าที่ตนนับถือ ก็เป็นหลักฐานให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เป็นโอกาสของทุกคนที่จะยอมจำนนต่อพระเจ้าและจากการพิพากษาของพระองค์ ส่วนความดื้อด้านถือดีของฟาโรห์ก็เป็นเหตุให้เรื่องของพระเจ้าถูกแพร่กระจายออกไป จนชาวอียิปต์หลายคนตัดสินใจรับใช้พระองค์ {PP 333.2}

คนอิสราเอลมีแนวโน้มที่จะไปติดพันกับคนที่ไม่นับถือพระเจ้า และเลียนแบบการกราบไหว้รูปเคารพ ฉะนั้นพระเจ้าทรงยอมให้พวกเขาลงไปอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ เพราะที่นั่นได้รับอิทธิพลจากโยเซฟอย่างมากและมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการรักษาเอกลักษณ์ความเป็นชนชาติเอาไว้ นอกจากนั้นพิธีกรรมอันต่ำช้าของการกราบไหว้รูปเคารพ ทั้งความโหดเหี้ยมของชาวอียิปต์ที่กดขี่ชาวฮีบรูในช่วงหลังๆ ควรจะทำให้พวกเขาเกลียดชังการกราบไหว้รูปเคารพ และทำให้คนอิสราเอลหนีไปลี้ภัยในพระเจ้าของบรรพบุรุษ แต่ซาตานกลับใช้การทรงนำของพระเจ้าในเรื่องนี้สนองจุดประสงค์ของมัน ให้จิตใจชาวอิสราเอลมัวหมอง จนสามารถถูกชักนำให้เลียนแบบพฤติกรรมบรรดาเจ้านายของพวกตน เนื่องจากชาวอียิปต์ถือว่าสัตว์ต่างๆ มีความศักดิ์สิทธิ์ ชาวฮีบรูจึงไม่ได้รับอนุญาตให้ทำการถวายบูชาแด่พระเจ้าตลอดช่วงเวลาที่เป็นทาส การนำสัตว์มาถวายบูชาเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงพระคริสต์ผู้ที่จะเสด็จมาไถ่บาปของมนุษย์ และเพราะไม่มีการถวายบูชาดังกล่าว พวกเขาจึงไม่ได้คิดถึงพระองค์ผู้จะเสด็จมา ความเชื่อของคนอิสราเอลก็ย่อหย่อนลงตามลำดับ เมื่อเวลาที่พวกเขาจะได้รับการปลดปล่อยมาถึง ซาตานเตรียมขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าโดยมุ่งที่จะเหนี่ยวรั้งชนชาติใหญ่นี้ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2 ล้านคนไว้ในความโง่เขลางมงายต่อไป ชนชาติที่พระเจ้าทรงสัญญาว่าจะอวยพรให้มีจำนวนเพิ่มทวี มีอำนาจ และให้สำแดงน้ำพระทัยของพระองค์แก่คนอื่น คือชนชาติที่พระเจ้าทรงเลือกไว้เพื่ออภิรักษ์พระบัญญัติของพระองค์ ชนชาตินี้แหละที่ซาตานพยายามครอบงำให้ความคิดคลุมเครือและให้ชีวิตตรากตรำด้วยการเป็นทาสต่อไป เพื่อไม่ให้เหลือเรื่องราวของพระเจ้าไว้ในความทรงจำเลย {PP 333.3}

เมื่อโมเสสกับอาโรนทำการอัศจรรย์ต่อหน้าฟาโรห์ ซาตานก็อยู่ที่นั่นคอยขัดขวางไม่ให้ฟาโรห์ยอมรับว่าพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหนือใครแล้วยอมเชื่อฟังพระบัญชาของพระองค์ ซาตานลอกเลียนการอัศจรรย์ของพระเจ้าและขัดขวางน้ำพระทัยของพระองค์อย่างสุดความสามารถ ทั้งนี้ทั้งนั้นล้วนแล้วแต่มีส่วนในการเตรียมทางให้พระเจ้าทรงสำแดงฤทธานุภาพและพระสิริของพระองค์ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อทั้งคนอิสราเอลและชาวอียิปต์จะเห็นได้ชัดขึ้นว่าพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่นั้นมีจริง และพระองค์ทรงครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง {PP 334.1}

