60. ความประมาทของซาอูล
กองทัพชาวฟีลิสเตีย
ทหารที่ซาอูลเกณฑ์มาเพื่อโค่นล้มกองกำลังของชาวอัมโมนก็ถูกสั่งให้แยกย้ายกันกลับบ้านหลังเสร็จสิ้นการประชุมที่กิลกาล เหลือเพียง 2,000 นายประจำการอยู่ที่มิคมาชภายใต้การบัญชาของท่าน และอีก 1,000 นายติดตามโยนาธานบุตรของท่านที่เมืองกิเบอาห์ การกระทำดังกล่าวถือเป็นความผิดพลาดอันร้ายแรง เพราะกองทัพของซาอูลกำลังฮึกเหิมและเต็มไปด้วยความหวังเนื่องจากชัยชนะก่อนหน้านี้ หากได้เข้าโจมตีศัตรูชนชาติอื่นในทันที ก็คงช่วยเพิ่มโอกาสให้คนอิสราเอลได้รับอิสรภาพมากยิ่งขึ้น {PP 616.1}
ในเวลานั้นเองกองทัพชาวฟีลิสเตียซึ่งเป็นประเทศใกล้เคียงก็มีการเคลื่อนไหวตามแบบชนชาตินักรบ พวกเขายังคงตรึงกำลังตามป้อมบางแห่งแถบเนินเขาของดินแดนอิสราเอลหลังจากพ่ายแพ้ที่เอเบนเอเซอร์ บัดนี้พวกเขารุกคืบเข้ามาปักหลักอยู่ใจกลางแผ่นดิน ชาวฟีลิสเตียได้เปรียบคนอิสราเอลเป็นอย่างมากทั้งด้านกำลังพล อาวุธ และยุทโธปกรณ์ ตลอดระยะเวลาอันยาวนานที่ชาวฟีลิสเตียบีบบังคับคนอิสราเอลอยู่นั้นพวกเขาพยายามชิงความได้เปรียบด้วยการห้ามไม่ให้คนอิสราเอลทำอาชีพช่างเหล็ก เกลือกว่าชาวฮีบรูจะผลิตอาวุธเพื่อการสงคราม เมื่อแผ่นดินสงบหลังการสู้รบคนอิสราเอลจำต้องไปหาช่างเหล็กที่ป้อมของชาวฟีลิสเตีย ด้วยความรักสงบและอยู่ในสภาพที่หมดหวังจากการถูกบีบบังคับเป็นเวลานาน พวกเขาส่วนใหญ่จึงไม่ได้เตรียมอาวุธเผื่อยามสู้รบ สมัยนั้นมีการใช้ธนูและสายสลิงในการสงคราม พวกเขาสามารถจัดหาสิ่งเหล่านี้ได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ ฉะนั้นในค่ายจึงไม่มีอาวุธเลยนอกจากหอกและดาบของซาอูลกับโยนาธาน {PP 616.2}
ไม่มีความพยายามที่จะปราบชาวฟีลิสเตียจนถึงปีที่สองของรัชสมัยซาอูล การโจมตีครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อโยนาธานผู้เป็นราชโอรสได้รับชัยชนะที่เกบา คนฟีลิสเตียโกรธแค้นที่พ่ายแพ้จึงตั้งทัพเพื่อเข้าโจมตีคนอิสราเอลอย่างทันท่วงที ซาอูลสั่งให้มีการเป่าแตรประกาศภาวะสงครามทั่วแผ่นดิน เพื่อเรียกชายฉกรรจ์ทั้งหลายมารวมตัวกันที่กิลกาล ทั้งคนจากชนเผ่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำจอร์แดนด้วย ผู้คนจึงมารวมตัวกันตามคำประกาศ {PP 616.3}
ส่วนชาวฟีลิสเตียได้รวบรวมกองกำลังเป็นจำนวนมากที่มิคมาชคือ “รถม้าศึก 30,000 คัน พลรถรบ 6,000 คน และมีทหารมากมายดุจเม็ดทรายที่ชายทะเล” (1 ซามูเอล 13:5 TNCV เชิงอรรถ) เมื่อข่าวมาถึงหูซาอูลกับกำลังพลของท่านที่กิลกาล ทุกคนพากันตื่นตระหนกตกใจที่จะต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังมหึมาในสนามรบ พวกเขาไม่พร้อมที่จะปะทะกับศัตรูในครั้งนี้เลย หลายคนหวาดกลัวจนลนลานและไม่กล้าลองดีกับศัตรู บางคนหนีข้ามแม่น้ำจอร์แดน ส่วนอีกพวกหนึ่งก็ซ่อนตัวตามถ้ำและโพรงดินและตามชะง่อนหินที่มีทั่วไปในเขตนั้น ยิ่งเข้าใกล้เวลาประจัญบานมากขึ้นเท่าไหร่ ทหารก็พากันหนีออกจากค่ายมากขึ้นทุกที แม้คนที่ไม่หนีก็ยังหวาดหวั่นต่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น {PP 617.1}
