อยู่ด้วยความเชื่อ29. ความชอบธรรมและชีวิต

29. ความชอบธรรมและชีวิต

ถึงแม้ว่าข่าวประเสริฐมีความล้ำลึก แต่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่าย มีหลักการไม่กี่อย่างสำหรับแต่ละขั้นตอน และมีเพียงสองประการที่เราต้องเข้าใจคือ 1) ความต้องการของเรา และ 2) พระเจ้าทรงพระปรีชาสามารถและพอพระทัยที่จะเติมเต็มในสิ่งที่เราขาดอยู่นั้น {LBF 90.1}

ในประเด็นแรกเราพบว่าเราเป็นคนบาป “ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า เขาทุกคนหลงผิดไปหมด พวกเขาเลวทรามเหมือนกันสิ้น ไม่มีสักคนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย’…เพราะว่าทุกคนทำบาป และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า” (โรม 3:10–12; 23) {LBF 90.2}

ความบาปเป็นส่วนหนึ่งของเรา และจริงๆ แล้วก็คือตัวเรานั่นเอง พระคริสต์ผู้ทรงรู้จักเราดี ตรัสว่า “จากภายในมนุษย์หรือจากใจของมนุษย์นั่นแหละที่ความคิดชั่วร้ายเกิดขึ้นมา คือการล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การเป็นชู้ การโลภ การอธรรม การล่อลวง ราคะตัณหา การอิจฉา การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความเขลา สารพัดความชั่วเหล่านี้มาจากภายในและทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” (มาระโก 7:21–23) ความชั่วเหล่านี้มาจากใจ ไม่ใช่ใจของคนบางคนหรือบางพวก แต่จากใจมนุษย์ทุกคน พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “ทุกสิ่งที่เจ้าทำล้วนไหลออกมาจากใจ” (สุภาษิต 4:23 TNCV) เรารู้ว่าความชั่วเหล่านี้คือชีวิตของเรา และโดยธรรมชาติแล้ว เราก็คือคนบาป {LBF 90.3}

แต่ความบาปหมายถึงความตาย “จิตใจของคนบาปนำไปสู่ความตาย” (โรม 8:6 TNCV) “บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคนๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น และความตายก็ได้แผ่ไปถึงมวลมนุษย์ทุกคน เพราะมนุษย์ทุกคนทำบาป” (โรม 5:12) เราจึงเห็นได้ว่าความบาปนำมาซึ่งความตาย เพราะความตายเกิดจากความบาป “เหล็กในของความตายนั้นคือบาป” (1 โครินธ์ 15:56) “เมื่อบาปเจริญเต็มที่แล้วก็ก่อให้เกิดความตาย” (ยากอบ 1:15) จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เราพบว่า ความตายติดพันกับความบาป แต่ด้วยพระเมตตาคุณของพระเจ้าเราไม่ได้ตายทันทีที่ทำบาป เพราะพระองค์ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ช้านาน “ไม่ทรงประสงค์ให้ใครพินาศเลย แต่ประสงค์ให้ทุกคนกลับใจใหม่” (2 เปโตร 3:9) พระองค์จึงให้โอกาสเราที่จะกลับใจ และถ้าเรากลับใจ พระองค์จะทรงยกความบาปของเราออกไป และแน่นอนเราจะได้พ้นจากความตาย แต่ถ้าเราปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ เพราะยังรักความบาปอยู่ ความบาปนั้นจะก่อให้เกิดความตาย และมีอีกหลายข้อที่อาจจะยกมาในทำนองเดียวกันที่แสดงให้เห็นว่าความบาปคือความตาย แต่ที่ยกมาก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ในข้อต่อไปนี้ (ยอห์น 3:36; เฉลยธรรมบัญญัติ 30:15–20 เทียบกับ 11:26–28; โรม 5:20–21; 7:24) {LBF 90.4}

