6. เสท และ เอโนค
เสท
พระเจ้าประทานบุตรชายอีกคนหนึ่งให้แก่อาดัมเป็นทายาทแห่งพระสัญญา ให้รับสิทธิฝ่ายวิญญาณของบุตรหัวปีเป็นมรดก ชื่อที่ตั้งให้ลูกชายคนนี้คือ ‘เสท’ หมายถึง ‘การแต่งตั้ง’ หรือ ‘การชดเชย’ เพราะผู้เป็นแม่กล่าวว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้ฉันมีบุตรอีกคนหนึ่งแทนอาแบล เพราะคาอินฆ่าอาแบลเสีย” เสทมีรูปร่างสูงสง่ากว่าคาอินหรืออาแบล และมีลักษณะเหมือนอาดัมมากกว่าบุตรคนอื่นๆ เขามีอุปนิสัยที่น่ายกย่องสรรเสริญ และเจริญรอยตามแบบของอาแบล แต่ถึงอย่างไรก็ดี เขาก็ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับคุณงามความดีเฉพาะตัวมากไปกว่าคาอิน พระคัมภีร์เขียนเกี่ยวกับการทรงสร้างอาดัมว่า “พระองค์ทรงสร้างตามพระฉายาของพระเจ้า” แต่หลังจากมนุษย์ตกสู่ความบาปแล้วก็เขียนว่า อาดัม “มีบุตรชายคนหนึ่งตามอย่างตามฉายาของเขา” อาดัมถูกสร้างขึ้นโดยปราศจากความผิดบาปตามพระฉายาของพระเจ้า ส่วนเสทนั้นก็เหมือนคาอิน คือสืบทอดธรรมชาติบาปของพ่อแม่ แต่เขาก็ยังได้รับรู้เรื่องพระผู้ไถ่และคำสั่งสอนเรื่องความชอบธรรม เขารับใช้และให้เกียรติพระเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ และทำงานเพื่อหันจิตใจของคนบาปให้มานับถือและเชื่อฟังพระผู้สร้าง ซึ่งเป็นงานที่อาแบลคงได้ทำถ้าไม่ตายเสียก่อน {PP 80.1}
“ฝ่ายเสทก็มีบุตรชื่อเอโนช คราวนั้นมนุษย์เริ่มต้นนมัสการโดยออกพระนามพระเยโฮวาห์” ผู้คนที่ซื่อสัตย์ได้นมัสการพระเจ้าก่อนหน้านี้ แต่เมื่อมนุษย์เพิ่มทวีขึ้น ความแตกต่างระหว่างสองฝ่ายก็ปรากฏให้เห็นชัด ฝ่ายหนึ่งประกาศถึงความจงรักภักดีที่มีต่อพระเจ้าอย่างเปิดเผย ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งดูถูกเหยียดหยามและไม่เชื่อฟัง {PP 80.2}
สภาพลูกหลานของอาดัมกับเอวา
ก่อนที่จะตกสู่ความบาป บรรพบุรุษคู่แรกของเราได้รักษาวันสะบาโตซึ่งทรงสถาปนาไว้ในสวนเอเดน หลังจากที่ต้องออกมาจากสวนเอเดนแล้วก็ยังคงรักษาต่อไป พวกท่านได้ลิ้มรสความขมขื่นซึ่งเป็นผลของการไม่เชื่อฟัง และได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่ทุกคนที่เหยียบย่ำพระบัญญัติของพระเจ้าจะต้องเรียนรู้ในที่สุดว่า กฎเกณฑ์ของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ และการล่วงละเมิดจะมีโทษอย่างแน่นอน ลูกหลานของอาดัมที่ยังคงซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้ให้เกียรติวันสะบาโต แต่คาอินกับเชื้อสายของเขากลับไม่ได้ให้เกียรติแก่วันที่พระเจ้าทรงพัก พวกเขาเลือกเวลาทำงานกับเวลาพักเองโดยไม่คำนึงถึงพระบัญชาอันชัดแจ้งของพระเยโฮวาห์ {PP 80.3}
