บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 325. การอพยพออกจากอียิปต์

25. การอพยพออกจากอียิปต์

พร้อมออกเดินทาง

คนอิสราเอลยืนอยู่เงียบๆ เฝ้ารอฟังคำสั่งจากฟาโรห์ให้ออกจากอียิปต์ด้วยใจจดจ่อระคนกลัวเกรง ต่างมีผ้าคาดไว้ที่เอว ไม้เท้าอยู่ในมือ และสวมรองเท้าพร้อมมุ่งหน้าออกไป คนอิสราเอลได้ออกเดินทางก่อนที่ดวงอาทิตย์ขึ้น ฤทธานุภาพของพระเจ้าที่สำแดงในภัยพิบัติต่างๆ ได้จุดประกายความเชื่อของเหล่าทาสอิสราเอล แต่กลับทำให้นายทาสผู้กดขี่ถึงกับขนพองสยองเกล้า ในช่วงนั้นเองคนอิสราเอลค่อยๆ รวมตัวกันที่เมืองโกเชน แม้ว่าต้องรีบออกเดินทาง แต่มีการจัดระเบียบไว้ระดับหนึ่งเพื่อควบคุมดูแลการเดินทางของมหาชน โดยแบ่งประชาชนออกเป็นกลุ่มเป็นกองตามผู้นำที่แต่งตั้งไว้ {PP 281.1}

แล้วพวกเขาก็ออกเดินทาง “นับแต่ผู้ชายได้ประมาณ 600,000 คน ผู้หญิงและเด็กต่างหาก มีฝูงชนชาติอื่นเป็นจำนวนมากติดตามไปด้วย” ในคนเหล่านี้ไม่ได้มีเพียงผู้ที่เชื่อในพระเจ้าของอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายคนที่ร่วมเดินทางไปด้วยเพราะปรารถนาเพียงการหลุดพ้นจากภัยพิบัติ หรือรู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้อยากเห็นเฉยๆ คนกลุ่มนี้จะกลายเป็นหอกข้างแคร่คอยทิ่มแทงคนอิสราเอลอยู่เรื่อยๆ ในเวลาต่อมา {PP 281.2}

ประชาชนออกเดินทาง “พร้อมทั้งฝูงสัตว์ คือฝูงแพะแกะและโคจำนวนมากมาย” ฝูงสัตว์เหล่านี้ยังคงเป็นสมบัติของคนอิสราเอล เพราะพวกเขาไม่เคยขายสมบัติเหล่านี้แก่ฟาโรห์เหมือนคนอียิปต์ ยาโคบและบรรดาบุตรของท่านได้นำฝูงสัตว์เข้ามาในแผ่นดินอียิปต์ แล้วจำนวนสัตว์เหล่านั้นได้เพิ่มทวีคูณ ก่อนที่จะออกจากประเทศ โมเสสสั่งประชาชนให้เรียกร้องค่าแรงที่ค้างอยู่ ส่วนคนอียิปต์ก็ไม่ปฏิเสธเพราะอยากให้คนอิสราเอลออกจากประเทศโดยเร็ว บรรดาทาสชาวอิสราเอลจึงออกเดินทางโดยบรรทุกเอาของทั้งหลายที่ริบมาจากผู้ที่เคยข่มเหงตนไปด้วย {PP 281.3}

วันนั้นจึงสำเร็จตามนิมิตที่พระเจ้าทรงสำแดงแก่อับราฮัมเมื่อหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น “เชื้อสายของเจ้าจะเป็นคนต่างด้าวในดินแดนซึ่งไม่ใช่ที่ของพวกเขา และพวกเขาจะต้องรับใช้ชาวเมืองนั้น ชาวเมืองนั้นจะกดขี่เขาถึง 400 ปี ส่วนชนชาติที่เขารับใช้อยู่นั้น เราจะพิพากษาลงโทษ ต่อมาเชื้อสายของเจ้าจะออกมา พร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย” (ปฐมกาล 15:13–14 THSV)1 เวลา 400 ปีที่ทำนายไว้ก็ล่วงผ่านไป “วันนั้นแหละพระเยโฮวาห์ทรงนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ แยกเป็นกระบวนพลโยธา” (อพยพ 12:51 TKJV) ในวันที่ชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์ พวกเขาได้นำมรดกอันมีค่าออกมาด้วย คือกระดูกของโยเซฟ ซึ่งรอวันที่พระสัญญาของพระเจ้าจะสำเร็จมาช้านาน และได้เป็นเครื่องเตือนใจคนอิสราเอลถึงวันคืนอันโหดร้ายขณะเป็นทาสว่าตนจะได้รับการปลดปล่อย {PP 281.4}