ซาอูลรอไม่ไหว
เมื่อซาอูลได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์เหนือชนชาติอิสราเอล ท่านได้รับคำสั่งโดยตรงจากซามูเอลว่าจะต้องทำอย่างไรในเหตุการณ์ครั้งนี้ ในคราวนั้นผู้เผยพระวจนะได้กล่าวว่า “ท่านจงลงไปที่กิลกาลก่อนฉัน และดูเถิด ฉันจะลงมาหาท่านเพื่อจะถวายเครื่องเผาบูชา และถวายสัตว์เป็นเครื่องศานติบูชา ท่านจงคอยอยู่ที่นั่น 7 วันจนฉันมาหาท่านและสำแดงแก่ท่านว่า ท่านควรจะกระทำอะไร” (1 ซามูเอล 10:8 TH1971) {PP 617.2}
ซาอูลรอคอยวันแล้ววันเล่า แต่ไม่ได้พยายามหนุนกำลังใจประชาชนให้มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า ก่อนถึงเวลาที่ผู้เผยพระวจนะซามูเอลได้กำหนดไว้นั้น ซาอูลอดรนทนไม่ไหวที่ต้องรอคอยจึงยอมปล่อยตัวเองให้ท้อถอยต่อสถานการณ์รอบด้าน แทนที่จะยืนหยัดในความซื่อสัตย์ด้วยการหาทางเตรียมผู้คนให้พร้อมสำหรับการทำพิธีของซามูเอล ท่านกลับปล่อยใจให้คิดสงสัยและเป็นกังวลถึงอนาคต ภารกิจแห่งการแสวงหาพระเจ้าด้วยการถวายสัตวบูชาเป็นงานที่จริงจังและสำคัญยิ่ง พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ประชากรของพระองค์สำรวจจิตใจและหันกลับจากความผิดบาปของตน เพื่อการถวายนั้นจะเป็นที่พอพระทัยของพระองค์ และพระองค์จะได้อวยพรพวกเขาในการรบชนะศัตรู แต่กระนั้นซาอูลก็มีอาการกระสับกระส่าย และแทนที่พลทหารจะไว้วางใจให้พระเจ้าทรงช่วยก็กลับมุ่งความสนใจไปที่กษัตริย์ที่ตนเลือกให้นำพาพวกเขาไป {PP 617.3}
อย่างไรก็ตามพระเจ้ายังทรงห่วงใยเขาทั้งหลาย พระองค์ไม่ทรงทอดทิ้งคนอิสราเอลให้พินาศ ซึ่งถ้าพวกเขาต้องพึ่งพาแต่กำลังอันน้อยนิดของมนุษย์ก็คงย่อยยับเป็นแน่ พระเจ้าทรงนำคนอิสราเอลเข้าสู่สถานการณ์คับขันเพื่อให้พวกเขาตระหนักว่าการพึ่งพามนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่โง่เขลา เขาทั้งหลายจึงจะหันมาหาความช่วยเหลือจากพระองค์เพียงผู้เดียว บัดนี้ได้เวลาพิสูจน์แล้วว่าซาอูลจะไว้วางใจในพระเจ้า และอดทนรอคอยตามที่พระองค์ทรงบัญชาหรือไม่ ซึ่งจะเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าสามารถวางพระทัยในตัวท่านให้นำคนของพระองค์ในยามลำบากได้จริง หรือแท้จริงแล้วท่านวางตัวเหมือนไม้หลักปักเลนจึงไม่เหมาะสมกับหน้าที่รับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์นั้น กษัตริย์ที่คนอิสราเอลเลือกจะยอมฟังจอมราชันผู้ปกครองเหนือบรรดากษัตริย์ทั้งปวงหรือไม่ ท่านจะหนุนใจทหารที่ท้อแท้ให้ไว้วางใจในองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่ทรงสามารถช่วยให้รอดหรือเปล่า {PP 618.1}