พระเจ้าทรงกอบกู้ชนชาติอิสราเอลด้วยฤทธานุภาพอันมากยิ่งซึ่งปรากฏให้เห็น และด้วยการลงโทษเทพเจ้าทั้งหลายของอียิปต์ “พระองค์จึงทรงนำประชากรของพระองค์ออกมาด้วยความชื่นบาน ทรงนำผู้ที่ทรงเลือกสรรไว้นั้นด้วยการร้องเพลง…เพื่อพวกเขาจะปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของพระองค์ และรักษาธรรมบัญญัติของพระองค์” (สดุดี 105:43–45 THSV) พระองค์ทรงช่วยคนอิสราเอลให้พ้นจากการเป็นทาส เพื่อนำพวกเขาไปยังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ ปลอดภัยจากบรรดาศัตรู พระเจ้าจะทรงนำพวกเขาให้มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์ อยู่ใต้ร่มปีกในอ้อมแขนอันเป็นนิรันดร์ เมื่อพวกเขาได้รับพระคุณความดีและพระเมตตาจากพระองค์แล้วจะต้องไม่มีพระอื่นใดนอกจากพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ จะต้องเทิดทูนพระนามของพระองค์ให้เป็นที่เลื่องลือในแผ่นดินโลก {PP 334.2}

แผนการทำลายพระบัญญัติ

ช่วงเวลาที่เป็นทาสในอียิปต์คนอิสราเอลได้ลืมพระบัญญัติของพระเจ้าไปส่วนมาก และเอาหลักการของพระบัญญัติมาผสมปนเปกับขนบธรรมเนียมของคนที่ไม่นับถือพระเจ้า พระองค์จึงทรงพาพวกเขามายังภูเขาซีนาย และทรงประกาศพระบัญญัติด้วยพระสุรเสียงของพระองค์เอง {PP 334.3}

แม้ในขณะที่พระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติอยู่นั้น ซาตานพร้อมกับเหล่าบริวารของมันก็รวมกันอยู่ที่นั่นเพื่อวางแผนยั่วเย้าคนอิสราเอลให้ทำบาป มันคิดจะช่วงชิงเอาประชากรเหล่านี้ไปจากพระเจ้าซึ่งๆ หน้า มันมุ่งหมายให้การนมัสการพระเจ้าเป็นโมฆะด้วยการนำคนอิสราเอลให้กราบไหว้รูปเคารพ เพราะเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นด้วยการเทิดทูนสิ่งที่ไม่ได้สูงไปกว่าตน หรือเชิดชูสัญลักษณ์ที่มนุษย์เองเป็นผู้สร้างขึ้นมา ถ้าซาตานสามารถบังตาของประชาชนไม่ให้พวกเขามองเห็นฤทธานุภาพและพระสิริของพระเจ้าองค์นิรันดร์ จนกระทั่งพวกเขาสร้างรูปเคารพขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนของพระองค์ จะเป็นรูปคนก็ดี หรือสัตว์เดียรัจฉานก็ดี ถ้าพวกเขาลืมไปว่ามนุษย์ถูกสร้างตามพระฉายาของพระเจ้าจึงมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระองค์ แล้วมากราบไหว้วัตถุอันไร้ค่าเช่นนั้น ก็จะเป็นการเปิดประตูให้พวกเขาปล่อยตัวทำบาป ซาตานก็จะครอบงำจิตใจคนอิสราเอลได้อย่างเต็มที่ {PP 334.4}

ที่เชิงเขาซีนายนั่นเองซาตานเริ่มดำเนินแผนการของมันเพื่อล้มล้างพระบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเป็นการสานต่อแผนการที่มันเริ่มในสวรรค์ ช่วงเวลา 40 วันที่โมเสสเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่บนภูเขา ซาตานคอยปลุกปั่นประชาชนให้เกิดความสงสัย และเหินห่างจากพระเจ้าจนทรยศต่อพระองค์ในที่สุด ในขณะที่พระเจ้าทรงจารึกพระบัญญัติบนแผ่นศิลาด้วยพระหัตถ์ของพระองค์อยู่นั้น ประชาชนกำลังละทิ้งพันธสัญญาที่รับมาจากพระเยโฮวาห์โดยเรียกร้องให้มีการสร้างรูปเคารพทองคำ และเมื่อโมเสสกลับลงมาจากการเข้าเฝ้าพระเจ้าพร้อมคำสอนแห่งธรรมบัญญัติซึ่งคนอิสราเอลเคยปฏิญาณว่าจะปฏิบัติตาม ท่านพบประชาชนกำลังท้าทายพระบัญญัติอย่างโจ่งแจ้งด้วยการกราบไหว้บูชารูปเคารพทองคำ {PP 335.1}