เลี่ยงเส้นทางอันตราย

แทนที่คนอิสราเอลจะใช้เส้นทางตรงไปยังคานาอัน ซึ่งตัดผ่านแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย พระเจ้าทรงนำพวกเขาเลี่ยงไปทางใต้สู่ชายฝั่งทะเลแดง “เพราะพระเจ้าตรัสว่า ‘เกรงว่าเมื่อประชากรไปเผชิญสงครามเข้า เขาจะเปลี่ยนใจและกลับไปยังอียิปต์เสีย’” หากว่าพวกเขาพยายามจะตัดผ่านแผ่นดินของชาวฟีลิสเตีย การเดินทางจะถูกขัดขวางแน่ เพราะชาวฟีลิสเตียถือว่าพวกเขาเป็นทาสที่หนีเจ้านายมา คงทำสงครามด้วยอย่างไม่ลังเล คนอิสราเอลเองไม่ได้ฝึกให้พร้อมเผชิญกับนักรบที่เก่งกาจอย่างนั้น พวกเขารู้จักพระเจ้าเพียงน้อยนิดและมีความเชื่อไม่มาก หากเผชิญหน้ากับศัตรูคงคร้ามเกรงและท้อใจ พวกเขาไม่มีอาวุธและไม่เคยสู้รบมาก่อน มีจิตใจห่อเหี่ยวจากการเป็นทาสมานาน แล้วยังมีผู้หญิง เด็ก และสัตว์เลี้ยงที่ต้องเป็นห่วง ดังนั้นการที่พระเจ้าทรงนำพวกเขาไปทางทะเลแดงแสดงให้เห็นว่าพระองค์ผู้ทรงพิพากษาอย่างยุติธรรมทรงกอปรด้วยพระเมตตาคุณ {PP 282.1}

“เมื่อออกจากเมืองสุคคท พวกเขาตั้งค่ายพักแรมที่เอธามริมทะเลทราย องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จล่วงหน้าพวกเขาไปในเสาเมฆเพื่อนำทางพวกเขาในเวลากลางวัน และในเสาเพลิงเพื่อให้แสงสว่างแก่พวกเขาในเวลากลางคืน เพื่อพวกเขาจะเดินทางได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ทั้งเสาเมฆในเวลากลางวันและเสาเพลิงในเวลากลางคืนไม่เคยคลาดจากเบื้องหน้าประชากรเลย” (อพยพ 13:20–22 TNCV) ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวไว้ว่า “พระองค์ทรงกางเมฆเป็นเครื่องกำบัง และไฟให้ความสว่างเวลากลางคืน” (สดุดี 105:39 TH1971) (ดู 1 โครินธ์ 10:1–2) สัญลักษณ์ของพระองค์ผู้ที่พวกเขามองไม่เห็นนั้นปรากฏอยู่ตลอดเวลา กลางวันมีเสาเมฆนำหน้าเป็นร่มกำบังเหนือประชาชน ปกป้องพวกเขาจากแสงแดดที่ร้อนแรง และให้ความรู้สึกชุ่มชื่นเย็นสบายท่ามกลางถิ่นทุรกันดารที่แห้งแล้ง กลางคืนก็กลายเป็นเสาเพลิงให้ความสว่างทั่วค่ายพัก และทำให้ประชาชนมั่นใจว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพวกเขาจริง {PP 282.2}

คำพยากรณ์ของอิสยาห์ที่ไพเราะและหนุนใจมากที่สุดบทหนึ่ง ได้ใช้เสาเมฆและเสาเพลิงเป็นสัญลักษณ์ว่าพระเจ้าจะทรงคุ้มครองดูแลคนของพระองค์ในการต่อสู้กับความชั่วร้ายครั้งใหญ่ในวาระสุดท้าย กล่าวว่า “จากนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างกลุ่มเมฆควันในยามกลางวัน และเปลวไฟลุกโชติช่วงในยามกลางคืนเหนือภูเขาศิโยนและเหนือบรรดาผู้ที่ชุมนุมกันอยู่ที่นั่น เหนือสิ่งทั้งหมดเหล่านั้นคือพระเกียรติสิริของพระเจ้าจะเป็นเพดานฟ้า เป็นร่มเงากำบังความร้อนระอุในยามกลางวันและเป็นที่ปกป้องและที่พักพิงจากพายุและฝน” (อิสยาห์ 4:5–6 TNCV) {PP 283.1}