ซาอูลเฝ้ารอคอยการมาถึงของซามูเอลด้วยใจร้อนรนขึ้นเรื่อยๆ จึงสรุปไปว่าความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในกองทัพและการที่มีทหารหลายคนแอบหนีไปนั้นเป็นเพราะผู้เผยพระวจนะไม่อยู่ เมื่อถึงเวลาที่กำหนดไว้แล้วซามูเอลไม่ได้ปรากฏตัวในทันที พระเจ้าทรงนำให้มีเหตุถ่วงเวลาผู้รับใช้ของพระองค์ ซาอูลไม่สามารถเก็บอาการร้อนรนกระวนกระวายของท่านได้อีกแล้ว ท่านรู้สึกว่าจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อสยบความกลัวของเหล่าทหาร จึงเรียกประชุมให้ทุกคนมาร่วมในพิธีทางศาสนา ให้มีการถวายสัตวบูชาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า แม้ว่าพระองค์เคยมีคำสั่งในเรื่องนี้ว่า มีแต่ปุโรหิตที่ได้รับการเจิมไว้เท่านั้นที่สามารถถวายสัตวบูชาต่อพระองค์ได้ กระนั้นซาอูลรับสั่งว่า “จงนำเครื่องเผาบูชามาให้เราที่นี่” ท่านจึงเข้าใกล้แท่นบูชาทั้งที่ยังใส่ชุดเกราะและถืออาวุธอยู่ แล้วถวายเครื่องเผาบูชาต่อพระเจ้าที่นั่น {PP 618.2}
“ทันทีที่ถวายเสร็จ ซามูเอลก็มาถึง ซาอูลจึงออกไปต้อนรับ” (1 ซามูเอล 13:10 TNCV) ซามูเอลเห็นเดี๋ยวนั้นว่าซาอูลได้ฝ่าฝืนคำสั่งที่ระบุไว้อย่างชัดเจน พระเจ้าตรัสผ่านผู้เผยพระวจนะไว้ล่วงหน้าแล้วว่าเมื่อถึงวิกฤตในครั้งนี้พระองค์จะทรงเปิดเผยให้คนอิสราเอลรู้ว่าจะต้องทำอย่างไร พระสัญญาแห่งการช่วยเหลือนี้มีเงื่อนไข ซึ่งถ้าซาอูลได้กระทำตาม พระองค์คงช่วยกู้คนอิสราเอลอย่างอัศจรรย์ด้วยกำลังพลอันน้อยนิดที่ยังคงภักดีต่อซาอูล แต่ท่านหลงมั่นใจในตัวเองและผลงานจึงออกไปต้อนรับผู้เผยพระวจนะอย่างหน้าชื่นตาบานเหมือนจะได้รับคำชื่นชม มิใช่คนที่กำลังจะโดนตำหนิติเตียน {PP 618.3}
ใบหน้าของซามูเอลเต็มไปด้วยความทุกข์กังวล แต่เมื่อถามซาอูลว่า “ท่านทำอะไรลงไป” ท่านกลับแก้ตัวในเรื่องที่ทำลงไปโดยพลการว่า “ข้าพเจ้าเห็นไพร่พลกระจัดกระจายไป และท่านไม่ได้มาตามเวลาที่กำหนดไว้ ฝ่ายชาวฟีลิสเตียก็มาชุมนุมกันอยู่ที่มิคมาช ข้าพเจ้าคิดว่า ‘ชาวฟีลิสเตียจะลงมาถล่มเราที่กิลกาลแล้ว เราเองก็ยังไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำต้องถวายเครื่องเผาบูชา” (1 ซามูเอล 13:11–12 TNCV) {PP 621.1}
“ซามูเอลกล่าวแก่ซาอูลว่า ‘ท่านได้กระทำการที่โง่เขลาเสียแล้ว ท่านมิได้รักษาพระบัญชาแห่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาท่านไว้ เพราะพระเจ้าจะได้ทรงสถาปนาราชอาณาจักรของท่านเหนืออิสราเอลเป็นนิตย์แล้ว แต่บัดนี้ราชอาณาจักรของท่านจะไม่ยั่งยืน พระเจ้าทรงหาชายอีกคนหนึ่งตามชอบพระทัยพระองค์แล้ว และพระเจ้าทรงแต่งตั้งชายผู้นั้นให้เป็นเจ้านายเหนือชนชาติของพระองค์’…และซามูเอลก็ลุกขึ้นไปจากกิลกาลถึงกิเบอาห์แห่งเผ่าเบนยามิน” {PP 621.2}
ผลของการไม่เชื่อฟังของซาอูล
