บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 214. เมืองโสโดมถึงคราวหายนะ

14. เมืองโสโดมถึงคราวหายนะ

เมืองสวยที่โสมม

เมืองโสโดมตั้งอยู่บนที่ราบ เป็นเมืองที่สวยงามที่สุดในลุ่มแม่น้ำจอร์แดน มีความงดงามอุดมสมบูรณ์ “เหมือนพระอุทยานของพระเจ้า” (ปฐมกาล 13:10 TH1971) มีพืชผักอันเขียวขจีเจริญงอกงามเต็มไปหมด มีต้นปาล์ม ต้นมะกอก และเถาองุ่น ดอกไม้ส่งกลิ่นหอมฟุ้งกระจายตลอดปี พืชพรรณธัญญาหารปกคลุมท้องทุ่ง มีฝูงวัว ฝูงแพะแกะอยู่บนเนินเขารอบๆ ศิลปกรรมและการพาณิชย์ช่วยเพิ่มสีสันความเจริญให้กับเมืองที่งดงามแห่งนี้ ความมั่งคั่งจากตะวันออกเป็นที่ประดับประดาราชวัง ขบวนอูฐจากทะเลทรายได้นำสิ่งของมีค่าเข้ามาเพื่อค้าขายในตลาด ชาวเมืองแทบจะไม่ต้องทำงานอะไรเลยก็ได้ทุกสิ่งที่ต้องการในชีวิต ตลอดปีจึงดูเหมือนมีแต่งานเลี้ยงฉลองกัน {PP 156.1}

ความอุดมสมบูรณ์ที่มีทั่วไปทำให้คนหยิ่งยโสและใช้ชีวิตอย่างสุรุ่ยสุร่าย การมีเงินมากกับการอยู่เฉยๆ ทำให้จิตใจแข็งกระด้างเพราะไม่เคยต้องลำบากขาดแคลนหรือแบกความทุกข์อะไร ความร่ำรวยและการอยู่ว่างยิ่งทำให้คนเหล่านั้นรักความสนุกจนปล่อยตัวไปกับการสนองกิเลสตัณหา อย่างที่ผู้เผยพระวจนะท่านหนึ่งเขียนไว้ว่า “ดูเถิด นี่แหละเป็นความชั่วของโสโดมน้องสาวของเจ้า คือตัวเขาและลูกสาวของเขามีความจองหอง มีอาหารเหลือรับประทานและมีความสบายเกิน ไม่ช่วยเหลือคนยากจนและคนขัดสน เขาเย่อหยิ่งและกระทำสิ่งลามกต่อหน้าเรา เพราะฉะนั้นเมื่อเราเห็นแล้ว เราจึงขจัดเขาเสีย” (เอเสเคียล 16:49–50 TH1971) สำหรับมนุษย์แล้ว ไม่มีอะไรที่น่าปรารถนามากยิ่งไปกว่าความร่ำรวยและเวลาว่าง แต่สิ่งเหล่านี้ได้นำไปสู่ความบาปที่เป็นเหตุให้เมืองต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำจอร์แดนต้องถูกทำลาย การที่พวกเขาอยู่เฉยๆ ใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์ทำให้เขาตกเป็นเหยื่อให้ซาตานทดลอง และแทนที่จะมีลักษณะเหมือนพระฉายาของพระเจ้า ก็กลับกลายเป็นเหมือนซาตาน การอยู่เฉยๆ เป็นสภาพที่เหมือนถูกสาปแช่งอย่างหนักที่สุด เพราะเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมทุกรูปแบบ การอยู่เฉยๆ ทำให้สมองอ่อนแอ ความเข้าใจผิดเพี้ยน และทำให้จิตวิญญาณเสื่อมลง ซาตานคอยซุ่มอยู่พร้อมที่จะทำลายคนที่ไม่เฝ้าระวัง คือคนที่จะหลงตามการอำพรางตัวของซาตานได้ง่ายเพราะมีเวลาว่างมาก การล่อลวงของซาตานได้ผลมากที่สุดเมื่อมันเข้าหาในช่วงเวลาที่คนกำลังว่างงาน {PP 156.2}

เมืองโสโดมเต็มไปด้วยความรื่นเริงสำมะเลเทเมา ชาวเมืองทำตัวต่ำช้าสนองกิเลสอย่างรุนแรงไม่ยับยั้งชั่งใจ พวกเขาท้าทายพระเจ้าและต่อต้านพระบัญญัติของพระองค์อย่างเปิดเผย และสนุกกับการทารุณ ถึงแม้จะมีตัวอย่างของคนรุ่นก่อนน้ำท่วมโลกให้เห็น ทั้งตระหนักแล้วว่าพระพิโรธของพระเจ้าได้ทำลายคนเหล่านั้นก็ตาม แต่พวกเขายังเลียนแบบความชั่วช้าสามานย์นั้น {PP 157.1}

เมื่อโลทย้ายไปอยู่เมืองโสโดมใหม่ๆ ความชั่วยังไม่ครอบงำชาวเมืองทั้งหมด พระเจ้าทรงเมตตาพวกเขาโดยประทานแสงแห่งความจริงส่องสว่างท่ามกลางศีลธรรมที่มัวหมอง เมื่ออับราฮัมช่วยกู้เชลยศึกจากชาวเอลาม พลเมืองโสโดมได้รู้ความจริง อับราฮัมไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าในสายตาชาวเมืองโสโดม คนเหล่านั้นเคยเยาะเย้ยท่านที่นมัสการพระเจ้าที่มองไม่เห็น แต่ชัยชนะของอับราฮัมต่อศัตรูที่มีจำนวนมากกว่า ทั้งการจัดการเรื่องเชลยศึกกับของที่ริบมาอย่างใจกว้างทำให้ชาวเมืองโสโดมประหลาดใจและนับถืออับราฮัม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะยกย่องท่านว่ากล้าหาญชำนาญศึกแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าชัยชนะนั้นเป็นเพราะอำนาจของพระเจ้า อุปนิสัยของอับราฮัมที่สง่างามไม่เห็นแก่ตัวช่างผิดแผกไปจากชาวเมืองโสโดมที่แสวงหาแต่ความสุขส่วนตัว สิ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าศาสนาที่อับราฮัมนับถือด้วยความซื่อสัตย์แน่วแน่นั้นเหนือกว่าศาสนาของชาวเมืองโสโดม {PP 157.2}

ลำแสงสุดท้าย

เมื่อเมลคีเซเดคอวยพรอับราฮัม ท่านยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ให้กำลังและชัยชนะ โดยกล่าวว่า “ขอพระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน จงโปรดให้อับรามได้รับพระพรเถิด สาธุการแด่พระเจ้าผู้สูงสุดผู้ทรงมอบศัตรูทั้งหลายไว้ในเงื้อมมือของท่าน” (ปฐมกาล 14:19 TH1971) พระเจ้าตรัสกับชาวเมืองโสโดมผ่านเหตุการณ์การทรงนำของพระองค์ แต่พวกเขาปฏิเสธลำแสงสุดท้าย เช่นเดียวกับความสว่างทั้งหมดที่ส่องมาก่อนหน้านั้น {PP 157.3}