ซาตานคิดจะทำลายคนอิสราเอลให้พินาศด้วยการนำให้พวกเขาท้าทายและหมิ่นประมาทพระเยโฮวาห์ เนื่องจากประชาชนเสื่อมทรามเช่นนี้ และไม่สำนึกถึงพระพรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานให้พวกเขา ทั้งไม่ใส่ใจต่อคำมั่นสัญญาที่เคยปฏิญาณไว้หลายต่อหลายครั้งว่าจะติดตามพระองค์ด้วยความจงรักภักดีแล้ว มันจึงคิดว่าพระเจ้าคงจะทอดทิ้งคนอิสราเอลและทรงทำลายพวกเขาเสียอย่างแน่นอน วิธีนี้จะทำให้พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมหมดสิ้นไป อันเป็นพงศ์พันธุ์ตามพระสัญญาที่มีหน้าที่รักษาเรื่องราวของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ พระผู้ไถ่ที่จะเสด็จมาพิชิตซาตานก็จะต้องเกิดในพงศ์พันธุ์นี้ จอมกบฏคิดล้มแผนการของพระเจ้า แต่มันก็ต้องพ่ายแพ้อีกครั้ง ถึงแม้คนอิสราเอลได้ทำบาปถึงเพียงนั้น แต่ก็ไม่ได้ถูกทำลาย ในขณะที่ผู้คนที่ยืนกรานอยู่ฝ่ายซาตานต้องถูกประหาร แต่ประชาชนที่ถ่อมตัวลงและกลับใจได้รับพระเมตตา พระเจ้าทรงอภัยความบาปของพวกเขา ประวัติเรื่องราวของการทำบาปในครั้งนี้เป็นบทเรียนอมตะที่สอนเรื่องความบาปและโทษของการไหว้รูปเคารพ ให้เห็นถึงความยุติธรรม ความรักมั่นคง และพระเมตตาของพระเจ้า {PP 335.2}

ทั่วทั้งจักรวาลได้เห็นเหตุการณ์ที่ภูเขาซีนาย และความแตกต่างระหว่างการปกครองของพระเจ้ากับของซาตาน บรรดาผู้ไร้บาปในโลกอื่นๆ ต่างเห็นผลลัพธ์แห่งการกบฏของซาตาน และเค้าโครงการปกครองที่มันเคยพยายามก่อขึ้นในสวรรค์ {PP 335.3}

พระบัญญัติแต่ละข้อที่เกี่ยวเนื่องกัน

เหตุที่ซาตานนำคนให้ละเมิดพระบัญญัติข้อที่สองก็เพื่อบิดเบือนภาพลักษณ์ของพระเจ้า ถ้านำให้มนุษย์ละทิ้งพระบัญญัติข้อที่สี่ก็จะเป็นเหตุให้พวกเขาลืมพระเจ้าไปเลย พระเจ้าสมควรได้รับความเคารพนับถือและการกราบไหว้นมัสการเหนือพระทั้งหลายของคนที่ไม่รู้จักพระองค์ ก็เพราะพระองค์เป็นพระผู้สร้าง ทุกชีวิตดำรงอยู่ได้เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ประทาน นี่คือคำสอนของพระคัมภีร์ตามที่ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์เขียนไว้ว่า “พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์… ‘บรรดาพระผู้ที่มิได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกจะพินาศไปจากแผ่นดินโลกและจากภายใต้ฟ้าสวรรค์เหล่านี้’ พระองค์ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ พระองค์ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยพระสติปัญญาของพระองค์ และทรงขึงฟ้าสวรรค์ออกด้วยความเข้าใจของพระองค์” “มนุษย์ทุกคนโฉดในทางความรู้ของตน ช่างทองทุกคนจะได้อายเพราะรูปเคารพสลักของตน เพราะรูปเคารพหล่อของเขาเป็นของเท็จ และไม่มีลมหายใจในรูปเคารพนั้น มันเป็นของไร้ค่า และเป็นผลงานแห่งความผิดพลาด มันจะต้องพินาศเมื่อถึงเวลาการลงโทษ พระองค์ผู้ทรงเป็นส่วนของยาโคบไม่เหมือนสิ่งเหล่านี้ เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้ที่ก่อร่างทุกสิ่งขึ้น” (เยเรมีย์ 10:10–12, 14–16 TKJV) วันสะบาโตเป็นเครื่องเตือนใจให้ระลึกถึงพระเจ้าในฐานะพระผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ฉะนั้นวันสะบาโตจึงเป็นพยานเพื่อพระเจ้ามาอย่างต่อเนื่อง ให้มนุษย์ระลึกถึงความยิ่งใหญ่ พระปัญญา และความรักของพระองค์ ถ้าหากว่ามนุษย์ได้เอาใจใส่ในการรักษาวันสะบาโตเสมอมา จะไม่มีการกราบไหว้รูปเคารพ หรือคนที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าเลย {PP 336.1}

พระเจ้าทรงสถาปนาวันสะบาโตไว้ในสวนเอเดน วันสะบาโตจึงเก่าแก่พอๆ กับโลกเลยทีเดียว บรรพชนทุกรุ่นตั้งแต่สร้างโลกมาก็รักษาวันสะบาโต แต่พอตกเป็นทาสในอียิปต์คนอิสราเอลถูกพวกนายทาสเคี่ยวเข็ญบังคับให้ละเมิดวันสะบาโต จนพวกเขาหลงลืมความสำคัญของวันศักดิ์สิทธิ์นี้เสีย เมื่อพระเจ้าทรงประกาศพระบัญญัติข้อที่สี่จากภูเขาซีนาย คำแรกที่ตรัสไว้คือ “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์” แสดงว่าวันสะบาโตไม่ได้เริ่มมีในตอนนั้น แต่มีมาตั้งแต่แรกเริ่มสร้างโลกแล้ว ซาตานพยายามลบพระเจ้าออกจากใจของมนุษย์ มันจึงโจมตีอนุสรณ์สำคัญนี้ ถ้ามนุษย์ลืมพระผู้สร้างได้ ก็จะไม่พยายามปฏิเสธความชั่ว แล้วซาตานจะได้เหยื่ออย่างง่ายดาย {PP 336.2}