มีทางเลือกอยู่เพียง 2 ทางสำหรับชนชาติอิสราเอล คือให้พวกเขาสิ้นสุดการเป็นประชากรพิเศษของพระเจ้า หรือให้ปฏิบัติตามหลักการที่ใช้ในการสถาปนาระบอบกษัตริย์และบริหารชาติบ้านเมืองด้วยอำนาจของพระองค์ ถ้าหากคนอิสราเอลเป็นของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และสยบความปรารถนากับเจตจำนงของมนุษย์ไว้ใต้น้ำพระทัยของพระองค์ พระองค์คงครอบครองเหนืออิสราเอลต่อไป ตราบใดที่กษัตริย์และประชาชนดำเนินภายใต้การบังคับบัญชาของพระเจ้า พระองค์จะทรงปกป้องคุ้มครองพวกเขาตลอดไป แต่ระบอบกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอลจะไม่เจริญรุ่งเรืองหากไม่ยอมรับว่าพระเจ้าทรงมีอำนาจสูงสุดในทุกๆ เรื่อง {PP 621.3}
ถ้าซาอูลเคารพต่อข้อกำหนดของพระเจ้าในวิกฤตครั้งนี้ พระองค์จะสามารถทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จผ่านมือของท่านได้ แต่ความผิดพลาดของซาอูลพิสูจน์แล้วว่าท่านไม่เหมาะสมที่จะเป็นตัวแทนของพระเจ้าสำหรับประชากรของพระองค์ เพราะท่านจะพาคนอิสราเอลไขว้เขวและจะทำตามใจตัวเองแทนน้ำพระทัยของพระเจ้า ถ้าซาอูลซื่อสัตย์ อาณาจักรของท่านจะมั่นคงเป็นนิตย์ แต่เนื่องจากท่านล้มเหลว พระประสงค์ของพระเจ้าจึงต้องสำเร็จผ่านคนอื่น จะต้องมอบการปกครองประชากรอิสราเอลไว้ในการดูแลของผู้ที่จะทำตามความปรารถนาของสวรรค์เท่านั้น {PP 621.4}
เราไม่รู้เลยว่ามีประเด็นสำคัญอะไรบ้างที่ขึ้นอยู่กับการผ่านการทดสอบของพระเจ้า ไม่มีความปลอดภัยใดๆ นอกเหนือจากการปฏิบัติตามพระวจนะของพระองค์อย่างถ้วนถี่ พระสัญญาทุกข้อของพระเจ้ามีความเชื่อและการเชื่อฟังเป็นเงื่อนไข การไม่กระทำตามพระบัญชาของพระองค์ทำให้เราขาดจากพระพรที่มีอยู่อย่างล้นเหลือในพระวจนะ เราไม่ควรทำตามความรู้สึก หรือพึ่งพาสติปัญญาของมนุษย์ แต่ควรมองไปที่พระประสงค์ของพระเจ้าตามที่เปิดเผยอยู่ในพระคัมภีร์และดำเนินตามพระบัญชาอันกระจ่างแจ้งของพระองค์ไม่ว่าสถานการณ์รอบด้านจะเป็นอย่างไร พระเจ้าจะทรงรับผิดชอบต่อผลนั้นเอง เมื่อเราซื่อสัตย์ต่อพระวจนะของพระองค์ในภาวะที่ถูกทดลอง จะเป็นการพิสูจน์ให้มนุษย์และทูตสวรรค์เห็นว่าพระองค์ทรงสามารถวางพระทัยให้เราดำเนินตามพระประสงค์ในยามคับขันได้ ทั้งวางพระทัยให้เราถวายเกียรติแด่พระนามของพระองค์และเป็นพระพรให้แก่ประชากรของพระองค์ได้ {PP 621.5}
พระเจ้าไม่พอพระทัยซาอูล แต่ท่านยังไม่ยอมสำนึกผิดและถ่อมใจลง ท่านเป็นคนที่ขาดศีลธรรมในใจจึงพยายามทดแทนด้วยการทุ่มเทให้กับศาสนพิธี ซาอูลรู้เรื่องประวัติศาสตร์ที่คนอิสราเอลพ่ายแพ้เมื่อโฮฟนีและฟีเนหัสนำหีบแห่งพระเจ้าเข้ามาในค่าย กระนั้นท่านยังหมายมั่นปั้นมือที่จะส่งคนไปเรียกให้ปุโรหิตนำหีบศักดิ์สิทธิ์นั้นมา ซาอูลหวังว่าวิธีนี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนได้ และทหารที่กระจัดกระจายไปนั้นจะได้กลับมาสู้รบกับคนฟีลิสเตีย ท่านต้องการเป็นอิสระจากการสนับสนุนของซามูเอล จึงส่งผู้เผยพระวจนะกลับเพื่อจะไม่ต้องฟังคำว่ากล่าวตักเตือนของท่าน {PP 622.1}