ฟาโรห์เปลี่ยนใจ

ชาวอิสราเอลเดินทางในถิ่นทุรกันดารอันเวิ้งว้างกว้างใหญ่จนเริ่มสงสัยว่าจุดหมายที่จะไปนั้นอยู่ที่ไหน พวกเขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้ากับหนทางที่ยากลำบาก ขณะเดียวกันบางคนก็กลัวว่าคนอียิปต์จะไล่ตามมา แต่เสาเมฆยังคงมุ่งหน้าต่อไปและพวกเขาก็เดินตาม แล้วพระเจ้าทรงนำโมเสสให้เลี้ยวไปทางช่องแคบระหว่างหินผา และตั้งค่ายที่ชายทะเล พระองค์ทรงเผยแก่โมเสสว่าฟาโรห์จะไล่ตามพวกเขา แต่พระองค์จะทรงได้รับพระเกียรติในการช่วยกู้คนอิสราเอล {PP 283.2}

ข่าวได้แพร่สะพัดไปทั่วอียิปต์ว่าคนอิสราเอลมุ่งหน้าไปที่ทะเลแดงแทนที่จะอยู่นมัสการในถิ่นทุรกันดาร ที่ปรึกษาของฟาโรห์รายงานว่าทาสเหล่านั้นได้หนีไปแล้วและจะไม่กลับมาอีก ชาวอียิปต์ต่างเสียใจในความโง่เขลาที่หลงเชื่อว่าการตายของบุตรหัวปีเกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ภายหลังจากที่หายกลัวแล้ว พวกคนใหญ่คนโตลงความเห็นกันว่าภัยพิบัติทั้งหลายนั้นเป็นภัยธรรมชาติ จึงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวดว่า “ทำไมเราจึงทำเช่นนี้ ไฉนเราจึงได้ปล่อยพวกอิสราเอลไปให้พ้นจากการรับใช้เราเล่า” {PP 283.3}

ฟาโรห์รวบรวมพลทหาร มี “รถม้าศึกที่ดีที่สุด 600 คันและรถม้าศึกอื่นๆ ทั้งปวงของอียิปต์” (อพยพ 14:7 TNCV) นอกจากนี้ยังมีพลม้า ผู้บังคับการ และทหารราบ ฟาโรห์เองนำหน้ากองทัพพร้อมด้วยเหล่าทหารแกล้วกล้าของแผ่นดินออกไปเพื่อโจมตีคนอิสราเอล พวกปุโรหิตยังได้ร่วมเดินทางไปด้วยเพื่อหวังให้เทพเจ้าโปรดปรานและนำชัยชนะกลับมา ฟาโรห์หมายมั่นว่าจะขู่คนอิสราเอลให้กลัวด้วยอำนาจกองกำลังของตน ชาวอียิปต์เกรงว่าการที่ต้องยอมจำนนต่อพระเจ้าของคนอิสราเอลจะทำให้กลายเป็นที่ดูถูกของชนชาติต่างๆ แต่ถ้าพวกเขาออกไปสำแดงอำนาจยิ่งใหญ่และนำพวกเชลยกลับมาได้ตอนนี้ ก็ยังสามารถกู้ชื่อเสียงและได้ทาสเหล่านั้นกลับมาทำงานได้ตามเดิม {PP 283.4}

คนฮีบรูตั้งค่ายอยู่ชายฝั่งทะเล ดูเหมือนว่าพวกเขาถึงทางตันเพราะมีน้ำทะเลกั้นอยู่ ส่วนทางใต้ก็มีภูเขาขรุขระขวางไว้ไม่สามารถผ่านไปได้ ทันใดนั้นประชาชนเห็นแสงวาววับสะท้อนมายังพวกเขา คือเสื้อเกราะและขบวนรถมาศึกของกองทัพมหึมามุ่งหน้ามาแต่ไกล พอเคลื่อนเข้ามาใกล้จนสามารถเห็นกองทัพทั้งหมด คนอิสราเอลก็เกิดความหวาดกลัวยิ่งนัก บ้างก็ร้องอธิษฐานต่อพระเจ้า แต่คนส่วนใหญ่บ่นต่อว่าโมเสสทันที่ว่า “หลุมฝังศพในอียิปต์ไม่มีหรือ ท่านจึงพาเราออกมาให้ตายในถิ่นทุรกันดาร ทำไมหนอ ท่านจึงพาเราออกมาจากอียิปต์ พวกเราบอกท่านในอียิปต์แล้วมิใช่หรือว่า ปล่อยพวกเราแต่ลำพัง ให้พวกเรารับใช้ชาวอียิปต์เถิด เพราะการรับใช้ชาวอียิปต์นั้นก็ยังดีกว่าที่จะมาตายในถิ่นทุรกันดาร” {PP 283.5}