บัดนี้ค่ำคืนสุดท้ายของเมืองโสโดมกำลังย่างกรายเข้ามา พระพิโรธเริ่มทอดเงาเหนือเมืองที่จวนจะพินาศ แต่ชาวเมืองกลับไม่สังเกต ขณะที่ทูตสวรรค์เข้ามาใกล้เพื่อทำลาย ชาวเมืองกำลังเพ้อฝันถึงการบันเทิงและความฟุ้งเฟ้อ วันสุดท้ายนั้นก็เหมือนกับทุกๆ วันที่ผ่านไป ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นที่สวยงามไร้พิษภัย ทิวทัศน์อันงดงามหาที่เปรียบมิได้อาบด้วยแสงตะวันที่กำลังลับขอบฟ้า ความเย็นสบายในเวลาพลบค่ำดึงดูดชาวเมืองให้ออกมาจากที่พักอาศัย คนที่แสวงหาความบันเทิงเริงรมย์ต่างพากันกระทำกิจกรรมตามใจปรารถนาอย่างพลุกพล่าน {PP 157.4}

ในเวลาโพล้เพล้มีคนแปลกถิ่น 2 คน เดินมาใกล้ถึงประตูเมือง ดูเหมือนว่าเดินทางมาไกลและกำลังจะแวะพักแรม นักเดินทางทั้งสองดูแล้วไม่มีอะไรพิเศษ ไม่มีใครมองออกว่าสองคนนี้นำการลงโทษจากพระเจ้ามา ฝูงชนที่ชอบสนุก กล้าลองกล้าเสี่ยงเหล่านั้น ไม่คิดไม่ฝันว่าการปฏิบัติต่อทูตสวรรค์ทั้งสองในคืนนั้นจะเป็นการชี้ชะตาว่าเมืองโสโดมที่หยิ่งยโสจะถูกทำลายเพราะความบาปมาถึงจุดอิ่มตัวแล้ว แต่มีชายคนหนึ่งเอาใจใส่คนแปลกหน้าทั้งสอง และเชิญไปที่บ้าน โลทไม่รู้ว่าทั้งคู่นี้เป็นทูตสวรรค์ แต่ความสุภาพและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เป็นนิสัยของเขาและเป็นส่วนหนึ่งของศาสนาที่เขานับถือเพราะได้รับแบบอย่างจากอับราฮัม หากโลทไม่ได้ฝึกนิสัยเป็นคนสุภาพก็คงถูกปล่อยให้พินาศไปกับชาวเมืองโสโดมก็เป็นได้ หลายครอบครัวไม่ต้อนรับคนแปลกหน้า จึงปิดประตูใส่ผู้ประกาศของพระเจ้า อันเป็นเหตุให้พวกเขาพลาดจากความหวัง สันติสุข และพระพรที่คนเหล่านั้นนำมาให้ {PP 158.1}

การกระทำทุกอย่างในชีวิตไม่ว่าเล็กหรือใหญ่จะแพร่ผลออกไปไม่ว่าดีหรือชั่ว ความซื่อสัตย์ในหน้าที่ที่ดูเล็กน้อยที่สุดอาจนำมาซึ่งพระพรอันแสนล้ำค่า แต่การเพิกเฉยต่อเรื่องเล็กน้อยที่สุดอาจนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างสิ้นเชิง อุปนิสัยถูกทดสอบด้วยสิ่งเล็กน้อยนี้เอง พระเจ้าพอพระทัยเมื่อเรายินดีเสียสละโดยไม่เสแสร้งเป็นประจำทุกวัน เราไม่ควรอยู่เพื่อตัวเองแต่ควรอยู่เพื่อผู้อื่น ชีวิตของเราจะเป็นพรได้ก็ต่อเมื่อเราไม่คำนึงถึงตัวเองและคอยมีน้ำใจช่วยเหลือผู้อื่น การเอาใจใส่สิ่งเล็กน้อยและมารยาทพื้นฐานบวกกันเข้าคือความสุขในชีวิต หากแต่การละเลยต่อสิ่งเหล่านี้นี่เองที่ทำให้โลกมีความทุกข์ตรมถึงเพียงนี้ {PP 158.2}

คนแปลกหน้ามาเยือน

โลทเคยสังเกตว่าคนต่างถิ่นมักจะถูกทำร้ายในเมืองโสโดม เขาจึงรับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนแปลกหน้าเมื่อเข้ามาในเมืองด้วยการเชิญไปพักที่บ้านของตน โลทนั่งอยู่ที่ประตูเมืองขณะที่ชาย 2 คนนั้นเดินเข้ามา เขาเฝ้าสังเกตแล้วลุกขึ้นไปต้อนรับน้อมคำนับอย่างสุภาพ กล่าวว่า “เจ้านายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ขอท่านแวะไปบ้านข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ค้างสักคืนหนึ่ง” แต่ทั้งสองดูจะปฏิเสธน้ำใจของโลท ตอบว่า “อย่าเลย เราจะค้างคืนที่ลานเมือง” ที่ตอบอย่างนี้เพราะมีเป้าหมายอยู่ 2 ประการ ประการแรกเพื่อทดสอบความจริงใจของโลท ประการที่สองเพื่อให้ดูเหมือนทูตทั้งสองไม่รู้ว่าคนในเมืองโสโดมนั้นเป็นเช่นไร เหมือนว่าการค้างคืนที่ลานเมืองจะปลอดภัยอย่างไรอย่างนั้น คำตอบนี้ยิ่งทำให้โลทมีความตั้งใจที่จะไม่ปล่อยให้ทั้งสองคนนี้ต้องได้รับอันตรายจากน้ำมือของคนพาล จึงคะยั้นคะยอจนพวกเขายอมและเดินตามโลทไปที่บ้าน {PP 158.3}

โลทใช้เส้นทางอ้อมพาคนแปลกหน้าทั้งสองกลับบ้าน พยายามซ่อนเจตนาจากคนว่างงานที่ประตูเมือง แต่สองคนนั้นตกปากรับคำช้าเกินไป และโลทยืนคะยั้นคะยออยู่นานจึงมีคนสังเกตเห็น คืนนั้นก่อนเข้านอน กลุ่มอันธพาลมาล้อมบ้าน มีคนมากมายทั้งหนุ่มทั้งแก่เร่าร้อนด้วยกิเลสตัณหา แขกทั้งสองเพิ่งจะไถ่ถามถึงลักษณะของชาวเมืองก่อนหน้าไม่นาน โลทก็ได้เตือนไว้ไม่ให้ออกจากประตูบ้านตอนกลางคืน ไม่ทันขาดคำ มีเสียงโห่ร้องเย้ยหยันของฝูงชน ตะโกนสั่งให้นำชายทั้งสองออกมา {PP 159.1}