พระเจ้าประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่ซาอูลเพื่อให้ท่านมีความเข้าใจและมีจิตใจอ่อนโยน ผู้เผยพระวจนะของพระองค์ได้ตักเตือนสั่งสอนท่านอย่างสัตย์ซื่อ แต่ท่านยังเตลิดไปไกลถึงขั้นนั้น เรื่องราวกษัตริย์องค์แรกของชาวอิสราเอลเป็นอุทาหรณ์อันน่าเศร้าเกี่ยวกับพลังแห่งการบ่มเพาะอุปนิสัยที่ผิดพลาดในวัยเยาว์ ช่วงที่ซาอูลยังเป็นหนุ่มท่านไม่มีความรักและความยำเกรงในพระเจ้า ท่านไม่ได้ฝึกควบคุมความคึกคะนอง จึงพร้อมที่จะขัดต่ออำนาจของพระองค์อยู่เสมอ คนที่เคารพนับถือน้ำพระทัยของพระเจ้าในขณะที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาวและปฏิบัติตามหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ ก็จะพร้อมสำหรับความรับผิดชอบที่สูงขึ้นเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แต่ถ้ามนุษย์ใช้ความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ในทางที่ผิดอย่างต่อเนื่องกันหลายปีก็จะไม่สามารถเปลี่ยนกลับมาทำในสิ่งที่ดีงามอย่างถนัดคล่องแคล่วได้ในทันที {PP 622.2}
ความพยายามของซาอูลในการปลุกใจประชาชนไม่ได้ผล เมื่อพบว่ากองกำลังของท่านเหลือเพียง 600 นาย จึงถอยจากกิลกาลไปยังป้อมที่เกบาที่เพิ่งยึดมาจากชาวฟีลิสเตียเมื่อไม่นานมานี้ ป้อมแห่งนี้อยู่ทางฝั่งใต้ของช่องเขาหินขรุขระที่ห่างจากสถานที่ตั้งเมืองเยรูซาเล็มไปทางทิศเหนือไม่กี่ไมล์ กองกำลังชาวฟีลิสเตียตั้งค่ายอยู่ที่มิคมาชทางด้านเหนือของช่องเขาเดียวกัน และส่งกำลังพลออกไปปล้นสะดมทั่วทุกสารทิศ {PP 622.3}
โยนาธานรับเลือกให้กอบกู้
พระเจ้าทรงยอมให้เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นวิกฤตเพื่อประณามความดื้อรั้นของซาอูล ทั้งเพื่อสอนบทเรียนเรื่องการถ่อมใจและความเชื่อให้แก่คนของพระองค์ ความบาปของซาอูลที่บังอาจถวายเครื่องบูชานั้น เป็นเหตุให้ท่านไม่ได้รับเกียรติจากพระเจ้าในการเป็นผู้พิชิตชาวฟีลิสเตีย แต่พระเจ้าทรงเลือกโยนาธานราชโอรสของกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้าให้มากอบกู้อิสราเอลในครั้งนี้ พระองค์ทรงดลใจโยนาธานให้ชักชวนมหาดเล็กที่เชิญอาวุธไปแอบโจมตีค่ายของศัตรู โดยกล่าวขึ้นว่า “บางทีพระเจ้าจะทรงประกอบกิจเพื่อเรา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ขัดขวางพระเจ้าได้ในการที่พระองค์จะทรงช่วยกู้ไม่ว่าโดยคนมากหรือน้อย” {PP 623.1}