ความเกลียดชังที่ซาตานมีต่อธรรมบัญญัติของพระเจ้าทำให้มันต่อสู้กับพระบัญญัติทั้งสิบประการ ในพระบัญญัติข้อที่หนึ่งสอนให้เรารักและนับถือพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของมนุษย์ทั้งมวล และในทำนองเดียวกันข้อที่ห้าสอนให้นับถือบิดามารดาของตน ถ้ามนุษย์คนใดดูถูกดูแคลนอำนาจของพ่อแม่ ในไม่ช้าก็จะดูหมิ่นอำนาจของพระเจ้า ซาตานจึงพยายามลดความหมายของพระบัญญัติข้อที่ห้า ส่วนชนชาติใกล้เคียงก็ไม่เห็นความสำคัญของการให้เกียรติบุพการี ในบางชาติเมื่อพ่อแม่แก่ชราจนไม่สามารถดูแลตัวเองได้ก็จะถูกทอดทิ้งหรือไม่ก็ถูกฆ่าเสีย พวกเขาไม่ให้เกียรติผู้เป็นแม่ และเมื่อฝ่ายพ่อเสียชีวิตแม่จะต้องยอมอยู่ใต้โอวาทของลูกชายคนโต ถึงแม้ว่าโมเสสจะสอนเรื่องความกตัญญูกตเวที แต่เมื่อคนอิสราเอลห่างเหินจากพระเจ้า พวกเขาก็พลอยทิ้งความสำคัญของพระบัญญัติข้อที่ห้าไปด้วยกันกับพระบัญญัติข้ออื่นๆ {PP 337.1}

ซาตานเป็น “ฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรก” (ยอห์น 8:44 THSV) พอมันได้อำนาจเหนือมนุษยชาติ มันไม่เพียงแต่ยั่วยุให้คนเข่นฆ่ากัน แต่มันท้าทายอำนาจของพระเจ้ามากขึ้นโดยให้การละเมิดพระบัญญัติข้อที่หกเป็นส่วนหนึ่งของศาสนา {PP 337.2}

การแทรกแซงจากศาสนาเทียมเท็จ

ชนชาติโดยรอบเข้าใจพระลักษณะของพระเจ้าอย่างผิดเพี้ยน จนในที่สุดพวกเขาเชื่อว่าต้องใช้มนุษย์เป็นเครื่องบูชายัญเพื่อเทพเจ้าจะประสาทพร คนเหล่านั้นกระทำการอันโหดเหี้ยมทารุณในพิธีต่างๆ ของการกราบไหว้รูปเคารพ ในพิธีเหล่านี้มีการสั่งให้เด็กลุยไฟต่อหน้ารูปเคารพ ถ้าเด็กคนไหนลุยไฟโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ พวกเขาก็ถือเป็นลางดี แสดงว่าเทพเจ้าโปรดปรานและรับเครื่องบูชาแล้ว เด็กคนนั้นจะได้รับการนับหน้าถือตาว่าเป็นที่โปรดปรานของเทพเจ้า ทั้งจะได้รางวัลมากมาย และถ้าเขาทำผิดอะไรก็จะไม่ถูกลงโทษ แต่ถ้าหากว่าเด็กลุยไฟแล้วถูกไฟไหม้เป็นแผล ก็ถือว่าเทพเจ้าไม่พอใจ จะต้องสังเวยชีวิตเด็กคนนั้นเสียเพื่อระงับโทสะของเทพเจ้า ต่อมาเมื่อคนอิสราเอลห่างเหินจากพระเจ้ามากเข้าก็เลียนแบบธรรมเนียมอันน่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ไม่มากก็น้อย {PP 337.3}

นอกจากนี้ก็ยังมีการละเมิดพระบัญญัติข้อที่เจ็ดในนามของการนับถือศาสนาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ มีกามพิธีและธรรมเนียมที่น่ารังเกียจเป็นส่วนหนึ่งของการนมัสการของคนต่างชาติ ในเมื่อเทพเจ้าที่พวกเขานับถือมักมากในกาม ผู้เลื่อมใสศรัทธาจึงพลอยเป็นไปด้วย พวกเขาทำบาปที่ผิดธรรมชาติ ส่วนเทศกาลต่างๆ ของศาสนาก็เละเทะไปหมด {PP 337.4}