ความบาปกับความตายเกี่ยวพันกันจนแยกไม่ออก เมื่อพบความบาปที่ไหน ความตายก็อยู่ที่นั่น ถ้ารอดจากความบาปก็เท่ากับรอดจากความตาย ความรอดนั้นไม่เพียงแต่ช่วยเราให้รอดจากผลแห่งความบาป แต่ช่วยเราให้พ้นจากตัวของความบาปเองด้วย แผนการแห่งความรอดไม่เหมือนที่หลายคนคิด เพราะมีคนจำนวนมากคิดผิดว่า ขอเพียงแต่อ้างว่าเชื่อเท่านั้นก็สามารถทำบาปอะไรก็ได้โดยไม่ต้องรับผลของบาปที่ทำนั้น แต่ที่จริงแล้วตรงกันข้าม พระเจ้าทรงช่วยเราให้พ้นจากบาปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งจะทำให้เราพ้นจากความตาย เพราะเราไม่สามารถตายถ้าไม่มีความบาป เช่นเดียวกันเราไม่สามารถมีชีวิตถ้าปราศจากความชอบธรรม {LBF 91.1}

แล้วเราจะรับความชอบธรรมได้จากที่ไหน เราไม่สามารถหาได้จากภายในตัวเอง เพราะในตัวเรานั้นไม่มีอะไรนอกจากความบาป “ด้วยว่าในตัวข้าพเจ้า คือในเนื้อหนังของข้าพเจ้าไม่มีความดีใดอยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย” (โรม 7:18) “จิตใจที่เต็มไปด้วยบาปก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ยอมอยู่ใต้บทบัญญัติของพระเจ้า ทั้งไม่สามารถอยู่ได้ด้วย บรรดาผู้ที่วิสัยบาปควบคุมอยู่ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้” (โรม 8:7–8) ตามที่เห็นแล้วว่าชีวิตทั้งหมดของเราก็คือความบาป ฉะนั้นถ้าเราจะได้ความดี เราก็ต้องได้ชีวิตใหม่ และชีวิตใหม่นั้นก็มีอยู่ในข่าวประเสริฐ {LBF 91.2}

มนุษย์มีความชั่ว แต่พระเจ้าประเสริฐ และพระองค์ไม่เพียงแต่ประเสริฐเท่านั้น ทรงเป็นผู้เดียวที่ประเสริฐ เหมือนที่พระเยซูตอบชายหนุ่มที่วิ่งมาทูลถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไร ถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์ พระเยซูตรัสกับคนนั้นว่า ‘ท่านใช้คำว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐนอกจากพระเจ้าองค์เดียว’” (มาระโก 10:17–18) ความจริงข้อนี้ตายตัว คือมีพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นที่ประเสริฐ ซึ่งก็รวมถึงพระคริสต์ด้วยเพราะพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า (ดู ยอห์น 1:1) “พระเจ้าทรงอยู่ในพระคริสต์” (2 โครินธ์ 5:19 แปลจากฉบับ KJV) ชีวิตของพระบิดาและพระบุตรเป็นชีวิตเดียวกัน (ดู ยอห์น 6:57) {LBF 91.3}

ไม่มีความดีความชอบที่ไหนนอกเหนือพระเจ้า ความดีไม่ใช่ความรู้สึก แต่มีอยู่จริง และความดีไม่อาจเกิดขึ้นได้นอกจากจะมีการกระทำควบคู่ไปด้วย มันไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศเหมือนกลิ่นของดอกไม้ ไม่มีความหวานนอกจากจะมีของหวาน และไม่มีรสเค็มนอกจากจะมีเกลือ ฉันใดก็ฉันนั้น ไม่มีความดีนอกจากจะมีการกระทำดี ทางทุกอย่างของพระเจ้าล้วนแต่ถูกต้องและดี ซึ่งทางของพระองค์นั้นได้รับการบรรยายสั้นๆ เบ็ดเสร็จอยู่ในพระบัญญัติของพระองค์ “พระองค์ทรงสำแดงพระมรรคาของพระองค์แก่โมเสส กิจการของพระองค์แก่คนอิสราเอล” (สดุดี 103:7) “บรรดาผู้ที่ดีรอบคอบในทางของเขาก็เป็นสุข คือผู้ที่ดำเนินตามพระราชบัญญัติของพระเยโฮวาห์” (สดุดี 119:1 TKJV) {LBF 92.1}