ผู้เชิญอาวุธของโยนาธานเป็นนักอธิษฐานที่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า เขารู้สึกมีกำลังใจขึ้นเมื่อได้ยินแผนการของโยนาธาน พวกเขาจึงออกจากค่ายไปอย่างลับๆ เกรงว่าจะมีคนเข้ามาขัดขวาง เขาทั้งสองอธิษฐานอย่างร้อนรนต่อพระเจ้าผู้ที่ทรงนำบรรพบุรุษของเขาในอดีต และตกลงในหมายสำคัญที่จะช่วยในการตัดสินใจว่าจะก้าวต่อไปอย่างไร โยนาธานกับผู้เชิญอาวุธเดินลงไปในช่องเหวที่กั้นระหว่างค่ายทหารทั้ง 2 ฝ่ายอย่างเงียบๆ บนทางที่เป็นหินตะปุ่มตะป่ำภายใต้เงาของหน้าผาและสันเขาที่ช่วยบังพวกเขาไว้ ขณะที่เข้าใกล้ป้อมของชาวฟีลิสเตียเขาทั้งสองเปิดเผยตัวออกมาให้ฝ่ายศัตรูเห็นได้ชัด พวกทหารฟีลิสเตียจึงเยาะเย้ยขึ้นว่า “ดูแน่ะ พวกฮีบรูคลานออกมาจากรูที่ซ่อนตัวแล้ว” พร้อมท้าทายขึ้นว่า “ขึ้นมาสิ จะสอนบทเรียนให้” (1 ซามูเอล 14:11–12 TNCV) อันหมายถึงเขาจะทำโทษชาวอิสราเอลทั้ง 2 คนที่อาจหาญเช่นนี้ คำท้าทายของชาวฟีลิสเตียตรงกับหมายสำคัญที่ว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้แผนการสำเร็จตามที่โยนาธานกับคู่หูของท่านได้ตกลงกันไว้ ผู้กล้าทั้งสองจึงซ่อนตัวให้พ้นจากสายตาศัตรูโดยเลือกปีนขึ้นไปบนหน้าผาตามเส้นทางที่ชาวฟีลิสเตียไม่คาดคิดว่าจะมีทางขึ้นไปได้จึงมีการวางทหารยามไว้น้อย ด้วยวิธีนี้โยนาธานกับผู้เชิญอาวุธได้บุกเข้าไปในค่ายศัตรูแล้วฆ่าทหารยามที่ตกใจกลัวจนไม่ทันได้ตอบโต้กลับ {PP 623.2}
ทูตสวรรค์ปกป้องโยนาธานและมหาดเล็ก พร้อมช่วยต่อสู้เคียงข้างเขาทั้งสอง ชาวฟีลิสเตียจึงล้มตายอยู่ต่อหน้า เกิดแผ่นดินสะเทือนสะท้านราวกับมีพลม้าและรถรบจำนวนมหาศาลโรมรันเข้ามาใกล้ โยนาธานสังเกตเห็นว่านี่เป็นหมายสำคัญของการช่วยเหลือที่มาจากพระเจ้า แม้แต่ชาวฟีลิสเตียก็ยังรู้ว่าพระองค์ทรงกระทำการเพื่อกอบกู้คนอิสราเอล ฝ่ายศัตรูที่อยู่ในป้อมและที่อยู่ภาคสนามต่างตื่นตระหนกตกใจ เกิดความสับสนอลหม่านขึ้นจนคนฟีลิสเตียเข้าใจผิด คิดว่าทหารของตนคือฝ่ายศัตรู พวกเขาจึงตั้งต้นฆ่ากันเอง {PP 623.3}
ในไม่ช้าเสียงการต่อสู้ก็ดังไปถึงค่ายคนอิสราเอล ทหารยามของกษัตริย์ซาอูลป่าวประกาศว่าเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นท่ามกลางคนฟีลิสเตีย และจำนวนผู้คนลดน้อยลงเรื่อยๆ ในขณะนั้นยังไม่มีใครรู้ว่ามีคนแอบออกไปจากค่ายทหารชาวฮีบรู พอตรวจนับก็พบว่ามีแต่โยนาธานกับผู้เชิญอาวุธของเขาที่ไม่อยู่ในค่าย เมื่อเห็นว่าพวกฟีลิสเตียกำลังล่าถอยไป ซาอูลจึงนำกองทัพของท่านเข้าร่วมโจมตี ส่วนชาวฮีบรูที่สวามิภักดิ์ต่อศัตรูก็ลุกขึ้นมาต่อสู้ด้วย และยังมีคนอีกมากมายที่ซ่อนตัวอยู่ออกมาร่วมสมทบ กองทัพซาอูลไล่ฆ่าฟันพวกที่หนีเอาชีวิตรอดจากความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงของชาวฟีลิสเตีย {PP 624.1}
รู้เท่าไม่ถึงการณ์