โลทรู้ดีว่าถ้ายั่วยุให้โมโหคนเหล่านี้อาจจะพังบ้านเข้ามาได้โดยง่าย เขาจึงออกไปพยายามเกลี้ยกล่อมด้วยเหตุผล “พี่น้องของข้าเอ๋ย ข้าขอเสียทีเถอะ อย่ากระทำการโหดร้ายเช่นนี้เลย” โลทเรียกเพื่อนบ้านเป็นพี่น้อง หวังจะไกล่เกลี่ยและให้พวกเขาละอายต่อแผนการชั่วของตน แต่คำพูดของโลทเหมือนการเอาน้ำมันราดบนกองไฟ พวกเขาโกรธแค้นคำรามเหมือนพายุกล้า เยาะเย้ยโลทที่ตั้งตัวเองเป็นตุลาการตัดสินความ ขู่ว่าจะกระทำต่อเขายิ่งกว่าที่คิดจะทำต่อแขกเสียอีก พวกเขาพุ่งใส่โลทและคงฉีกเขาเป็นชิ้นๆ หากทูตสวรรค์ไม่ช่วยไว้ ทูตสวรรค์ทั้งสอง “ยื่นมือออกไปดึงตัวโลทเข้ามาในบ้านแล้วปิดประตูเสีย” เหตุการณ์ต่อมาเผยให้เห็นว่าแขกของโลทไม่ใช่คนธรรมดา “ท่านทั้งสองทำให้พวกคนที่อยู่หน้าประตูบ้านนั้นตาบอดหมด ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็เที่ยวคลำหาประตูจนอ่อนใจ” การที่พระเจ้าทรงทำให้ตาบอดนั้นน่าจะทำให้พวกเขาเกรงกลัวและเลิกราไป แต่เนื่องจากจิตใจบอดไปจึงไม่สำนึกผิด บาปที่ทำในคืนนั้นคงไม่เลวร้ายไปกว่าที่เคยทำกันมาก่อน แต่นานแล้วที่พวกเขาประมาทต่อพระเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงร้องขอให้กลับใจ บัดนี้พระเมตตานั้นจึงยุติลง ชาวเมืองโสโดมได้พ้นขีดการอดกลั้นพระทัยของพระเจ้า คือเส้นแบ่งอันลึกล้ำระหว่างพระกรุณาและพระพิโรธของพระองค์ ไฟพระพิโรธกำลังจะถูกเทลงมาเหนือที่ราบสิดดิม {PP 159.2}

เผยการทำลาย

ทูตสวรรค์ได้เปิดเผยแผนการของตนให้โลททราบว่า “เรากำลังจะทำลายเมืองนี้แล้ว เพราะเสียงร้องกล่าวโทษประชาชนของเมืองนี้ต่อพระเจ้าดังนักหนา และพระเจ้าทรงใช้เรามาทำลายเมืองนี้เสีย” คนแปลกหน้าที่โลทพยายามปกป้องอยู่นั้นขณะนี้กลับสัญญาว่าจะคุ้มครองเขา และช่วยสมาชิกครอบครัวที่จะยอมหนีออกจากเมืองที่ชั่วร้ายไปด้วยกัน ฝูงชนคลำหาประตูจนอ่อนล้าแล้วก็แยกย้ายกันไป โลทจึงออกไปเตือนลูกๆ และย้ำคำของทูตสวรรค์ว่า “ลุกขึ้นออกจากที่นี้เถิด เพราะพระเจ้ากำลังจะทำลายเมืองนี้” แต่พวกเขาคิดว่าโลทล้อเล่นและหัวเราะหาว่าโลทกลัวเพราะความงมงาย ส่วนลูกสาวเอนเอียงไปตามสามี พวกเขาอยู่สุขสบาย ไม่เห็นทีท่าว่าจะเกิดอันตรายแต่อย่างใด ทุกอย่างดำเนินไปตามที่เคยเป็น พวกเขามีข้าวของมากมายและไม่เชื่อว่าเมืองโสโดมที่สวยงามแห่งนี้จะถูกทำลายได้ {PP 159.3}

โลทเดินคอตกกลับไปถึงบ้านแล้วเล่าเรื่องที่ตนล้มเหลว ทูตสวรรค์สั่งให้เขาลุกขึ้นนำภรรยาและลูกสาว 2 คนที่ยังอยู่ที่บ้านหนีออกจากเมือง แต่โลทยังลังเลอยู่ ถึงแม้จะรู้สึกสลดใจอยู่ทุกวันที่เห็นความรุนแรงในเมือง แต่เขาไม่เข้าใจว่าสิ่งเหล่านั้นต่ำช้าเลวทรามขนาดไหน เขาไม่เข้าใจว่าการที่พระเจ้าจะทรงลงโทษเพื่อระงับความบาปมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ลูกบางคนยังคงยึดติดกับเมืองโสโดม และภรรยาบอกว่าจะไม่ไปถ้าลูกไม่ไปด้วย แค่คิดที่จะพรากจากคนที่ตนรักมากที่สุดก็ดูหนักเกินที่จะแบกได้ ยากนักที่จะทิ้งบ้านอันสวยหรูและทรัพย์สมบัติที่สะสมมาตลอดชีวิตการทำงาน แล้วออกไปพเนจรอย่างคนอนาถา โลทมึนซึมไปด้วยความเศร้าสลดใจ จึงรีรอไม่ยอมออกเดินทาง หากไม่ใช่เพราะทูตสวรรค์พวกเขาคงตายไปพร้อมกับการทำลายเมืองโสโดม ทูตสวรรค์จับมือโลท ภรรยา และลูกสาวแล้วพาออกไปนอกเมือง {PP 160.1}

ถึงเวลาหนี

ทูตสวรรค์ละโลทและครอบครัวไว้ที่นั่นแล้วกลับไปเพื่อทำลายเมืองโสโดม แต่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ใกล้โลท ในบรรดาเมืองแห่งที่ราบสิดดิมนั้นหาคนชอบธรรมสัก 10 คน ก็ไม่ได้ แต่พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของอับราฮัม โดยช่วยชีวิตคนคนเดียวที่ยำเกรงพระองค์ คำสั่งของทูตสวรรค์รุนแรงจนโลทตกใจ “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าเหลียวหลังหรือหยุด ณ ที่ใดในลุ่มน้ำ หนีไปที่เนินเขา มิฉะนั้นเจ้าจะเสียชีวิต” หากลังเลชักช้าก็มีแต่จะตาย ถ้ายังอ้อยอิ่ง หันกลับไปมอง หรือมัวแต่เสียดายบ้านที่สวยงามก็คงต้องเสียชีวิต การลงโทษพร้อมแล้วหากแต่รอให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้หาทางหนีรอดไปได้เท่านั้น {PP 160.2}