พระบัญญัติของพระเจ้าได้บรรยายถึงพระมรรคาของพระองค์ และพระมรรคาทางสิ้นของพระองค์ถูกต้องชอบธรรม ตามที่เขียนไว้ว่า “จงเงยหน้าของพวกเจ้าดูฟ้าสวรรค์ แล้วมองดูแผ่นดินโลกเบื้องล่าง เพราะว่าฟ้าสวรรค์จะสูญไปเหมือนควัน และแผ่นดินโลกจะหลุดลุ่ยไปเหมือนเสื้อผ้า และผู้อาศัยอยู่ในนั้นจะตายไปเหมือนริ้น แต่ความรอดของเราจะอยู่เป็นนิตย์ และความชอบธรรมของเราจะไม่สิ้นสุด จงฟังเรา พวกเจ้าผู้รู้จักความชอบธรรม ชนชาติที่มีธรรมบัญญัติของเราอยู่ในใจ อย่ากลัวการเยาะเย้ยของมนุษย์ และอย่าวิตกต่อการถากถางของเขา” (อิสยาห์ 51:6–7) พระบัญญัติของพระเจ้าคือความชอบธรรมของพระองค์ และความชอบธรรมนั้นคือการกระทำชอบ ฉะนั้นพระบัญญัติของพระเจ้าคือชีวิตของพระองค์นั่นเอง ชีวิตของพระองค์คือมาตรฐานแห่งความชอบธรรม ทุกสิ่งที่เหมือนชีวิตของพระองค์ก็ถูกต้องชอบธรรม และทุกสิ่งที่ไม่เหมือนชีวิตของพระองค์ก็ผิดทั้งนั้น {LBF 92.2}

พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้เราสับสนว่าชีวิตของพระองค์คืออะไร เพราะพระเยซูคริสต์ทรงดำเนินชีวิตอยู่ในโลกนี้ และพระบัญญัติของพระเจ้าอยู่ในพระทัยของพระองค์ (ดู สดุดี 40:8) และทุกสิ่งที่เราทำในชีวิตก็ออกมาจากใจ (ดู สุภาษิต 4:23) แสดงว่าชีวิตของพระเยซูคือบทสะท้อนถึงพระบัญญัติของพระเจ้า {LBF 92.3}

พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับพระเยซู (ดู ลูกา 4:18) และ “พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น” (2 โครินธ์ 3:17) ฉะนั้นชีวิตของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์คือ “ธรรมบัญญัติแห่งเสรีภาพ” ซึ่งเราจะได้รับพระพรถ้าเราประพฤติตามอย่างต่อเนื่อง (ดู ยากอบ 1:25) {LBF 92.4}

นอกจากพระเยซูแล้ว ไม่เคยมีชีวิตใดในโลกนี้ที่ปราศจากความบาป หลายคนเพียรพยายามจนเหน็ดเหนื่อยเพื่อบำเพ็ญตนหวังจะได้เป็นคนชอบธรรมแต่ก็ล้มเหลวทุกรายไป ทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าตนเป็นคนบาป ไม่มีใครปฏิเสธว่ามีบางอย่างที่ทำไปแล้วแต่น่าจะทำให้ดีกว่านั้น และทุกคนล้วนแต่เคยคิดว่าจะพยายามทำให้ดีขึ้นอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต นั่นก็แสดงว่าเขาสำนึกในความบาป จิตใต้สำนึกทุกคนฟ้องเขาอยู่ แม้ว่าเขาอาจจะยังไม่รู้จักพระบัญญัติของพระเจ้าก็ตาม (ดู โรม 2:14–15) {LBF 92.5}

เนื่องจากชีวิตของเราคือความบาปนั่นเอง และเรามีเพียงชีวิตเดียว และความชอบธรรมไม่ได้เกิดมาจากความบาป แน่นอนมีทางเดียวที่เราจะเป็นคนชอบธรรมได้ นั่นคือต้องได้รับชีวิตใหม่ และเนื่องจากว่ามีแต่ชีวิตของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ชีวิตเดียวที่มีความชอบธรรม จึงประจักษ์ชัดว่าเราต้องการชีวิตของพระคริสต์ นี่คือความหมายของชีวิตคริสเตียน เพราะชีวิตคริสเตียนก็คือชีวิตของพระคริสต์ {LBF 93.1}

