30. แล้วก็เป็นดังนั้น
“จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว ความโกรธ การทุ่มเถียง การพูดจาดูหมิ่น รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน” (เอเฟซัส 4:31) เราคงเคยอ่านข้อความนี้และรำพึงในใจว่า ‘ขอให้เป็นดังนั้นเถิด’ หรือเคยพยายามเอาการพูดร้ายทุกอย่างพร้อมกับต้นเหตุคือ “รากขมขื่น” (ฮีบรู 12:15) ออกไปแต่ก็ล้มเหลว เพราะ “ลิ้นนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถทำให้เชื่องได้ ลิ้นเป็นสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ไม่สุข และเต็มไปด้วยพิษร้ายถึงตาย” (ยากอบ 3:8) {LBF 95.1}
ให้เราอ่านพระดำรัสของพระเจ้าที่ตรัสว่า “อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดี หรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม…จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ฟีลิปปี 2:3, 5) และในทำนองเดียวกันมีคำเตือนเขียนไว้ว่า “จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป” (ฮีบรู 13:1) คิดดูเถิด คนที่มีจิตใจเช่นนี้จะมีความสุขขนาดไหน และคงเหมือนสวรรค์บนดินเลยทีเดียว ถ้าเพียงแต่ผู้ที่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนมีสภาพจิตใจดังกล่าว แต่กระนั้นมีคนมากมายที่ตั้งอุดมการณ์อันสูงส่งนี้ไว้เป็นเป้าหมาย ในขณะที่สงสัยอยู่ว่าทำอย่างไรเพื่อจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้ {LBF 95.2}
ผู้ที่ “เนื้อหนังถูกขายเป็นทาส” คงต้องพูดว่า “เจตนาดีข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่การดีนั้นไม่สามารถทำได้เลย” (โรม 7:14, 18) พระเจ้าทรงยุติธรรมและปราณี ไม่ใช่ทรราช พระองค์ไม่ตั้งข้อบังคับโดยไม่ชี้ทางปฏิบัติ และพระองค์ไม่เพียงแต่ทรงชี้ทางเท่านั้น แต่ทรงเสริมกำลังให้ด้วย ปัญหาอยู่ที่การตีความพระดำรัสสั่งของพระองค์ ให้เราอ่านอีกข้อหนึ่งเพื่อจะได้ความกระจ่างเพิ่มขึ้น {LBF 95.3}
“จงให้สันติสุขของพระคริสต์นำพาจิตใจของท่านทั้งหลาย พระเจ้าทรงเรียกท่านให้มาเป็นกายเดียวกันก็เพื่อสันติสุขนี้ และจงมีใจขอบพระคุณ” (โคโลสี 3:15) คงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเป็นผู้ควบคุมสันติสุขของพระเจ้า และเป็นไปไม่ได้ที่เราจะผลิตสันติสุขขึ้นมาเอง หรือใส่เข้าไปในใจ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ประทานได้ และพระองค์ประทานให้แล้ว พระเยซูตรัสว่า “เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:27) “ข้าพระองค์จะได้ฟังความที่พระเจ้าพระเยโฮวาห์จะตรัส เพราะพระองค์จะตรัสความสันติแก่ประชาชนของพระองค์ และแก่วิสุทธิชนของพระองค์” (สดุดี 85:8 TKJV) ด้วยเหตุที่มีแต่พระเจ้าเท่านั้นสามารถเติมสันติสุขในใจให้แก่เราได้ และให้สันติสุขนั้นดำรงอยู่ ดังนั้นพระองค์จะทรงกระทำให้ข้อควรปฏิบัติอื่นๆ ที่กล่าวไว้ข้างต้นสำเร็จในตัวเราเช่นกัน {LBF 95.4}
“จงให้พระวจนะของพระคริสต์เปี่ยมล้นอยู่ในท่านขณะที่ท่านสั่งสอนและเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น” (โคโลสี 3:16 TNCV) เมื่อเราเอาข้อนี้มาปะติดปะต่อกับสดุดี 85:8 จะได้เคล็ดลับทั้งหมด คือทุกสิ่งที่กล่าวถึงนั้นจะสำเร็จโดยพระวจนะของพระเจ้า “มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (เศคาริยาห์ 4:6 TH1971) พระวจนะของพระเจ้าที่นำเสนอข้อล้ำลึกเหล่านี้ จะช่วยทำให้สำเร็จตามที่กล่าวไว้ {LBF 96.1}