กษัตริย์ซาอูลเห็นโอกาสในขณะที่ตนกำลังได้เปรียบคู่ต่อสู้จึงออกคำสั่งโดยไม่ยั้งคิดว่า ห้ามไม่ให้ทหารของท่านกินอาหารในวันนั้นทั้งวัน และเพื่อให้คนทั้งหลายทำตามคำสั่งของท่าน ซาอูลจึงสาปแช่งขึ้นว่า “ใครก็ตามรับประทานอาหารก่อนจะถึงเย็น และก่อนเราแก้แค้นพวกศัตรูของเรา ก็ขอให้ถูกสาปแช่ง” (1 ซามูเอล 14:24 NTV) คนอิสราเอลได้รับชัยชนะแล้วโดยที่ซาอูลไม่รู้เรื่องและไม่มีส่วนร่วมในชัยชนะนั้น แต่ท่านหวังจะได้ชื่อว่าเป็นคนทำลายกองทัพศัตรูจนสิ้นซาก คำสั่งที่ไม่ให้กินอาหารเกิดจากความมักมากเห็นแก่ตัว ทั้งแสดงให้เห็นว่าผู้เป็นกษัตริย์ไม่แยแสต่อความต้องการของประชาชนหากเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ท่านได้รับการยกย่องสรรเสริญ การห้ามด้วยคำสาปแช่งนั้นพิสูจน์ให้เห็นว่าซาอูลขาดความยั้งคิดและเป็นคนหยาบคาย ถ้อยคำที่ใช้ในการสาปแช่งนั้นเป็นหลักฐานที่แสดงว่าท่านบันดาลโทสะเพื่อตนเอง ไม่ใช่เพื่อการถวายเกียรติแด่พระเจ้า ท่านไม่ได้กล่าวว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแก้แค้นพวกศัตรูของพระองค์’ แต่ได้เปิดเผยความมุ่งหมายของตนว่า “เราแก้แค้นพวกศัตรูของเรา” {PP 624.2}
การห้ามปรามของซาอูลส่งผลให้ประชาชนละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า พวกเขาต่อสู้มาทั้งวัน และรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเพราะไม่ได้กินอาหาร พอครบกำหนดเวลาที่ห้ามไว้พวกเขากระโจนใส่สัตว์ที่ริบมาและฆ่ากินดิบๆ พร้อมกับเลือด ซึ่งเป็นการละเมิดบัญญัติข้อที่ห้ามรับประทานเลือด {PP 624.3}
ในระหว่างการต่อสู้ โยนาธานกินน้ำผึ้งป่าเล็กน้อยขณะที่เดินผ่านป่าแห่งหนึ่ง แต่เนื่องจากเขาไม่ได้ยินคำสั่งของกษัตริย์ จึงไม่รู้ตัวว่าตนได้ฝ่าฝืนข้อห้าม พอตกเย็นเมื่อซาอูลรู้เรื่องเข้าจึงประกาศลั่นว่าจะต้องประหารชีวิตผู้ที่ฝ่าฝืนคำสั่งของท่าน ทั้งที่โยนาธานไม่ได้จงใจกระทำผิด และพระเจ้าทรงคุ้มครองเขาอย่างอัศจรรย์และทรงนำชัยชนะสู่อิสราเอลผ่านเขา กษัตริย์ซาอูลก็ยังประกาศลั่นว่าการประหารจะต้องดำเนินต่อไปตามคำสั่ง ถ้าจะไว้ชีวิตบุตรชายก็เท่ากับเป็นการยอมรับว่าท่านทำบาปที่กล่าวสาปแช่งโดยไม่ยั้งคิด ซึ่งถือเป็นการทำให้ตัวเองขายหน้า ซาอูลจึงประกาศโทษที่โหดเหี้ยมว่า “ขอพระเจ้าทรงลงโทษและยิ่งหนักกว่า โยนาธานเจ้าจะต้องตายแน่” {PP 624.4}
ซาอูลไม่สามารถอวดอ้างถึงชัยชนะในครั้งนี้ แต่ท่านหวังจะได้รับการยกย่องที่ปฏิบัติตามคำสบถสาบานของตนอย่างเคร่งครัด ท่านอยากให้ประชาชนเห็นเป็นที่ประจักษ์ว่าจำเป็นต้องปกป้องอำนาจของกษัตริย์แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของราชโอรสก็ตาม ก่อนหน้านี้ไม่นานที่กิลกาลซาอูลบังอาจทำหน้าที่ของปุโรหิตซึ่งเป็นการขัดต่อพระบัญชาของพระเจ้า เมื่อซามูเอลวิจารณ์การกระทำดังกล่าว ท่านแก้ตัวหน้าตาเฉย บัดนี้เมื่อมีคนฝ่าฝืนคำบัญชาของตน แม้จะเป็นคำสั่งที่ไร้เหตุผลและผู้ฝ่าฝืนนั้นทำลงไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผู้เป็นกษัตริย์ก็สั่งให้ประหารชีวิตโอรสของตน {PP 625.1}
ปกป้องโยนาธาน