หลังการสร้างโลกไม่นาน ก็เริ่มมีการแต่งงานกับภรรยามากกว่า 1 คน เป็นหนึ่งในความบาปที่เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงลงโทษมนุษย์ก่อนน้ำท่วม แต่หลังจากน้ำท่วมโลกแล้ว การมีภรรยามากกว่า 1 คนก็เริ่มแพร่หลายอีกครั้ง ซาตานใช้ความวิริยะอุตสาหะและการไตร่ตรองอย่างดีเพื่อบิดเบือนความหมายของการสมรสให้มีความสำคัญน้อยลง เพราะไม่มีวิธีที่จะทำลายพระฉายาของพระเจ้า และเปิดประตูสู่ความทุกข์และความบาปได้ดีไปกว่าวิธีนี้ {PP 338.1}

ตั้งแต่เริ่มสงครามขึ้นในสวรรค์ ซาตานหมายมั่นที่จะบิดเบือนพระลักษณะของพระเจ้าและยุยงให้มีการขัดขืนต่อพระบัญญัติของพระองค์ งานของมันดูเหมือนประสบความสำเร็จ คนส่วนใหญ่ฟังคำหลอกลวงของซาตานและตั้งตัวต่อสู้พระเจ้า แต่ท่ามกลางความชั่วร้ายที่ดำเนินอยู่ในโลก พระประสงค์ของพระองค์ก็ดำเนินอย่างต่อเนื่องไปสู่ความสำเร็จ พระองค์ทรงสำแดงให้บรรดาผู้มีปัญญาทั่วจักรวาลเห็นความยุติธรรมและพระคุณความดีของพระองค์ ซาตานล่อลวงให้มวลมนุษยชาติล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า แต่พระบุตรของพระเจ้าทรงเปิดหนทางให้มนุษย์สามารถกลับคืนดีกับพระบิดาได้ด้วยการสละพระชนม์ของพระองค์ พระคุณของพระคริสต์ทำให้มนุษย์สามารถปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระบิดาได้ ฉะนั้นท่ามกลางการขัดขืนต่อสู้พระเจ้าในทุกยุคสมัย พระองค์ทรงแยกกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ออกมา คือกลุ่มคน “ที่มีธรรมบัญญัติอยู่ในใจ” (อิสยาห์ 51:7 THSV) {PP 338.2}

ซาตานใช้เล่ห์เพทุบายล่อลวงทูตสวรรค์ และต่อมาในทุกสมัยมันก็หลอกล่อมนุษย์เช่นกัน แล้วมันจะดำเนินตามวิถีนี้ของมันจนถึงที่สุด ถ้ามันประกาศธาตุแท้อย่างเปิดเผยว่ามันกำลังต่อสู้กับพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์ มนุษย์คงจะระวังตัว แต่มันอำพรางตัวเอง และเอาความจริงกับความเท็จมาคลุกเคล้ากัน ซึ่งความเทียมเท็จที่อันตรายที่สุดคือความเท็จที่ถูกผสมเข้ากับความจริง คนจึงรับเอาความเท็จแล้วกลืนเข้าไปจนเป็นเหตุให้หลงผิดและพินาศในที่สุด นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้ลวงโลก แต่วันเวลากำลังย่างกรายเข้ามา คือวันที่ชัยชนะของซาตานจะกลับกลายเป็นความปราชัยตลอดกาล {PP 338.3}

การที่พระเจ้าทรงจัดการกับการกบฏจะทำให้วิธีการของซาตานที่ดำเนินมาอย่างมีเงื่อนงำถูกตีแผ่เปิดโปง ผลลัพธ์แห่งการปกครองของมัน พร้อมกับผลที่ตามมาจากการละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าจะถูกตีแผ่ให้ผู้มีปัญญาทั้งหลายได้เห็น เป็นการพิสูจน์ความถูกต้องของพระบัญญัติอย่างไม่มีข้อสงสัยอีก ทุกคนจะเห็นพ้องกันว่าบรรดาพระราชกิจของพระเจ้าล้วนแต่ดำเนินไปเพื่อประโยชน์แก่ประชากรของพระองค์ตลอดชั่วนิรันดร์ และเพื่อประโยชน์แก่บรรดาโลกอื่นๆ ที่พระองค์ทรงสร้าง ซาตานเองจะสารภาพต่อหน้าผู้คนในจักรวาลว่าการปกครองของพระเจ้ายุติธรรม และพระบัญญัติของพระองค์นั้นชอบธรรม {PP 338.4}

พระรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่

อีกไม่นานพระเจ้าจะทรงลุกขึ้นเพื่อกู้อำนาจของพระองค์ที่ถูกเหยียดหยาม “เพราะดูเถิด พระเจ้ากำลังเสด็จออกมาจากสถานที่ของพระองค์ เพื่อลงโทษชาวแผ่นดินโลก เพราะความบาปผิดของเขาทั้งหลาย” (อิสยาห์ 26:21 TH1971) “แต่ใครจะทนอยู่ได้ในวันที่ท่านมา และใครจะยืนมั่นอยู่ได้เมื่อท่านปรากฏตัว” (มาลาคี 3:2 TH1971) เมื่อครั้งพระเจ้าใกล้เสด็จลงมาประกาศพระบัญญัติของพระองค์จากยอดเขาซีนาย คนอิสราเอลถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้ภูเขาเพราะความบาปของประชาชน เกรงว่าจะต้องพระรัศมีอันโชติช่วงของพระองค์แล้วเสียชีวิต ถ้าหากว่าการประกาศพระบัญญัติเป็นไปด้วยพระสิริและปรากฏการณ์ต่างๆ แห่งฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว การพิพากษาลงโทษผู้ที่ล่วงละเมิดพระบัญญัตินั้นจะน่ากลัวเพียงใด ผู้ที่เหยียบย่ำพระบัญญัติจะทนพระสิริของพระเจ้าได้อย่างไรในวันพิพากษาอันยิ่งใหญ่นั้น เหตุการณ์การประกาศพระบัญญัติที่ภูเขาซีนายมีความน่ากลัวเกรงเพื่อเตือนคนอิสราเอลให้ระลึกถึงการพิพากษา ในคราวนั้นมีเสียงแตรเรียกประชาชนให้เข้ามาฟังพระเจ้า แต่ในวันสุดท้ายจะมีเสียงเทพบดีและแตรของพระเจ้าเรียกชาวพิภพทั้งปวง ทั้งคนเป็นและคนตายให้เข้าเฝ้าพระเจ้าผู้ทรงพิพากษา ในสมัยโมเสสพระบิดาและพระบุตรพร้อมด้วยเหล่าทูตสวรรค์อยู่ที่ภูเขาซีนาย ส่วนวันพิพากษาอันยิ่งใหญ่นั้น พระคริสต์จะเสด็จมา “ด้วยพระรัศมีของพระบิดา พร้อมด้วยบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์” (มัทธิว 16:27 THSV) พระคริสต์จะประทับบนพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ แล้วชนชาติทั้งหลายจะถูกรวบรวมมาอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ {PP 339.1}

เมื่อพระเจ้าเสด็จลงมาที่ยอดภูเขาซีนาย คนอิสราเอลทั้งปวงเห็นพระรัศมีของพระองค์เหมือนไฟที่เผาผลาญ แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาด้วยพระสิริพร้อมเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ พระรัศมีภาพอันเจิดจรัสของพระองค์จะทำให้ทั่วทั้งโลกสว่างไสวเรืองรอง “พระเจ้าของเราเสด็จมา พระองค์มิได้ทรงเงียบอยู่ เพลิงเผาผลาญมาข้างหน้าพระองค์ และรอบพระองค์มีพายุพัดรุนแรง พระองค์ทรงเรียกฟ้าสวรรค์เบื้องบน และแผ่นดินโลก เพื่อจะทรงพิพากษาประชากรของพระองค์” (สดุดี 50:3–4 THSV) ธารไฟพุ่งออกต่อพระพักตร์พระองค์ โลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ แผ่นดินโลกและสรรพสิ่งที่มีอยู่ในนั้นจะถูกเผาไหม้เสียสิ้น “เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏจากสวรรค์ในเปลวไฟเจิดจ้าพร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ พระองค์จะทรงลงโทษบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักพระเจ้าและไม่เชื่อฟังข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้าของเรา” (2 เธสะโลนิกา 1:7–8 TNCV) {PP 339.2}

ตั้งแต่มนุษย์ถูกสร้างขึ้นมาไม่เคยมีครั้งไหนที่ฤทธานุภาพของพระเจ้าปรากฏให้เห็นเท่ากับครั้งที่ประกาศพระบัญญัติสิบประการที่ภูเขาซีนาย “แผ่นดินโลกก็สั่นไหว ท้องฟ้าก็เทฝนลงมาต่อพระพักตร์พระเจ้า คือพระเจ้าแห่งภูเขาซีนาย ต่อพระพักตร์พระเจ้า คือพระเจ้าของอิสราเอล” (สดุดี 68:8 THSV) ท่ามกลางธรรมชาติที่หวั่นไหวอย่างน่ากลัว ประชาชนได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าดุจดังเสียงแตรตรัสออกมาจากหมู่เมฆ ภูเขาสั่นสะท้านตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงยอดเขา ส่วนประชาชนหน้าซีดเผือด ต่างก็ตัวสั่นเทาและซบหน้าลงถึงดิน พระเจ้าผู้ตรัสในคราวนั้นแล้วแผ่นดินโลกสะเทือน ตรัสว่า “อีกครั้งหนึ่งเราจะทำให้แผ่นดินไหว อีกทั้งฟ้าสวรรค์ด้วย” (ฮีบรู 12:26 THSV) พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปล่งเสียงกัมปนาทจากเบื้องบน พระองค์จะทรงเปล่งพระสุรเสียงจากที่ประทับอันบริสุทธิ์” “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกก็หวั่นไหว” (เยเรมีย์ 25:30 TNCV; โยเอล 3:16 THSV) ในวันอันยิ่งใหญ่ที่จะมาถึงนั้น “ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่ถูกม้วนเก็บ” (วิวรณ์ 6:14 THSV) ภูเขาทุกลูกและเกาะทุกเกาะก็จะถูกเคลื่อนไปจากที่เดิม “โลกก็โซเซไปเหมือนคนเมา มันแกว่งไปมาเหมือนเพิง การละเมิดของโลกกดหนักอยู่บนโลก มันล้มลง แล้วจะไม่ลุกขึ้นอีก” (อิสยาห์ 24:20 THSV) {PP 340.1}