โมเสสแบกภาระ

โมเสสทุกข์ใจเป็นอย่างมากที่ประชาชนขาดความเชื่อในพระเจ้า ถึงแม้พวกเขาได้เห็นฤทธานุภาพของพระองค์ที่ทรงช่วยมาหลายครั้งหลายหนแล้ว ก็ยังต่อว่าโมเสสในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ได้ลงคอ ทั้งที่โมเสสกระทำตามพระบัญชาของพระเจ้า จริงอยู่ที่พวกเขาไม่อาจรอดได้เลยหากพระองค์ไม่ทรงเข้ามาช่วย แต่ที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้เป็นเพราะโมเสสเชื่อฟังพระดำรัสของพระเจ้า ท่านจึงไม่หวั่นต่อเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น โมเสสหนุนใจประชาชนด้วยท่าทีที่สงบว่า “อย่ากลัวเลย จงหนักแน่นเข้าไว้ ท่านจะได้เห็นการช่วยกู้ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงนำมาให้ท่านในวันนี้ ท่านจะไม่ได้เห็นชาวอียิปต์ที่ท่านเห็นอยู่ในเวลานี้อีกเลย องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสู้รบแทนพวกท่านเอง ท่านเพียงแต่นิ่งไว้เถิด” (อพยพ 14:13–14 TNCV) {PP 284.1}

การเหนี่ยวรั้งให้คนอิสราเอลรอคอยพระเจ้านั้นเป็นเรื่องยาก พวกเขาขาดวินัยและการบังคับใจตนเองจนไม่ฟังเหตุผลแต่หันมาใช้ความรุนแรง พวกเขาคาดว่าจะตกไปอยู่ในเงื้อมมือของนายทาสอีกในชั่วพริบตา ประชาชนส่งเสียงร้องโอดครวญดังออกมาด้วยความเศร้าระทม เสาเมฆอัศจรรย์เป็นเครื่องหมายนำทางจากพระเจ้า แต่บัดนี้พวกเขาถามกันและกันว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่เสาเมฆนั้นเป็นลางร้ายถึงหายนะครั้งใหญ่ เพราะมันได้พาพวกเขามาที่ภูเขาผิดด้านจนเจอทางตันไม่ใช่หรือ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงสำคัญผิดว่าทูตของพระเจ้าเป็นผู้นำพาหายนะ {PP 284.2}

กองทัพอียิปต์ได้เคลื่อนมาใกล้แล้วหวังจะพิชิตเหยื่ออย่างง่ายดาย ทันใดนั้นเสาเมฆลอยสูงขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างสง่า เคลื่อนผ่านคนอิสราเอลลงมาคั่นกลางระหว่างพวกเขากับกองทัพอียิปต์ มีความมืดเป็นกำแพงบดบังฝ่ายที่ไล่ล่ากับฝ่ายที่ผละหนี คนอียิปต์ไม่สามารถมองเห็นค่ายของชาวฮีบรูได้จึงจำต้องหยุดเดินทัพ เมื่อตกดึกความมืดก็หนาทึบขึ้น แต่กำแพงเมฆกลับสว่างเจิดจ้าไปทั่วค่ายของคนอิสราเอลราวกับเป็นแสงในเวลากลางวัน {PP 284.3}

จิตใจของคนอิสราเอลกลับมาชื่นบานในความหวังอีกครั้ง แล้วโมเสสเปล่งเสียงร้องขึ้นหาพระเจ้า และพระองค์ตรัสกับโมเสสว่า “ทำไมเจ้าจึงมาร้องทุกข์ต่อเรา จงสั่งชนชาติอิสราเอลให้เดินหน้าต่อไป ส่วนเจ้าจงยกไม้เท้าของเจ้า แล้วยื่นมือออกไปเหนือทะเลและทำให้ทะเลนั้นแยกออก เพื่อคนอิสราเอลจะเดินผ่านทะเลบนดินแห้งได้” (อพยพ 14:15–16 THSV) {PP 287.1}