แต่โลทสับสนและกลัวจึงอ้อนวอนขอร้องว่าไม่อาจทำตามคำสั่ง เกลือกว่าจะมีเหตุร้ายไล่ทันแล้วทำให้ตนต้องตาย เขาอาศัยอยู่ในเมืองชั่วท่ามกลางคนที่ไม่เชื่อจนความเชื่อของตนเองริบหรี่ลง ทั้งๆ ที่พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง แต่เขากลับอ้อนวอนขอชีวิตเสมือนว่าพระองค์ผู้ทรงดูแลและแสดงความรักแก่เขานั้นคงไม่ทรงช่วยชีวิตเขากระมัง เขาควรไว้วางใจพระเจ้าจนถึงที่สุด ด้วยการมอบชีวิตและความปรารถนาไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์อย่างไม่สงสัย แต่โลทก็เหมือนกับคนอีกมากมายที่พยายามวางแผนการให้กับตัวเอง จึงทูลว่า “ดูซิ เมืองโน้นอยู่ใกล้พอที่จะหนีไปถึงได้ และเป็นเมืองเล็ก ขอให้ข้าพเจ้าหนีไปที่นั่น เมืองนั้นเป็นเมืองเล็กๆ แล้วชีวิตของข้าพเจ้าจะรอด” เมืองที่พูดถึงนี้คือเบ-ลา ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นโศอาร์ อยู่ห่างจากเมืองโสโดมไม่กี่กิโลเมตร เป็นเมืองที่ชั่วร้ายและจะต้องถูกทำลายเช่นเดียวกัน แต่โลทขอให้พระเจ้าทรงละเว้นเมืองนั้น อ้างว่าเป็นคำขอเพียงเล็กน้อย แล้วพระองค์ทรงยินยอมตามที่เขาต้องการโดยทรงรับรองว่า “เราอนุญาตเรื่องนี้ คือเราจะไม่ทำลายเมืองที่เจ้าพูดถึงนั้นเสีย” พระเมตตาคุณของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์ที่หลงผิดช่างประเสริฐเสียนี่กระไร {PP 161.1}

ผลการลังเล

ทูตสวรรค์สั่งอย่างหนักแน่นอีกครั้งให้เร่งรีบเพราะพายุไฟจะคอยอยู่อีกไม่นาน แต่ในกลุ่มผู้หนีภัย ภรรยาของโลทยังเสี่ยงหันหลังไปมองเมืองที่กำลังพินาศจึงกลายเป็นอนุสรณ์แห่งการลงโทษของพระเจ้า ถ้าหากโลทไม่ลังเลที่จะทำตามคำสั่งของทูตสวรรค์ตั้งแต่แรก แต่รีบหนีไปยังภูเขาโดยไม่คัดค้านต่อรอง ภรรยาของเขาคงจะหนีรอดด้วย อิทธิพลของเขาคงช่วยให้เธอไม่ทำบาปอันเป็นเหตุให้เธอต้องพินาศ แต่การลังเลถ่วงเวลาทำให้เธอไม่เอาใจใส่คำตักเตือนของพระเจ้า ร่างกายของเธอออกจากเมืองแล้วก็จริง แต่ใจนั้นยังอยู่ในเมืองโสโดม ภรรยาของโลทจึงพินาศไปพร้อมกับเมืองนั้น เธอคัดค้านต่อการลงโทษของพระเจ้าเพราะสิ่งของและลูกๆ ต้องถูกทำลายไปด้วย ถึงแม้พระเจ้าทรงนำเธอออกมาจากเมืองคนทรามด้วยพระกรุณายิ่ง แต่เธอกลับคิดว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม เพราะสมบัติที่สะสมมาตลอดชีวิตถูกทำลาย แทนที่จะสำนึกในพระคุณที่ทรงช่วยให้พ้นภัย เธอกลับประมาทและปรารถนาใช้ชีวิตเหมือนกับคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการทรงเตือน ความบาปของเธอพิสูจน์ว่าเธอไม่สมควรมีชีวิตเพราะไม่สำนึกในพระคุณที่ไว้ชีวิตเธอ {PP 161.2}

เราควรระวังระไว ไม่เพิกเฉยต่อพระคุณของพระเจ้าที่ช่วยเราให้รอด มีคริสเตียนบางคนพูดว่า ‘ถ้าลูกกับแฟนไม่รอด ฉันก็ไม่อยากรอดด้วย’ เขาคิดว่าสวรรค์คงไม่พิเศษถ้าขาดคนที่เขารัก แต่คนที่พูดเช่นนี้ไม่เข้าใจว่าเขาเองมีความสัมพันธ์อย่างไรกับพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณาต่อเขา และลืมว่าพระเจ้าผู้ทรงสร้างและทรงไถ่ ทรงผูกพันกับเขาด้วยความรัก เขาจึงควรรับใช้และถวายเกียรติพระองค์ด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าทรงเชื้อเชิญทุกคนด้วยพระเมตตา แล้วเราจะหันหลังให้พระผู้ช่วยให้รอดที่อ้อนวอนด้วยความรักเพียงเพราะเพื่อนของเราปฏิเสธอย่างนั้นหรือ การไถ่มนุษย์คนหนึ่งให้รอดนั้นแสนล้ำค่า พระเยซูทรงช่วยเราทั้งหลายให้รอดพ้นโดยทรงยอมเสียค่าไถ่อันมหาศาล ทุกคนที่ซาบซึ้งและเห็นคุณค่าของการทรงเสียสละ ทั้งคุณค่าของจิตวิญญาณจะไม่ปฏิเสธพระเมตตาของพระเจ้าเพราะเหตุว่าคนอื่นไม่ยอมรับ การที่คนอื่นดูแคลนการปกครองโดยชอบของพระเจ้า ควรกระตุ้นให้เรามีความกระตือรือร้นมากยิ่งขึ้น เพื่อเราจะได้ให้เกียรติพระเจ้าและพยายามนำทุกคนมารับเอาความรักของพระองค์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ {PP 162.1}