“เพราะฉะนั้น ทุกๆ มือจะอ่อนเปลี้ย” “หน้าตาทุกคน…ซีดไป” “ใจของทุกคนจะละลายไป และเขาทั้งหลายจะตกใจกลัว ความเจ็บและความปวดจะยึดกุมเขา” พระเจ้าตรัสว่า “เราจะลงโทษโลกเพราะความชั่วร้าย…เราจะทำให้ความเย่อหยิ่งของคนจองหองสิ้นสุด และทำให้ความยโสของคนโหดร้ายลดต่ำลง” (อิสยาห์ 13:7–8, 11; เยเรมีย์ 30:6 THSV) {PP 340.2}

จุดจบที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงของซาตาน

พระเจ้าประทานแผ่นพระโอวาทแก่โมเสส ณ ยอดเขาซีนาย และเมื่อโมเสสลงมาจากการเข้าเฝ้าพระเจ้า ประชาชนผู้ผิดบาปไม่อาจทนดูแสงที่ส่องเรืองรองบนใบหน้าของท่านได้ ฝ่ายคนที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าก็จะยิ่งทนดูพระพักตร์ของพระบุตรไม่ได้ เมื่อพระองค์เสด็จมาด้วยพระสิริของพระบิดาพร้อมเหล่าทูตสวรรค์ที่ห้อมล้อมพระองค์ พระองค์จะเสด็จมาเพื่อพิพากษาลงโทษผู้ที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติและผู้ที่ปฏิเสธการทรงไถ่ของพระองค์ ในวันสุดท้ายคนเหล่านั้นที่ไม่ใส่ใจในพระบัญญัติและเหยียบย่ำพระโลหิตของพระคริสต์ พร้อมด้วย “กษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต บรรดานายทหารใหญ่ พวกเศรษฐี พวกผู้มีอำนาจ” จะซ่อนตัว “อยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา” และจะร้องขอต่อภูเขากับโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ให้พ้นจากพระพักตร์ของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่ง และจากพระพิโรธของพระเมษโปดก เพราะว่าวันสำคัญแห่งพระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว และใครจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เล่า” (วิวรณ์ 6:15–17 THSV) “ในวันนั้นคนจะเหวี่ยงรูปเคารพของตน…อันทำด้วยเงินและรูปเคารพของตนที่ทำด้วยทองคำ…ไปยังตัวตุ่นและตัวค้างคาว เพื่อเขาจะเข้าถ้ำหินและเข้าซอกผา ให้พ้นจากความน่าเกรงขามของพระเจ้า และจากพระสิริแห่งความโอ่อ่าตระการของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงลุกขึ้นกระทำให้โลกสั่นสะท้าน” (อิสยาห์ 2:20–21 TH1971) {PP 340.3}

เมื่อนั้นจะเห็นว่าการกบฏของซาตานมีแต่นำหายนะมาสู่ตนเองและทุกคนที่เลือกอยู่ใต้การปกครองของมัน มันเคยบอกว่า หากละเมิดพระบัญญัติแล้ว ก็จะได้ประโยชน์อย่างมาก แต่สุดท้ายทุกคนจะเห็นว่า “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23 TH1971) “นี่แน่ะ วันนั้นจะมาถึง คือวันที่จะเผาผลาญเหมือนเตาอบ เมื่อคนที่เย่อหยิ่งทั้งสิ้น และคนที่ประกอบการอธรรมทั้งหมดจะเป็นเหมือนตอข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาหมด จนไม่มีรากหรือกิ่งเหลืออยู่เลย” (มาลาคี 4:1 THSV) ซาตานคือรากแห่งความบาปทุกอย่าง และคนที่กระทำชั่วก็คือกิ่ง ทั้งซาตานและผู้ที่ทำบาปจะถูกตัดออกอย่างสิ้นเชิง พระเจ้าจะทรงกำจัดความบาปให้หมดสิ้น พร้อมด้วยความทุกข์ทั้งหลายกับความเสียหายที่เกิดขึ้นเพราะบาป ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “พระองค์…ทรงทำลายคนอธรรม แล้วทรงลบชื่อพวกเขาออกไปเป็นนิตย์นิรันดร์ ศัตรูได้ถึงจุดจบในความพินาศตลอดกาล” (สดุดี 9:5–6 THSV) {PP 341.1}