ประชาชนไม่ยอมให้การประหารชีวิตเกิดขึ้นตามคำสั่ง แต่ยอมเสี่ยงต่อความเกรี้ยวกราดของกษัตริย์โดยกล่าวว่า “โยนาธานผู้ได้ทำการกอบกู้ครั้งใหญ่ในอิสราเอลนี้ควรจะตายหรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด แม้แต่ผมสักเส้นบนศีรษะของเขาก็จะไม่ตกถึงพื้นฉันนั้น เพราะเขาทำศึกในวันนี้โดยพระเจ้าทรงช่วย” (1 ซามูเอล 14:45 TNCV) พระราชาผู้หยิ่งยโสไม่กล้าขัดต่อเสียงเอกฉันท์ของประชาชน โยนาธานจึงรอดชีวิต {PP 625.2}
แน่นอนว่าซาอูลต้องรู้สึกว่าโยนาธานเป็นที่โปรดปรานของประชาชนและพระเจ้ามากกว่าตน การกอบกู้ชีวิตของโยนาธานเป็นการประณามความมุทะลุของกษัตริย์อย่างรุนแรง ท่านสังหรณ์ใจว่าคำสาปแช่งของตนจะย้อนกลับมาหาตัวท่านเอง หลังจากนั้นไม่นานซาอูลจึงเลิกทำสงครามกับชาวฟีลิสเตีย แล้วเดินทางกลับเมืองด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง {PP 625.3}
คนที่ชอบแก้ตัวมากที่สุดเมื่อตัวเองทำบาปมักจะเป็นพวกที่ตัดสินคนอื่นอย่างรุนแรง หลายคนทำตัวเหมือนซาอูลที่สร้างความไม่พอพระทัยให้กับพระเจ้า ในขณะเดียวกันก็ไม่ฟังคำแนะนำและปฏิเสธคำตักเตือน ถึงจะรู้ว่าพระเจ้าไม่สถิตอยู่ด้วยแต่คนเหล่านี้ไม่ยอมรับว่าตนเป็นต้นเหตุของปัญหาที่เผชิญอยู่ พวกเขาทะนงตัวและชอบอวดอ้างในขณะที่พูดจาประณามคนอื่นที่ดีกว่าตนอย่างเสียๆ หายๆ คนที่แต่งตั้งตัวเองเป็นผู้พิพากษาเช่นนี้ควรพิจารณาพระดำรัสของพระคริสต์ที่บันทึกไว้ว่า “พวกท่านจะพิพากษาผู้อื่นอย่างไร พระเจ้าจะทรงพิพากษาท่านอย่างนั้น และท่านทั้งหลายจะตวงให้ผู้อื่นด้วยทะนานอันใด พระเจ้าจะทรงตวงให้พวกท่านด้วยทะนานอันนั้น” (มัทธิว 7:2 THSV) {PP 625.4}
คนที่ยกตัวเองมักจะถูกต้อนไปอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผยธาตุแท้ของตนออกมา ในกรณีของซาอูลก็เช่นเดียวกัน การกระทำของท่านทำให้ประชาชนเชื่อว่าสำหรับซาอูลแล้วอำนาจและเกียรติยศของกษัตริย์สำคัญยิ่งกว่าความยุติธรรมและความเมตตาปรานี ฉะนั้นพระเจ้าทรงทำให้ประชาชนเห็นถึงความผิดของตนที่ปฏิเสธระบบการปกครองที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ พวกเขายอมสละผู้เผยพระวจนะที่ติดตามพระเจ้าและอธิษฐานขอพรให้พวกเขา เพื่อรับเอากษัตริย์ผู้กระฟัดกระเฟียดและสาปแช่งประชาชน {PP 625.5}
ถ้าประชาชนไม่ได้ลุกขึ้นมาแทรกแซงเพื่อขอชีวิตโยนาธาน เขาคงต้องตายด้วยคำสั่งของกษัตริย์แม้ว่าเขาเป็นผู้ที่ช่วยกอบกู้คนอิสราเอลก็ตาม ตั้งแต่นั้นมาประชาชนคงติดตามซาอูลด้วยความระแวงแคลงใจเป็นอย่างยิ่ง และคงรู้สึกเสียดายที่การเรียกร้องของตนเป็นเหตุให้ท่านขึ้นครองบัลลังก์ พระเจ้าทรงอดกลั้นพระทัยต่อความหัวดื้อหัวรั้นของมนุษย์แต่ละคนมาอย่างช้านาน และประทานโอกาสให้ทุกคนตระหนักถึงความบาปของตนเพื่อจะได้ละทิ้งเสีย บางครั้งอาจดูเหมือนพระองค์ทรงอวยพรคนที่ไม่ใส่ใจต่อน้ำพระทัยและดูหมิ่นคำตักเตือนของพระองค์ให้เจริญขึ้น แต่เมื่อถึงเวลา พระองค์จะทรงเปิดเผยความโง่เขลาของคนนั้นให้เป็นที่ประจักษ์ {PP 626.1}