แต่อย่าคิดว่าเราจะดำเนินชีวิตนี้ได้ด้วยกำลังของเราเอง แน่ทีเดียวเราไม่สามารถดำเนินชีวิตใหม่โดยอาศัยชีวิตเก่า ถ้าจะดำเนินชีวิตใหม่ ก็ต้องมีชีวิตใหม่ให้ดำเนิน เราไม่สามารถดำเนินชีวิตของคนอื่น แม้แต่ชีวิตของเพื่อนที่สนิทที่สุด ประการแรก เราไม่สามารถทำตามนิสัยเพื่อนในทุกอิริยาบถ และประการที่สอง เราไม่สามารถล่วงรู้ความคิดในใจของเพื่อนได้ แม้แต่เพื่อนสนิทเราก็ไม่สามารถทำตามชีวิตของเขาได้ นับประสาอะไรกับชีวิตของพระคริสต์เล่า เราอาจจะปลอมตัวหรือเลียนแบบคนอื่น แต่สุดท้ายก็ต้องถูกจับได้ และถ้าเราพยายามเลียนแบบชีวิตของพระคริสต์ตามเนื้อหนังของเราเองก็จะถูกจับผิดเช่นกัน คนนับพันนับล้านพยายามดำเนินชีวิตคริสเตียนแต่ก็ล้มเหลว เพราะเขาทำด้วยกำลังของตัวเอง ซึ่งเป็นชีวิตของเขาเองอยู่ดี {LBF 93.2}

ถ้าอย่างนั้นเราควรจะทำอย่างไร แสดงว่าเป็นไปไม่ได้อย่างนั้นหรือที่จะดำเนินชีวิตคริสเตียน เปล่าเลย ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เราต้องยอมให้พระคริสต์เป็นผู้ดำเนินชีวิตของพระองค์ภายในตัวเรา เราต้องยอมมอบความบาปและชีวิตอันไร้ค่าให้พระองค์ โดยถือว่าตนเองตายแล้ว และมีค่าเท่ากับศูนย์ เมื่อถึงจุดนั้นแล้วเราก็ตายกับพระคริสต์อย่างแท้จริง และเราจะดำเนินชีวิตกับพระองค์ เราจะเป็นเหมือนอาจารย์เปาโลที่เขียนว่า “เพราะโดยธรรมบัญญัตินั้นข้าพเจ้าได้ตายต่อธรรมบัญญัติแล้ว เพื่อจะได้มีชีวิตอยู่ต่อพระเจ้า ข้าพเจ้าถูกตรึงร่วมกับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า ชีวิตซึ่งข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าผู้ได้ทรงรักข้าพเจ้า และได้ทรงสละพระองค์เองเพื่อข้าพเจ้า” (กาลาเทีย 2:19–20) การยอมให้พระคริสต์ดำเนินชีวิตของพระองค์เองภายในเรา เป็นทางเดียวเท่านั้นที่ชีวิตของเราจะสอดคล้องกับพระบัญญัติของพระเจ้าได้ ตอนนั้นเราจะเป็นคนชอบธรรมเพราะชีวิตที่เราได้รับนั้นเป็นชีวิตเดียวที่มีความชอบธรรม {LBF 93.3}

ถ้าเราสงสัยว่าจะมีชีวิตของพระคริสต์ได้อย่างไร ให้อ่านเรื่องการอัศจรรย์ของพระองค์ว่าทรงรักษาคนป่วยและชุบชีวิตคนตายให้เป็นขึ้นมาอย่างไร ให้อ่านเรื่องที่พระองค์ทรงรักษาผู้หญิงตกเลือดที่ชีวิตหมดไปในแต่ละวัน (ดู ลูกา 8:43–48) และเรื่องที่พระองค์ทรงชุบชีวิตของลาซารัสกับลูกสาวของขุนนาง ให้เราเรียนรู้ว่าพระวจนะของพระเจ้ามีชีวิต และมีฤทธิ์อำนาจที่จะให้ชีวิตเมื่อเรารับเอาด้วยความเชื่อ ให้เราเรียนรู้ว่าชีวิตของพระคริสต์อยู่ในพระวจนะของพระองค์ ฉะนั้นเมื่อเรารับฟังและเชื่อในพระวจนะแล้ว พระคริสต์จะสถิตในใจของเราโดยทางความเชื่อ (ดู เอเฟซัส 3:17) ขอให้สิ่งเหล่านี้ประจักษ์แจ้งสมจริงในใจของเรา แล้วเราจะดำเนินชีวิตโดยพระนามของพระองค์ได้อย่างแน่นอน {LBF 93.4}