มีผู้ประพันธ์บทเพลงสดุดีได้ขับร้องบทกวีบรรยายเส้นทางที่คนอิสราเอลเดินผ่านทะเลว่า “พระมรรคาของพระองค์อยู่ในทะเล พระวิถีของพระองค์อยู่ในน้ำกว้างใหญ่ ถึงกระนั้น รอยพระบาทของพระองค์ก็ไม่มีใครเห็น พระองค์ได้ทรงนำประชากรของพระองค์เหมือนนำฝูงแพะแกะ โดยมือของโมเสสและอาโรน” (สดุดี 77:19–20 THSV) เมื่อโมเสสยื่นไม้เท้าออก น้ำทะเลก็แยกออกจากกัน แล้วคนอิสราเอลเดินผ่านไปบนดินแห้ง ส่วนน้ำทะเลก็ตั้งขึ้นเหมือนกำแพงขนาบทั้งสองด้าน แสงจากเสาเพลิงของพระเจ้าสะท้อนบนฟองคลื่นและส่องเข้าไปในเส้นทางที่ผ่ากลางทะเลเหมือนร่องดินจากคันไถยักษ์ แสงนั้นค่อยๆ หายลับไปในชายฝั่งอีกฟากหนึ่ง {PP 287.2}

ทรงช่วยกู้จากกองทัพอียิปต์

“กองทัพอียิปต์ ทั้งม้า รถม้าศึก และพลม้าของฟาโรห์ก็รุกไล่ตามพวกเขาเข้าไปในทะเล ในเวลาเช้ามืดองค์พระผู้เป็นเจ้าทอดพระเนตรจากเสาเพลิงและเสาเมฆเห็นกองทัพอียิปต์จึงทรงกระทำให้พวกเขาสับสนวุ่นวาย” (อพยพ 14:23–24 TNCV) เมฆประหลาดนี้ได้เปลี่ยนเป็นเสาเพลิงต่อหน้าสายตาที่ตกตะลึง มีฟ้าร้องและฟ้าผ่า “เมฆเทน้ำลงมา ท้องฟ้าก็คะนองเสียง ลูกธนูของพระองค์ก็ปลิวไปปลิวมา เสียงฟ้าร้องของพระองค์อยู่ในพายุหมุน ฟ้าแลบทำให้พิภพสว่าง แผ่นดินโลกก็สั่นสะเทือนและหวั่นไหว” (สดุดี 77:17–18 THSV) {PP 287.3}

คนอียิปต์ตกใจกลัวและสับสนอลหม่าน ท่ามกลางธรรมชาติที่ขุ่นเคืองพวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงพระพิโรธ จึงพยายามหนีย้อนกลับไปขึ้นฝั่ง แต่โมเสสยื่นไม้เท้าออก แล้วน้ำทะเลที่ตั้งตัวขึ้นเป็นกำแพงก็ส่งเสียงซ่าและพังครืนลงมาอย่างฉับพลัน กลืนกองทัพอียิปต์ลงไปใต้ท้องทะเลลึก {PP 287.4}

เมื่อดวงอาทิตย์ขึ้น สิ่งที่เหลือจากศัตรูผู้เก่งกาจก็ปรากฏต่อหน้าคนอิสราเอล คือศพสวมชุดเกราะที่ถูกซัดขึ้นเกลื่อนกลาดบนชายฝั่ง มหันตภัยได้เปลี่ยนเป็นการปลดปล่อยอย่างสิ้นเชิงในชั่วข้ามคืน คนอิสราเอลเพิ่งพ้นจากสภาพทาส เป็นฝูงชนมหึมาที่ไม่ชำนาญการรบและพึ่งพาตัวเองไม่ได้ มีทั้งผู้หญิง เด็ก และฝูงสัตว์ มีทะเลกั้นขวางอยู่ด้านหน้า และมีกองทัพอียิปต์อันเกรียงไกรไล่ตามมาด้านหลัง แต่คนอิสราเอลได้เห็นน้ำทะเลแหวกออกให้พวกเขาเดินผ่าน และเหล่าศัตรูกลับต้องครั่นคร้ามทั้งที่คิดว่ากำลังจะชนะคนอิสราเอลอยู่แล้ว พระเยโฮวาห์เท่านั้นที่ทรงช่วยกู้ พวกเขาจึงสำนึกในพระคุณและเชื่อในพระองค์ ความรู้สึกนี้ได้ถ่ายทอดออกมาทางบทเพลงสรรเสริญ พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตอยู่กับโมเสส ท่านจึงนำประชาชนเปล่งเสียงร้องเพลงแห่งชัยชนะและโมทนาขอบพระคุณ นับเป็นบทเพลงสรรเสริญบทเพลงแรก และเป็นหนึ่งในบทเพลงที่ล้ำเลิศที่สุดที่มนุษย์เคยรู้จัก {PP 287.5}