เมื่อคาอินถูกพระเจ้าสาปแช่ง เขาได้ถอนตัวออกจากบ้านของบิดา ในตอนแรกเขาได้เลือกการทำไร่ไถนาเป็นอาชีพ และต่อมาก็ได้ก่อตั้งเมืองหนึ่งขึ้น และเรียกชื่อเมืองนั้นตามชื่อบุตรหัวปี เขาได้ออกไปพ้นพระพักตร์พระเจ้าและสลัดทิ้งพระสัญญาที่ว่าจะคืนสวนเอเดนสู่สภาพเดิม เขาออกไปเพื่อแสวงหากรรมสิทธิ์และความสุขในโลกใบนี้ที่ถูกสาปแช่งเพราะบาป เขาจึงเป็นต้นตระกูลของมหาชนที่บูชาพระแห่งโลกนี้ เชื้อสายของคาอินโดดเด่นในเรื่องความเจริญฝ่ายโลกและทางด้านวัตถุ แต่กลับไม่ยินดียินร้ายกับพระเจ้า ทั้งยังต่อต้านพระประสงค์ที่พระองค์มีต่อมนุษย์ คาอินเบิกทางอาชญากรรมว่าด้วยการฆ่าคน ต่อมาลาเมคซึ่งเป็นชั่วอายุที่ห้าได้เพิ่มความผิดเข้ามาด้วยการมีภรรยามากกว่าหนึ่งคน เขาอวดดีและมีท่าทีที่ท้าทาย เขายอมรับพระเจ้าเพียงเพื่อปลอบใจตัวเองว่าจะต้องปลอดภัยจากมือมนุษย์ด้วยกัน โดยอ้างถึงพระสัญญาที่ว่าจะทรงแก้แค้นถ้ามีใครทำอันตรายแก่คาอิน ส่วนอาแบลนั้นเคยประกอบอาชีพเลี้ยงแกะและอาศัยอยู่ในเพิงหรือกระโจม ซึ่งลูกหลานของเสทก็ได้ดำเนินตามแบบนี้โดยถือว่า “เขาเป็นคนแปลกถิ่นที่ท่องเที่ยวไปในโลก” เพราะ “เขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ประเสริฐกว่านั้น คือเมืองสวรรค์” (ฮีบรู 11:13, 16 TH1971) {PP 81.1}
ชนชาติที่แตกต่างกัน
ชนสองกลุ่มนี้แยกกันอยู่ระยะเวลาหนึ่ง เชื้อสายของคาอินกระจายออกจากที่ตั้งถิ่นฐานครั้งแรกไปอยู่ทั่วหุบเขาและที่ราบที่ลูกหลานของเสทเคยอยู่ ส่วนกลุ่มหลังนี้ได้ถอยไปตั้งรกรากในภูเขาเพื่อหนีอิทธิพลเสื่อมเสียของเชื้อสายคาอิน ตราบใดที่ยังแยกกันอยู่ เขาก็ยังคงนมัสการพระเจ้าอย่างบริสุทธิ์ แต่พอเวลาผ่านไป พวกเขาก็ค่อยๆ เสี่ยงที่จะคบหาสมาคมกับชาวพื้นราบ การคบค้ากันนี้มีผลเสียยิ่งนัก “บุตรชายของพระเจ้าเห็นว่าบุตรหญิงของมนุษย์งามดี” ลูกหลานของเสทหลงเสน่ห์ความงามของหญิงสาวที่เป็นเชื้อสายของคาอินและได้แต่งงานกับเขา ทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย ผู้ที่นมัสการพระเจ้าจำนวนมากถูกล่อลวงให้ทำบาปโดยสิ่งจูงใจทั้งหลายที่อยู่ตรงหน้าเขาเสมอ พวกเขาจึงสูญเสียอุปนิสัยที่บริสุทธิ์อันเป็นเอกลักษณ์พิเศษ โดยการคลุกคลีกับคนต่ำช้าจึงทำให้จิตใจและการกระทำกลายเป็นแบบเดียวกัน พวกเขาไม่ไยดีกับพระบัญญัติข้อที่เจ็ด จึงรับผู้หญิงเป็นภรรยา “ตามชอบใจของพวกเขา” (ปฐมกาล 6:2 TKJV) ลูกหลานของเสทได้ “ประพฤติตามอย่างคาอิน” (ยูดา 11 TH1971) เขาปักใจอยู่กับความเจริญและความสุขฝ่ายโลก และเพิกเฉยต่อพระบัญญัติของพระเจ้าเสีย เนื่องจากเขา “ไม่เห็นสมควรที่จะรู้จักพระเจ้า” “แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป” “พระองค์จึงทรงปล่อยให้เขามีใจชั่วและประพฤติสิ่งที่ไม่เหมาะสม” (โรม 1:21, 28 TH1971) ความบาปได้แพร่หลายออกไปทั่วโลกราวกับโรคเรื้อนที่ร้ายแรงยิ่งนัก {PP 81.2}
อาดัมกับชีวิตที่ขมขื่น