หายนะที่เฉียบพลัน

“เมื่อโลทมาถึงเมืองโศอาร์ตะวันก็ขึ้นแล้ว” ชาวเมืองแห่งที่ราบสิดดิมมองแสงตะวันยามเช้าเจิดจ้าเป็นลางดีว่าจะมีแต่ความสงบสันติและความเจริญ ถนนเริ่มคึกคักไปด้วยผู้คน บ้างก็เพื่อประกอบธุรกิจส่วนตัว บ้างก็มุ่งหน้าเสพสุขในวันใหม่ บรรดาลูกเขยของโลทกำลังล้อเลียนคำตักเตือนและความกลัวของพ่อตาว่าเป็นความคิดของชายชราที่เบาปัญญา แต่คนไม่คาดว่าท้องฟ้าที่โปร่งใสจะมีเสียงฟ้าร้องได้ฉันใด ชาวเมืองโสโดมก็คิดไม่ถึงในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นฉันนั้น เพราะในทันใดนั้นมีพายุโหมปะทะ พระเจ้าทรงเทไฟและกำมะถันลงมาบนเมืองต่างๆ ในที่ราบสิดดิมที่เคยอุดมสมบูรณ์ จนราชวัง วิหาร คฤหาสน์ เรือกสวนไร่นา และฝูงชนนักเสพสุขที่คืนก่อนดูถูกทูตสวรรค์ทั้งหมดวอดวายในกองเพลิง กลุ่มควันพวยพุ่งขึ้นดุจดังควันจากเตาใหญ่ ที่ราบอันสวยงามแห่งสิดดิมกลายเป็นซากปรักหักพัง ไม่มีผู้อาศัยหรือสร้างเมืองขึ้นที่นั่นอีก เป็นอุทาหรณ์ให้คนในทุกยุคสมัยตระหนักว่าพระเจ้าจะทรงลงโทษการล่วงละเมิดอย่างแน่นอน {PP 162.2}

เปลวเพลิงที่เผาผลาญบรรดาเมืองแห่งที่ราบสิดดิมส่งสัญญาณเตือนภัยมาจนถึงสมัยของเรา เป็นบทเรียนอันน่าจดจำว่า แม้พระองค์จะทรงเมตตาและอดกลั้นพระทัยต่อคนบาปไว้ช้านาน แต่มีขีดจำกัดที่พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ล่วงล้ำในการทำบาป เมื่อเลยขีดนั้นพระองค์จะทรงถอนพระเมตตาและลงโทษ {PP 162.3}

พระผู้ช่วยให้รอดของโลกตรัสว่ามีความบาปบางอย่างที่หนักกว่าความบาปที่เป็นเหตุให้เมืองโสโดมกับเมืองโกโมราห์ต้องถูกทำลาย คือคนที่ได้ยินเสียงข่าวประเสริฐเชื้อเชิญคนบาปให้กลับใจแต่กลับไม่ใส่ใจ พระเจ้าทรงถือว่ามีความผิดมากกว่าชาวเมืองโสโดม และยังมีความบาปที่หนักยิ่งกว่านั้นอีก คือคนที่อ้างว่ารู้จักพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์แต่อุปนิสัยและชีวิตประจำวันของเขากลับปฏิเสธพระองค์ เมื่อคำนึงถึงคำเตือนของพระเยซู ชะตากรรมของเมืองโสโดมเป็นบทเรียนสำคัญไม่เพียงแต่สำหรับคนที่กำลังทำบาปอย่างเปิดเผย แต่สำหรับทุกคนที่ไม่ใส่ใจกับแสงสว่างและโอกาสจากสวรรค์ {PP 165.1}

โอกาสกลับใจ

พระเยซูตรัสแก่คริสตจักรเอเฟซัสว่า “เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักดั้งเดิมของเจ้า เหตุฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าได้หล่นจากมาแล้วนั้น จงกลับใจเสียใหม่และประพฤติตามอย่างเดิม มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าและจะยกคันประทีปของเจ้าออกจากที่ เว้นไว้แต่เจ้าจะกลับใจใหม่” (วิวรณ์ 2:4–5 TH1971) พระผู้ช่วยให้รอดทรงเฝ้ารอการตอบสนองต่อความรักและการให้อภัยของพระองค์ด้วยพระเมตตาที่ห่วงหาอาทรยิ่งกว่าความรักที่นำให้พ่อแม่ยกโทษลูกที่ดื้อรั้นจนน่าเหนื่อยใจ พระองค์ตรัสแก่ผู้หลงทางว่า “เจ้าจงกลับมาหาเรา และเราจะกลับมาหาเจ้าทั้งหลาย” (มาลาคี 3:7 TH1971) แต่ถ้าผู้หลงผิดยังยืนกรานไม่ฟังพระสุรเสียงที่ร้องเรียกเขาด้วยความสงสารและความรักอ่อนโยนแล้ว ในที่สุดเขาจะถูกทิ้งไว้ในความมืดมิด จิตใจที่ประมาทต่อพระคุณของพระเจ้าเป็นเวลานานจะชินชาด้วยบาปจนไม่อาจมองเห็นพระคุณของพระองค์ได้อีก ผลสุดท้ายความสยดสยองจะเกิดแก่คนนั้นที่ต้องพินาศเมื่อพระคริสต์ผู้เคยอ้อนวอนตรัสว่า เขา “ผูกพันอยู่กับรูปเคารพแล้ว ปล่อยเขาแต่ลำพัง” (โฮเชยา 4:17 TH1971) การพิพากษาลงโทษเมืองต่างๆ ในที่ราบสิดดิมจะเบากว่าการพิพากษาคนทั้งหลายที่รู้จักความรักของพระคริสต์แล้วแต่ยังหันไปเลือกเอาความบันเทิงในโลกแห่งความบาป {PP 165.2}

ท่านที่ดูถูกพระคุณของพระเจ้า จงตรึกตรองถึงบัญชีแห่งสวรรค์ที่บันทึกความผิดของท่านไว้อย่างถี่ถ้วน เพราะมีการบันทึกความบาปของชนชาติทั้งปวง ครอบครัวทั้งหลาย และมนุษย์แต่ละคน พระเจ้าทรงอดทน ทรงร้องเรียกให้กลับใจและทรงคอยอภัยความผิดขณะที่การบันทึกดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แต่จะมีเวลาหนึ่งที่บัญชีนั้นเต็ม คือคนบาปได้ตัดสินใจแล้วและการเลือกของเขาก็กำหนดชะตากรรมของตนเอง ถึงคราวนั้นพระเจ้าจะทรงลงโทษคนบาป {PP 165.3}