บทเพลงของโมเสส

“ข้าพเจ้าจะร้องเพลงถวายพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงกวาดม้าและพลม้าลงในทะเล พระเจ้าทรงเป็นผู้พิทักษ์ผู้ออกรบแทนข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นผู้ช่วยให้ข้าพเจ้ารอด พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระองค์ ทรงเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะยกย่องสรรเสริญพระองค์ พระเจ้าทรงเป็นนักรบ พระนามของพระองค์คือพระเยโฮวาห์ พระองค์ทรงเหวี่ยงรถรบและโยนพลโยธาของฟาโรห์ลงในทะเล นายทหารรถรบชั้นยอดของฟาโรห์ก็จมในทะเลแดง น้ำท่วมเขา เขาจมลงในทะเลที่ลึก ประดุจก้อนหิน ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงอานุภาพยิ่ง ข้าแต่พระเจ้า พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงทำลายศัตรูให้พินาศไป ด้วยเดชานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ พระองค์ทรงคว่ำปฏิปักษ์ของพระองค์เสีย พระองค์ทรงใช้พระพิโรธของพระองค์ เผาผลาญเขาเสียอย่างตอฟาง โดยลมที่ระบายจากช่องพระนาสิก น้ำก็ท่วมสูงขึ้นไป น้ำท่วมก็ท้นสูงขึ้น น้ำก็แข็งขึ้นในท้องทะเล พวกข้าศึกกล่าวว่า ‘เราจะติดตาม เราจะจับให้ทัน เราจะริบสิ่งของมาแบ่งปันกัน เราจึงจะพอใจที่ได้กระทำกับพวกนั้นดังประสงค์ เราจะชักดาบออก มือเราจะทำลายเขาเสีย’ พระองค์ทรงบันดาลให้ลมพัดมา น้ำทะเลก็ท่วมเขามิด เขาจมลงในกระแสน้ำอันไหลแรงนั้นเหมือนตะกั่ว ข้าแต่พระเจ้า ในบรรดาพระทั้งปวง องค์ไหนจะเป็นเหมือนพระองค์เล่า องค์ไหนจะเหมือนพระองค์ผู้ทรงประกอบด้วยความบริสุทธิ์ และน่าเกรงขามเนื่องด้วยพระราชกิจอันรุ่งเรือง และอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำ พระองค์ทรงเหยียดพระหัตถ์ขวาออก แผ่นดินก็กลืนพวกเขาเสีย พระองค์ทรงนำชนชาติ ซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้ด้วยความรักมั่นคงของพระองค์ พระองค์ทรงพาเขามาถึงที่สถิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์ด้วยพระเดชานุภาพ ชนชาติทั้งหลายได้ยินแล้ว ก็พากันสะทกสะท้าน ชาวประเทศฟีลิสเตียรู้สึกเสียวสยอง ครั้งนั้นพวกเจ้านายในเมืองเอโดมก็พากันหวาดกลัว และพวกหัวหน้าในเมืองโมอับก็สะทกสะท้าน ชาวเมืองคานาอันทั้งปวงก็ระส่ำระสายไป ความรู้สึกเสียวสยองและความตกใจกลัวอุบัติขึ้นในใจของเขา เนื่องด้วยฤทธานุภาพแห่งพระกรของพระองค์ เขาหยุดนิ่งอยู่เหมือนก้อนหิน ข้าแต่พระเจ้า จนประชากรของพระองค์ผ่านพ้นไป จนชนชาติซึ่งพระองค์ทรงไถ่ไว้แล้วผ่านไป พระองค์ทรงนำเขาเข้ามา และให้เขาตั้งหลักแหล่งอยู่บนภูเขาของพระองค์ ข้าแต่พระเจ้า เป็นสถานที่ซึ่งพระองค์ทรงสร้างไว้เพื่อเป็นที่สถิตของพระองค์” {PP 288.1}

เสียงเพลงสรรเสริญที่ซาบซึ้งกินใจดังกังวานจากคนอิสราเอลมากหลายดุจเสียงกึกก้องของห้วงทะเลลึก ฝ่ายผู้หญิงชาวอิสราเอลรับช่วงการร้องต่อ มิเรียมพี่สาวของโมเสสนำหน้าพวกเขา แต่ละคนถือรำมะนาและเต้นรำไปด้วย เสียงชื่นชมยินดีดังไปทั่วถิ่นทุรกันดารและท้องทะเล ภูเขาสะท้อนเนื้อเพลงว่า “จงร้องเพลงถวายพระเจ้าเถิด เพราะพระองค์ทรงได้ชัยชนะอย่างใหญ่หลวง” {PP 288.2}