ท่ามกลางมรสุมแห่งการลงโทษจากพระเจ้า จะไม่มีอะไรทำให้ลูกทั้งหลายของพระองค์ต้องกลัว “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นที่ลี้ภัยสำหรับประชากรของพระองค์ เป็นที่มั่นสำหรับประชากรอิสราเอล” (โยเอล 3:16 TNCV) ในวันที่ผู้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้าต่างคร้ามกลัวและพินาศนั้น สำหรับผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติกลับเป็นวันแห่ง “ความยินดีเป็นล้นพ้นสุดจะพรรณนา” (1 เปโตร 1:8 THSV) พระเจ้าตรัสว่า “จงรวบรวมผู้จงรักภักดีของเรามาให้เรา ผู้ทำพันธสัญญากับเราด้วยเครื่องสัตวบูชา ฟ้าสวรรค์ประกาศความชอบธรรมของพระองค์ เพราะพระเจ้านั่นแหละทรงเป็นผู้พิพากษา” (สดุดี 50:5–6 THSV) {PP 341.2}

“แล้วเจ้าจะสังเกตเห็นความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนอธรรม ระหว่างคนที่ปรนนิบัติพระเจ้ากับคนที่ไม่ปรนนิบัติพระองค์” (มาลาคี 3:18 THSV) “จงฟังเรา พวกเจ้าผู้รู้จักความชอบธรรม ชนชาติที่มีธรรมบัญญัติของเราอยู่ในใจ” “นี่แน่ะ เราได้เอาจอกแห่งความโซเซมาจากมือของเจ้าแล้ว…เจ้าจะไม่ต้องดื่มอีกต่อไป” “เราเอง คือเราเองผู้ชูใจเจ้า” (อิสยาห์ 51: 7, 22, 12 THSV) “‘แม้ภูเขาจะถูกเขย่า และเนินเขาถูกเขยื้อนไป แต่ความรักมั่นคงที่เรามีต่อเจ้าจะไม่คลอนแคลน และพันธสัญญาแห่งสันติภาพของเราจะไม่สูญสิ้นไป’ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเมตตาเจ้าตรัสไว้ดังนั้น” (อิสยาห์ 54:10 TNCV) {PP 341.3}

แผนการสำคัญในการช่วยมนุษย์ให้รอดส่งผลให้โลกกลับคืนดีกับพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ ทุกอย่างที่สูญเสียเนื่องจากความบาปก็จะกลับคืนมา ไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น แต่โลกจะได้รับการไถ่คืนให้เป็นที่อาศัยนิรันดร์แก่ผู้ที่เชื่อฟัง ซาตานต่อสู้มาตลอด 6,000 ปีเพื่อยึดครองโลกไว้ในมือ แต่ในวันนั้นพระประสงค์แรกในการสร้างโลกจะสำเร็จ “บรรดาผู้บริสุทธิ์ขององค์ผู้สูงสุดจะรับราชอาณาจักร และถือกรรมสิทธิ์ราชอาณาจักรนั้นสืบๆ ไปเป็นนิตย์นิรันดร์” (ดาเนียล 7:18 THSV) {PP 342.1}

“ตั้งแต่ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นจนถึงที่ดวงอาทิตย์ตก พระนามของพระเจ้าเป็นที่สรรเสริญ” (สดุดี 113:3 TH1971) “ในวันนั้นจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงพระองค์เดียวและมีพระนามของพระองค์เพียงพระนามเดียวเท่านั้น” “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเป็นกษัตริย์ครองทั้งโลก” (เศคาริยาห์ 14:9 TNCV) พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระวจนะของพระองค์ปักแน่นอยู่ในสวรรค์เป็นนิตย์” “ข้อบังคับของพระองค์ก็ไว้ใจได้ สถาปนาอยู่เป็นนิจกาล” (สดุดี 119:89; 111:7–8 TH1971) ข้อบังคับของพระเจ้าที่ซาตานเกลียดชังและมุ่งทำลายจะเป็นที่เชิดชูทั่วทั้งจักรวาลที่ไร้ความบาป “เพราะแผ่นดินโลกได้เกิดหน่อของมัน และสวนทำให้สิ่งที่หว่านในนั้นงอกขึ้นมาฉันใด พระเจ้าจะทรงทำให้ความชอบธรรมและความสรรเสริญ งอกขึ้นมาต่อหน้าบรรดาประชาชาติฉันนั้น” (อิสยาห์ 61:11 TH1971) {PP 342.2}