ขณะนี้สังคมคริสเตียนอยู่ในภาวะที่น่าเป็นห่วง มีคนไม่แยแสต่อพระเมตตาของพระเจ้า คนจำนวนมากทิ้งพระบัญญัติของพระเยโฮวาห์และ “เอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า” (มัทธิว 15:9 TH1971) ความไม่ซื่อสัตย์ครอบงำคริสตจักรต่างๆ พวกเขาไม่ได้ปฏิเสธพระคัมภีร์อย่างเปิดเผย แต่ซ่อนความไม่ซื่อสัตย์ไว้ในคราบของแกะ คือทำลายความเชื่อที่สอนว่าพระคัมภีร์เป็นพระดำรัสของพระเจ้า แต่ยังอ้างตัวเองเป็นคริสเตียน แทนที่สมาชิกคริสตจักรจะกระตือรือร้นก็กลับทำตามพิธีกรรมที่ปราศจากวิญญาณ ผลที่เกิดขึ้นคือการหลงไปจากความเชื่อและการถือเอาความรู้สึกเป็นใหญ่ พระคริสต์ตรัสว่า “ในสมัยของโลทก็เหมือนกัน…ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏ ก็เป็นเหมือนอย่างนั้น” (ลูกา 17:28, 30 TH1971) เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในแต่ละวันพิสูจน์พระดำรัสของพระองค์ โลกนี้ใกล้จะถึงกาลอวสาน ไม่ช้าคนบาปและความบาปก็จะถูกเผาผลาญในการพิพากษาลงโทษของพระเจ้า {PP 166.1}

พระเยซูตรัสว่า “จงระวังตัวให้ดี เกลือกว่าใจของท่านจะล้นไปด้วยอาการดื่มเหล้าองุ่นมาก และด้วยการเมาและด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านดุจบ่วงแร้วอย่างกะทันหัน เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก” คือทุกคนที่หมกมุ่นอยู่กับโลกนี้ “เหตุฉะนั้นจงเฝ้าอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อท่านทั้งหลายจะมีกำลังที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะบังเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” (ลูกา 21:34–36 TH1971) {PP 166.2}

ต้องเลือกเอา

ก่อนที่เมืองโสโดมจะพบกับหายนะ พระเจ้าทรงเตือนโลทว่า “หนีเอาชีวิตรอดเถิด อย่าเหลียวหลังหรือหยุด ณ ที่ใดในลุ่มน้ำ หนีไปที่เนินเขา มิฉะนั้นเจ้าจะเสียชีวิต” ในทำนองเดียวกันก่อนที่กรุงเยรูซาเล็มจะถูกทำลาย พระเยซูคริสต์ทรงเตือนสาวกของพระองค์ว่า “เมื่อท่านเห็นกองทัพมาตั้งล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อนั้นท่านจงรู้ว่าวิบัติของกรุงนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา” (ลูกา 21:20–21 TH1971) พวกเขาจะต้องไม่รีรอเพื่อเก็บเอาข้าวของ แต่ต้องรีบฉวยโอกาสเต็มที่เพื่อให้หนีรอดได้ {PP 166.3}

ในสมัยก่อนมีการแยกขาดออกจากคนอธรรมเพื่อเอาชีวิตรอด เช่นในสมัยของโนอาห์ สมัยของโลท กับเมื่อคราวที่สาวกหนีออกจากกรุงเยรูซาเล็มก่อนที่เมืองจะถูกทำลาย และในยุคสุดท้ายก็จะเป็นเช่นนั้น พระดำรัสของพระเจ้าตรัสเตือนคนของพระองค์อีกครั้งหนึ่งให้แยกออกมาจากความชั่วร้ายที่แพร่หลายทั่วไป {PP 166.4}

พระเจ้าทรงสำแดงนิมิตแก่ผู้เผยพระวจนะยอห์นเกี่ยวกับความชั่วช้าและการพลัดหลงจากความจริงในยุคสุดท้ายท่ามกลางศาสนิกชนโดยใช้นครบาบิโลนเป็นสัญลักษณ์ คือ “นครใหญ่ ที่มีอำนาจเหนือกษัตริย์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 17:18 TH1971) ก่อนที่นครนั้นจะพินาศ จะมีเสียงร้องจากสวรรค์ว่า “ดูก่อนชนชาติของเรา จงออกมาจากนครนั้นเถิด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่มีส่วนในการบาปของนครนั้น และเพื่อท่านจะไม่ต้องรับภัยพิบัติที่จะเกิดแก่นครนั้น” (วิวรณ์ 18:4 TH1971) ผู้ชอบธรรมจะต้องละทิ้งความบาปและแยกออกจากคนอธรรมอย่างเด็ดขาดเหมือนกับในสมัยโนอาห์และโลท จะต้องไม่หันกลับไปไขว่คว้าสิ่งของนอกกาย เพราะทางของพระเจ้าไม่อาจเข้ากับวิถีของโลก “ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้” (มัทธิว 6:24 TH1971) {PP 167.1}

ชะล่าใจ

คนในทุกวันนี้เหมือนกับชาวเมืองแห่งที่ราบสิดดิมที่เฝ้าฝันถึงทรัพย์สมบัติและความปลอดภัย ทูตสวรรค์ของพระเจ้ากล่าวเตือนว่า “หนีเอาชีวิตรอดเถิด” แต่มีเสียงอื่นพูดว่า ‘อย่าตื่นตระหนกไปเลย ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น’ ในขณะที่คนทั้งหลายร้องว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” (1 เธสะโลนิกา 5:3 TH1971) สวรรค์ก็ประกาศถึงภัยพิบัติฉับพลันที่จะเกิดกับคนบาป ในคืนก่อนที่เมืองโสโดมจะถูกทำลาย ชาวเมืองต่างรื่นเริงสำมะเลเทเมา พวกเขาเยาะเย้ยเสียงเตือนและความกลัวของโลท แต่คนเหล่านั้นที่ดูหมิ่นก็มอดไหม้ไปกับเปลวเพลิง ในค่ำคืนนั้นเองประตูพระกรุณาได้ปิดลงอย่างถาวรสำหรับชาวเมืองโสโดมที่ชั่วร้ายและสิ้นคิด พระเจ้าจะไม่ทรงทนต่อการดูถูกเหยียดหยามเสมอไป “ดูเถิด วันของพระเจ้าจะมา ดุร้ายด้วยความพิโรธและความโกรธอันเกรี้ยวกราดที่จะกระทำให้แผ่นดินโลกเป็นที่ร้างเปล่าและเพื่อจะทำลายคนบาปของโลกเสียจากโลก” (อิสยาห์ 13:9 TH1971) คนส่วนใหญ่จะปฏิเสธพระคุณของพระเจ้าและจะย่อยยับในพริบตาโดยไม่มีทางแก้ไข แต่สำหรับผู้ที่ฟังเสียงเตือนจะอาศัย ณ “ที่กำบังขององค์ผู้สูงสุด” และ “อยู่ในร่มเงาของผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” “ความสัตย์สุจริตของพระองค์เป็นโล่และเป็นดั้ง” ตามที่ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะให้เขาอิ่มใจด้วยชีวิตยืนยาว และสำแดงความรอดของเราแก่เขา” (สดุดี 91:1, 4, 16 TH1971) {PP 167.2}