ประวัติการณ์ที่ไม่มีวันลืม

บทเพลงและการช่วยกู้ครั้งนี้กลายเป็นอนุสรณ์ที่ตรึงใจชาวฮีบรูจนไม่อาจลืมเลือนไปได้ แม้หลายชั่วอายุผ่านไปบทเพลงนี้ก็ยังคงขับร้องโดยผู้เผยพระวจนะและนักร้องชาวอิสราเอล เพื่อประกาศว่าพระเยโฮวาห์ทรงเป็นกำลังและการช่วยกู้สำหรับทุกคนที่วางใจในพระองค์ บทเพลงนี้ไม่ได้มีความหมายสำหรับชาวยิวเท่านั้น แต่เล็งถึงความพินาศของบรรดาศัตรูแห่งความชอบธรรมกับชัยชนะครั้งสุดท้ายของคนของพระเจ้า คืออิสราเอลฝ่ายจิตวิญญาณด้วย ผู้เผยพระวจนะยอห์นเมื่อครั้งอยู่บนเกาะปัทมอส ได้เห็นนิมิตถึงคนมากมายสวมเสื้อคลุมสีขาว คือบรรดา “คนที่มีชัยชนะ” ยืนอยู่ริม “ทะเลแก้วปนไฟ” ถือ “พิณของพระเจ้า เขาร้องเพลงของโมเสสผู้รับใช้ของพระเจ้า และร้องเพลงของพระเมษโปดก2” (วิวรณ์ 15:2–3 THSV) {PP 289.1}

“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเกียรติสิริไม่ได้มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่ได้มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย แต่มีแด่พระนามของพระองค์ เนื่องด้วยความรักมั่นคงและความซื่อสัตย์ของพระองค์” (สดุดี 115:1 TNCV) นี่คือความรู้สึกที่บรรยายอยู่ในบทเพลงแห่งการช่วยกู้ของคนอิสราเอล และควรอยู่ในจิตใจของทุกคนที่รักและยำเกรงพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของความบาปซึ่งนับว่ายิ่งใหญ่กว่าการช่วยกู้ที่ทะเลแดง เราควรสรรเสริญพระเจ้าเหมือนชาวฮีบรูด้วยความคิด จิตวิญญาณ และน้ำเสียงของเรา “เพราะการอัศจรรย์ต่างๆ ของพระองค์ที่มีต่อมนุษย์ทั้งหลาย” (สดุดี 107:8 THSV) คนที่ไตร่ตรองถึงเหตุการณ์ครั้งสำคัญๆ เมื่อพระเจ้าทรงสำแดงพระเมตตาต่อเขาและไม่มองข้ามการทรงช่วยเหลือครั้งเล็กน้อย จะคาดเอวด้วยความยินดีและร้องเพลงอย่างชื่นบานถวายพระเจ้า เราควรขอบพระคุณอยู่เสมอสำหรับพระพรที่ได้รับจากพระองค์ในแต่ละวัน และเหนือสิ่งอื่นใด สำหรับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูที่นำความสุขและสวรรค์เข้ามาใกล้เพียงเอื้อมมือ พระเจ้าทรงผูกพันคนบาปที่หลงผิดอย่างเราไว้กับพระองค์ ให้เป็นสมบัติล้ำค่าของพระองค์ ช่างเป็นความรักและพระกรุณาซึ่งหาที่เปรียบมิได้ การเสียสละของพระผู้ไถ่นั้นช่างยิ่งใหญ่จนเราได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า เราควรสรรเสริญพระองค์เพราะความหวังอันประเสริฐที่ได้รับจากแผนการช่วยให้รอด เราควรโมทนาพระคุณของพระองค์เพราะพระสัญญาอันล้ำค่าและการได้เป็นทายาทแห่งสวรรค์ จงสรรเสริญพระองค์ที่พระเยซูทรงพระชนม์อยู่เพื่อร้องทูลแทนเรา {PP 289.2}