พระวจนะของพระเจ้าสามารถกระทำอะไรได้บ้าง “โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็อุบัติขึ้น ดวงดาวทั้งปวงมีขึ้นโดยลมพระโอษฐ์ของพระองค์…เพราะพระองค์ตรัส โลกก็อุบัติขึ้น พระองค์ทรงบัญชา มันก็คงอยู่” (สดุดี 33:6, 9 TNCV) “พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว” (1 เปโตร 1:25) ข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด เราสามารถเห็นฤทธานุภาพของพระองค์ได้จากสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง (ดู โรม 1:16, 19–20) ฉะนั้นฤทธานุภาพที่จะประกอบกิจภายในเราให้สำเร็จตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสสั่งไว้ คือฤทธานุภาพอันเดียวกันกับที่สร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน {LBF 96.2}
จงอ่านดูแล้วจะเห็นว่าเรื่องที่พระเจ้าทรงสร้างโลกไม่ได้ซับซ้อนแต่อย่างใด “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง’ ความสว่างก็เกิดขึ้น” และ “พระเจ้าตรัสว่า ‘น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น’ ก็เป็นดังนั้น…พระเจ้าตรัสว่า ‘แผ่นดินจงเกิดพืช คือธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน’ และก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล 1:3, 9, 11) แล้วก็เป็นอย่างนี้ตลอดรายการของการทรงสร้าง {LBF 96.3}
ความมืดไม่มีอำนาจในตัวมันเองที่จะให้เกิดความสว่างได้ น้ำก็ไม่สามารถรวมตัวเองไว้ในจุดเดียวกัน และแผ่นดินโลกไม่อาจออกแรงให้ต้นไม้พร้อมผลเกิดมาด้วยกำลังของมันเอง นับประสาอะไรกับดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวทั้งหลายที่ไม่อาจสร้างตัวเองขึ้นมา สิ่งที่ยังไม่ได้บังเกิดขึ้นก็ไม่สามารถบังเกิดขึ้นโดยพลังของตัวมันเองได้ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิด” “จงให้มี” ทุกสิ่งก็เกิดขึ้นมา คำว่า “จง” ของพระเจ้านั้นมีฤทธิ์อำนาจให้เกิดผลตามที่ตรัสไว้ และสิ่งสารพัดที่ถูกสร้างนั้นมีอยู่ในพระดำรัสที่ตรัสในการทรงสร้าง {LBF 96.4}
“เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (เอเฟซัส 2:10) นอกจากนั้น “พระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่านให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟีลิปปี 2:13) เมื่อเราอ่านพระบัญญัติ สิ่งแรกที่เราต้องคำนึงถึงคือ นั่นไม่ใช่ถ้อยคำของมนุษย์ แต่เป็นพระวจนะของพระเจ้าสำหรับเรา เป็นพระดำรัสที่มาจากพระเจ้าองค์เดียวกันที่ตรัสในปฐมกาลว่า “จงเกิดความสว่าง” และ “แผ่นดินจงเกิดพืช” ที่ตรัสว่า “จงเอาความขมขื่น ความฉุนเฉียว…รวมทั้งการร้ายทุกอย่างออกไปจากพวกท่าน” (เอเฟซัส 4:31) ความสว่างและพืชเกิดมีขึ้นตามพระดำรัสสั่งของพระเจ้า ฉันใดก็ฉันนั้น ความขมขื่นกับความฉุนเฉียวก็จะออกไปจากเราด้วยพระวจนะเช่นกัน “เพราะแผ่นดินโลกได้เกิดหน่อของมัน และสวนทำให้สิ่งที่หว่านในนั้นงอกขึ้นมาฉันใด พระเจ้าจะทรงทำให้ความชอบธรรมและความสรรเสริญ งอกขึ้นมาต่อหน้าบรรดาประชาชาติฉันนั้น” (อิสยาห์ 61:11 TH1971) ฉะนั้นเมื่อเราอ่านข้อพระคัมภีร์ที่ให้เราเอาความชั่วออกไปจากใจ อย่าอ่านเหมือนเป็นคำสั่ง แต่ให้อ่านเป็นพระสัญญาว่าพระวจนะนั้นจะเป็นฝ่ายกระทำให้สำเร็จตามที่บัญญัติไว้ {LBF 97.1}
ฤทธานุภาพของพระเจ้าในการทรงสร้างยิ่งใหญ่ไม่ต่างกับสมัยก่อน พระเจ้าผู้ให้แผ่นดินบังเกิดพืชผล ผู้ทรงปั้นมนุษย์จากผงคลีดิน สามารถปั้นเราเสมือนปั้นภาชนะดินให้เป็น “ที่ยกย่องพระคุณอันรุ่งโรจน์ของพระเจ้า” (เอเฟซัส 1:6) ให้เราคุ้นเคยกับพระเจ้าในฐานะพระผู้สร้าง จนกระทั่งเมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘จงให้มีใจใหม่’ เราจะตอบรับทันทีว่า ‘อาเมน พระเยซูเจ้า ขอให้เป็นไปตามที่พระองค์ตรัสไว้’ แล้วใจใหม่จะถูกสร้างขึ้น ซึ่งจะบังเกิดให้มีความคิดและถ้อยคำอันเป็นที่พอพระทัยพระองค์ {LBF 97.2}