โลทอาศัยในเมืองโศอาร์ไม่นานเพราะความชั่วช้าได้ครอบงำไม่ต่างอะไรกับเมืองโสโดม และเขาไม่กล้าที่จะอยู่ต่อเกรงว่าเมืองนี้อาจถูกทำลายไปด้วย จึงเดินทางไปที่ภูเขาเพื่ออาศัยในถ้ำ จากนั้นไม่นานพระเจ้าก็ทรงทำลายเมืองโศอาร์ตามพระประสงค์เดิมของพระองค์ โลทเคยนำครอบครัวไปเสี่ยงต่ออิทธิพลชั่วของเมืองโสโดมเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทอง แต่ทุกอย่างถูกเผาให้วอดไปเหลือเพียงตัวเปล่า แม้กระนั้นคำสาปแช่งแห่งเมืองโสโดมก็ยังไล่ตามเขาอยู่ เมื่อลูกสาวทั้งสองทำบาปอันเป็นผลมาจากที่เคยคบหาสมาคมกับชาวเมืองที่ต่ำช้ามาก่อน ความเสื่อมทรามด้านศีลธรรมได้ฝังอยู่ในอุปนิสัยของพวกเธอจนไม่สามารถแยกแยะระหว่างความดีและความชั่ว ดังนั้นเชื้อสายที่สืบจากโลทจึงมีอยู่เพียงคนโมอับและคนอัมโมน ซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ที่ป่าเถื่อน บูชารูปเคารพ ต่อสู้พระเจ้า และกลายเป็นศัตรูที่จองล้างจองผลาญคนของพระองค์ {PP 167.3}

แตกต่างคนละขั้ว

ชีวิตของอับราฮัมช่างแตกต่างไปจากชีวิตของโลทอย่างมาก พวกเขาเคยร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ นมัสการที่แท่นบูชาและอาศัยอยู่ด้วยกัน แต่เหตุใดบัดนี้จึงแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว โลทได้เลือกเอาเมืองโสโดมเพราะเป็นที่อำนวยสุขและน่าค้าขายหากำไร เขาทิ้งแท่นบูชาของอับราฮัมและการถวายประจำวันแด่พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และปล่อยให้ลูกๆ เที่ยวเล่นอยู่กับคนชั่วและคนที่กราบไหว้รูปเคารพ แต่กระนั้นโลทยังคงยำเกรงพระเจ้าอยู่เพราะพระคัมภีร์บันทึกว่าเขาเป็น “ผู้ชอบธรรม” โลท “มีความทุกข์ใหญ่หลวงเพราะการประพฤติลามกของคนชั่วเหล่านั้น” (2 เปโตร 2:7 TH1971) เขารู้สึกเศร้าสลดใจที่ไม่สามารถยับยั้งความทารุณโหดร้ายที่เกิดขึ้นในแต่ละวันได้ ในที่สุดพระเจ้าทรงฉุดเขาออกมาให้พ้นภัยเหมือน “ดุ้นฟืนที่ฉวยออกมาจากไฟ” (เศคาริยาห์ 3:2 TH1971) แต่ต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทอง ภรรยาและลูกสาว ไปอาศัยในถ้ำเยี่ยงสัตว์ป่า ชายชราที่เสียชื่อเสียงคนนี้ไม่ได้ให้กำเนิดพงศ์พันธุ์ผู้ชอบธรรม หากแต่เป็นสองเผ่าพันธุ์สืบตระกูลที่ไหว้รูปเคารพ เป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า และต่อสู้คนของพระองค์จนกระทั่งความบาปอิ่มตัวและคนเหล่านั้นต้องถูกทำลาย ผลที่เกิดจากการก้าวผิดเพียงก้าวเดียวช่างน่ากลัวเสียยิ่งนัก {PP 168.1}

อิทธิพลโน้มน้าว

กษัตริย์ซาโลมอนกล่าวไว้ว่า “อย่าทำงานเพื่อเห็นแก่ทรัพย์ศฤงคาร จงฉลาดพอที่จะยับยั้งไว้” “บุคคลผู้ตะกละหากำไรก็กระทำความลำบากแก่ครัวเรือนของตน แต่บุคคลผู้เกลียดสินบนจะมีชีวิตอยู่” (สุภาษิต 23:4, 15:27 TH1971) อัครทูตเปาโลก็ยังกล่าวว่า “ส่วนคนเหล่านั้น ที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในข่ายของความเย้ายวนและติดบ่วงแร้วและในความปรารถนานานาที่ไร้ความคิดและเป็นภัยแก่ตัว ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป” (1 ทิโมธี 6:9 TH1971) {PP 168.2}

เมื่อโลทเข้าไปในเมืองโสโดม เขาตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะระวังตัวให้อยู่ห่างจากความชั่วร้าย และสั่งสอนครอบครัวของตน แต่เขากลับพ่ายแพ้อย่างราบคาบ อิทธิพลของความบาปที่อยู่ห้อมล้อมมีผลต่อความเชื่อของเขา ความสัมพันธ์ของลูกๆ กับชาวเมืองโสโดมทำให้โลทพลอยคล้อยตามพวกเขาในระดับหนึ่ง ผลที่เกิดขึ้นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคน {PP 168.3}

คนจำนวนมากยังคงผิดพลาดในเรื่องนี้ คือเมื่อเลือกที่อยู่อาศัย พวกเขาคำนึงถึงผลประโยชน์ฝ่ายโลกมากกว่าอิทธิพลของสังคมและระดับศีลธรรมที่แวดล้อมครอบครัว บ้างก็เลือกภูมิประเทศที่สวยงามและอุดมสมบูรณ์ บ้างย้ายไปอยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองหวังว่าจะกอบโกยเอาความมั่งคั่งร่ำรวย แต่ลูกๆ ต้องตกอยู่ในการทดลองและมักคบเพื่อนที่ไม่ช่วยพัฒนาอุปนิสัยหรือนำให้ใกล้ชิดพระเจ้า บรรยากาศในสังคมที่ศีลธรรมหละหลวม ไม่เชื่อพระเจ้า และไม่เห็นความสำคัญของธรรมะมักทำลายอิทธิพลของพ่อแม่ ตัวอย่างของคนหนุ่มสาวที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่และต่อต้านพระเจ้ามีให้เห็นตลอดมา หลายคนไปผูกพันกับคนที่ไม่เชื่อพระเจ้าและร่วมชะตาชีวิตกับศัตรูของพระองค์ {PP 168.4}