พระผู้สร้างตรัสว่า “บุคคลที่นำการโมทนาพระคุณมาเป็นเครื่องสักการบูชาก็ให้เกียรติแก่เรา” (สดุดี 50:23 TH1971) ชาวสวรรค์ทั้งปวงร่วมใจกันสรรเสริญพระเจ้า ให้เราฝึกร้องเพลงของทูตสวรรค์ตั้งแต่บัดนี้ เพื่อเราจะสามารถร้องได้ในวันที่เข้าร่วมกับชาวสวรรค์ในเมืองวิไล ให้เราขับร้องตามผู้ประพันธ์สดุดีว่า “ข้าพเจ้าจะสรรเสริญพระเจ้า ตราบเท่าที่ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าจะร้องเพลงสดุดีถวายพระเจ้าของข้าพเจ้า ขณะที่ข้าพเจ้ายังเป็นอยู่” “ข้าแต่พระเจ้า ขอชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์ ให้ชนชาติทั้งหลายสรรเสริญพระองค์” (สดุดี 146:2; 67:5 TH1971) {PP 289.3}

เดินหน้าด้วยความเชื่อ

พระเจ้าทรงนำคนฮีบรูผ่านช่องแคบมายังริมชายทะเล เพื่อจะทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจในการช่วยกู้และระงับจิตใจอันโอหังของศัตรูให้เห็นเป็นเยี่ยงอย่าง พระองค์อาจช่วยพวกเขาด้วยวิธีอื่นก็ได้ แต่ทรงเลือกวิธีนี้เพื่อทดสอบความเชื่อและเสริมสร้างความวางใจในพระองค์ ประชาชนต่างอิดโรยและหวาดกลัว แต่ถ้าพวกเขาลังเลเมื่อโมเสสสั่งให้เดินหน้า พระเจ้าคงไม่มีวันเปิดทางให้ “เพราะความเชื่อ พวกอิสราเอลจึงเดินข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง” (ฮีบรู 11:29 TH1971) พวกเขาเดินตรงไปที่น้ำ แสดงถึงความเชื่อที่มีในพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสผ่านโมเสส ประชาชนทำทุกอย่างสุดกำลังความสามารถ แล้วพระผู้ทรงฤทธิ์แห่งอิสราเอลทรงแยกทะเลออกเป็นทางให้พวกเขาข้ามไป {PP 290.1}

บทเรียนสำคัญนี้ได้สอนคนทุกยุคทุกสมัย บ่อยครั้งชีวิตคริสเตียนห้อมล้อมไปด้วยอันตราย และหน้าที่ดูเหมือนจะทำตามได้ยากนัก เราจินตนาการเห็นความพินาศอยู่ข้างหน้า และชีวิตทาสหรือความตายอยู่ข้างหลัง แต่พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า “เดินหน้าต่อไป” (อพยพ 14:15 THSV) เราควรเชื่อฟังพระดำรัสนั้น แม้ว่ามองไปทางใดก็มืดแปดด้านและเท้าเหยียบลงไปในน้ำทะเลอันเย็นยะเยือก อุปสรรคที่ฉุดรั้งเราไว้จะไม่มีวันหมดไปหากเรามีความลังเลสงสัย คนที่ไม่ยอมเชื่อฟังจนกว่าอุปสรรคทุกอย่างจะผ่านพ้นไปและไม่มีโอกาสล้มเหลว จะไม่มีวันได้เชื่อฟังเลยเพราะจะไม่มีวันนั้น มีเสียงกระซิบในใจของผู้ที่ไม่เชื่อว่า ‘ให้เรารอจนกว่าสิ่งกีดขวางจะผ่านพ้นไป แล้วเราจะมองเห็นทางได้ชัดเจนขึ้น’ แต่ผู้ที่เชื่อจะก้าวออกไปอย่างกล้าหาญ มีความหวังในทุกเมื่อ มีความเชื่อในทุกขณะ {PP 290.2}

เมฆที่เป็นกำแพงมืดแก่คนอียิปต์ กลับเป็นแสงสว่างที่ส่องไปทั่วค่ายของชาวฮีบรู และฉายไปยังหนทางที่ต้องเดิน จะเห็นได้ว่าการทรงนำของพระเจ้านำความมืดและความสิ้นหวังมาให้ผู้ที่ไม่เชื่อ ในขณะที่ผู้ที่วางใจจะได้รับแสงสว่างและสันติสุขอย่างเปี่ยมล้น หนทางที่พระเจ้าทรงนำไปอาจต้องผ่านถิ่นทุรกันดารหรือทะเล แต่เป็นหนทางที่ปลอดภัย {PP 290.3}

Footnotes

  1. ดู ภาคผนวก 3

  2. แปลว่าลูกแกะ หมายถึงพระคริสต์ เพราะพระองค์ทรงเป็นดังลูกแกะที่ไร้ตำหนิซึ่งนำไปเป็นเครื่องบูชาชำระบาป