ประการแรกในการเลือกที่อยู่อาศัย พระเจ้าทรงปรารถนาให้เราพิจารณาถึงศีลธรรมและศาสนาที่ห้อมล้อมตัวเราและครอบครัว บางครั้งเราอาจถูกกำหนดให้ต้องเผชิญกับการทดลอง เพราะไม่ใช่ทุกคนสามารถเลือกอยู่ในที่ที่เขาปรารถนา เมื่อไรก็ตามที่การปฏิบัติหน้าที่นำเราเข้าไปในการทดลอง พระเจ้าจะทรงช่วยให้ต้านทานความชั่วได้หากเราเฝ้าระวังอธิษฐานและเชื่อในพระคุณของพระเยซู แต่เราไม่ควรเข้าไปอยู่ในสังคมที่ไม่ช่วยให้อุปนิสัยคริสเตียนเติบโตขึ้นถ้าไม่มีเหตุจำเป็น เมื่อเลือกเอาตัวเองเข้าไปอยู่กับสังคมโลกและคบหาคนที่ไม่เชื่อ เราทำให้พระเจ้าทรงเสียพระทัย และทูตสวรรค์บริสุทธิ์จึงละไปจากบ้านของเรา {PP 169.1}

คนเหล่านั้นที่ยอมสละบำเหน็จของลูกๆ ในสวรรค์เพื่อให้พวกเขาได้รับทรัพย์สินและชื่อเสียงในโลก ในที่สุดจะพบว่าสิ่งเหล่านี้ที่ถือว่าเป็นประโยชน์ ที่แท้นำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง มีหลายคนเหมือนกับโลทที่เห็นลูกๆ กลายเป็นเด็กเสียคนและพวกเขาเองก็แทบจะรักษาจิตวิญญาณของตนไว้ไม่ได้ น่าเสียใจที่ชีวิตของเขาล้มเหลวและพ่ายแพ้ หากเพียงใช้สติปัญญาที่แท้จริง ลูกๆ ก็คงได้รับสมบัติฝ่ายโลกน้อยลง แต่จะได้ครอบครองมรดกที่ไม่มีวันผุกร่อนในสวรรค์เป็นแน่ {PP 169.2}

มรดกที่พระเจ้าให้

มรดกที่พระเจ้าทรงสัญญาแก่คนของพระองค์ไม่ได้อยู่ในโลกนี้ อับราฮัมไม่มีที่ดินใดๆ ในโลกเป็นของตน “แม้เท่าฝ่าเท้า” ก็ไม่มี (กิจการ 7:5 TH1971) แม้ท่านจะมีทรัพย์สมบัติมากมายแต่ท่านใช้สิ่งเหล่านั้นถวายพระสิริแด่พระเจ้าและช่วยเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ท่านไม่ได้ถือว่าโลกนี้เป็นบ้าน พระเจ้าทรงเรียกท่านให้ออกมาจากหมู่ญาติที่บูชารูปเคารพโดยทรงสัญญาว่าจะประทานแผ่นดินคานาอันเป็นกรรมสิทธิ์ถาวร ถึงกระนั้นตัวท่านเองหรือบุตรหลานของท่านก็ไม่ได้รับมรดกนี้ เมื่อปรารถนาจะฝังศพที่นั่นท่านถึงกับต้องซื้อที่ดินจากคนคานาอัน กรรมสิทธิ์ชิ้นเดียวที่ท่านมีอยู่ในแผ่นดินแห่งพระสัญญาคืออุโมงค์ฝังศพในถ้ำหินแห่งมัคเป-ลาห์ {PP 169.3}

อย่างไรก็ตามพระสัญญาของพระเจ้ามิได้ล้มเหลว แต่ก็ไม่ได้สำเร็จเสียทีเดียวเมื่อคนยิวเข้าครองแผ่นดินคานาอัน เพราะพระสัญญานั้น “ประทานไว้แก่อับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่าน” (กาลาเทีย 3:16 TH1971) อับราฮัมเองจะต้องได้รับส่วนในมรดกนั้น บางครั้งดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลากว่าพระสัญญาจะสำเร็จ เพราะ “วันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว” (2 เปโตร 3:8 TH1971) อาจดูเหมือนล่าช้า แต่เมื่อถึงเวลา “มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก” (ฮาบากุก 2:3 TH1971) พระเจ้าไม่เพียงแต่จะประทานแผ่นดินคานาอันให้กับอับราฮัมและพงศ์พันธุ์ของท่านเท่านั้น แต่จะประทานโลกทั้งโลก อัครทูตเปาโลเขียนไว้ว่า “พระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งพิภพเป็นมรดกนั้นไม่ได้มีมาโดยพระบัญญัติแต่มีมาโดยความชอบธรรมที่เกิดจากความเชื่อ” (โรม 4:13 TH1971) พระคัมภีร์ได้สอนไว้อย่างชัดเจนว่าพระสัญญาที่ประทานแก่อับราฮัมนั้นจะสำเร็จโดยทางพระเยซู ผู้ที่เป็นของพระคริสต์ก็เป็น “พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามพระสัญญา” คือมรดกที่ “ไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรย” (กาลาเทีย 3:29; 1 เปโตร 1:4 TH1971) โลกจะพ้นจากการถูกสาปแช่งอันเนื่องจากความบาปเพราะ “แผ่นดินกับราชอาณาจักรและความยิ่งใหญ่แห่งบรรดาแผ่นดินภายใต้สวรรค์ทั้งสิ้นจะต้องถูกมอบไว้แก่ชุมนุมแห่งวิสุทธิชนขององค์ผู้สูงสุดนั้น” และ “คนใจอ่อนสุภาพจะได้แผ่นดินตกไปเป็นมรดกและตัวเขาปีติยินดีในความเจริญอุดมสมบูรณ์” (ดาเนียล 7:27; สดุดี 37:11 TH1971) {PP 169.4}

พระเจ้าทรงให้อับราฮัมได้เห็นมรดกที่ไม่เปื่อยเน่า และด้วยความหวังนี้จิตใจท่านจึงเป็นสุข “เพราะความเชื่อของท่าน ท่านได้พำนักในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น คือได้พำนักในเต็นท์เป็นคนต่างด้าว ดังอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทด้วยกันตามพระสัญญาอันเดียวกันนั้น ท่านได้เฝ้ารอคอยนครที่ตั้งบนรากฐานซึ่งพระเจ้าทรงเป็นนายช่างและทรงเป็นผู้สร้าง” (ฮีบรู 11:9–10 TH1971) {PP 170.1}

พระคัมภีร์บันทึกถึงพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมว่า “คนเหล่านั้นได้ตายไปขณะที่มีความเชื่อเต็มที่ และไม่ได้รับสิ่งที่ได้ทรงสัญญาไว้ แต่เขาก็ได้เห็นและได้เตรียมรับไว้ตั้งแต่ไกล และรู้ดีว่าเขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก” (ฮีบรู 11:13 TH1971) เราต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้เหมือนเป็นคนแปลกถิ่น หากเราต้องการ “เมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์” (ฮีบรู 11:16 TH1971) ผู้ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมจะแสวงหาเมืองเดียวกันที่ท่านรอคอย ที่ซึ่ง “พระเจ้าทรงเป็นนายช่างและทรงเป็นผู้สร้าง” {PP 170.2}