อาดัมมีชีวิตร่วมเกือบพันปีและได้เป็นประจักษ์พยานถึงผลกรรมของความบาป ท่านพยายามด้วยความซื่อสัตย์ที่จะระงับความชั่วที่กำลังเพิ่มทวีขึ้น พระเจ้าทรงบัญชาให้อาดัมสั่งสอนลูกหลานให้ดำเนินชีวิตในทางของพระองค์ ท่านสงวนสิ่งที่พระเจ้าเคยสำแดงต่อท่านเอาไว้ในใจเป็นอย่างดี และได้เล่าให้ลูกหลานแต่ละรุ่นฟังต่อๆ กันไป ท่านบรรยายถึงชีวิตที่บริสุทธิ์และมีความสุขเมื่อครั้งอยู่สวนเอเดนให้ลูกหลานเหลนโหลนฟังมาจนถึงชั่วอายุที่เก้า และได้ทบทวนถึงประวัติที่ท่านตกสู่ความบาป โดยเล่าว่าพระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ต่างๆ สอนให้ท่านเห็นว่าการทำตามพระบัญญัติของพระองค์อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่จำเป็น และได้อธิบายถึงพระเมตตาของพระเจ้าที่ประทานเครื่องไถ่บาปเพื่อความรอดของพวกเขา ถึงกระนั้นก็ยังมีน้อยคนที่เอาใจใส่ต่อคำพูดของอาดัม บ่อยครั้งที่ท่านต้องเผชิญกับคำตำหนิที่ขมขื่นว่าเป็นเพราะบาปของตนนั่นเองที่เชื้อสายของตนต้องมาทนทุกข์กันอย่างนี้ {PP 82.1}
ชีวิตของอาดัมเป็นชีวิตที่ถ่อม เต็มไปด้วยความเศร้าโศกและการสำนึกผิด ครั้นออกจากสวนเอเดนแล้วท่านก็รู้สึกสยดสยองเมื่อคิดถึงเรื่องที่จะต้องตาย ท่านต้องเผชิญกับความจริงเรื่องการตายของมนุษย์ครั้งแรกเมื่อคาอินซึ่งเป็นบุตรหัวปีได้ฆ่าน้องชายเสีย ใจของอาดัมเต็มไปด้วยการสำนึกเสียใจในบาปของตนอย่างสุดซึ้งราวกับถูกมีดแทง และที่ท่านต้องสูญเสียลูกไปถึงสองคนพร้อมกัน คืออาแบลตาย ส่วนคาอินนั้นถูกพระเจ้าปฏิเสธ อาดัมคอตกด้วยความทุกข์ระทม ท่านได้สังเกตเห็นถึงความชั่วที่แพร่หลายที่จะเป็นเหตุให้โลกต้องถูกทำลายโดยน้ำท่วมในที่สุด ตอนแรกเมื่อพระเจ้าทรงกล่าวโทษท่านว่าจะต้องตายนั้นท่านเห็นว่าเป็นสิ่งที่ร้ายแรงนัก แต่หลังจากที่ได้เห็นผลของความบาปเกือบหนึ่งพันปี ท่านกลับรู้สึกว่าพระเจ้าทรงมีพระเมตตาต่างหากที่ทรงให้ชีวิตอันเต็มไปด้วยความทุกข์โศกนั้นได้จบลง {PP 82.2}
ข้อได้เปรียบของคนสมัยก่อนน้ำท่วมโลก
ถึงแม้ว่าสมัยก่อนน้ำท่วมโลกมีความชั่วช้ามาก แต่คนในยุคสมัยนั้นก็ไม่ได้โง่เขลาเบาปัญญาและป่าเถื่อนอย่างที่หลายคนคิด เขาเหล่านั้นมีโอกาสที่จะพัฒนาในด้านศีลธรรมและความคิดให้ถึงมาตรฐานอันสูงส่ง เขามีกำลังกายและพลังสมองที่ดีมาก โอกาสในการเรียนรู้ทั้งในด้านศาสนาและวิทยาศาสตร์ก็ไม่มีที่เปรียบ บางคนคิดว่าเนื่องจากคนเหล่านั้นมีชีวิตยืนยาวมาก ดังนั้นสมองของเขาคงจะพัฒนาอย่างช้าๆ กระมัง แต่ความคิดดังกล่าวผิดถนัด เพราะพลังสมองของเขาได้พัฒนามาตลอดตั้งแต่เยาว์วัย ผู้ที่รักและยึดมั่นในพระเจ้าและดำเนินชีวิตสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์ก็ได้เพิ่มความรู้และสติปัญญาตลอดชั่วชีวิตของเขา หากสามารถนำยอดปัญญาชนแห่งยุคนี้ไปเปรียบเทียบกับชนรุ่นราวคราวเดียวกันในสมัยก่อนน้ำท่วมโลก ก็จะพบว่าคนสมัยปัจจุบันมีสติปัญญาและความแข็งแรงของร่างกายด้อยกว่ามาก ในขณะที่มนุษย์อายุสั้นลง กำลังวังชาและประสิทธิภาพของสมองก็พลอยลดลงไปด้วย ทุกวันนี้มีคนที่ใช้เวลาศึกษาเล่าเรียน 20–50 ปี และโลกพากันยกย่องชมเชยในความสำเร็จของคนเหล่านั้น แต่ก็ช่างเป็นความสำเร็จที่เล็กน้อยนักเมื่อเทียบกับร่างกายและสมองที่พัฒนาอยู่เรื่อยๆ นานนับศตวรรษ {PP 82.3}
จริงอยู่ที่คนในปัจจุบันได้รับประโยชน์จากความสำเร็จของคนรุ่นก่อน อัจฉริยบุคคลได้วางแผน ศึกษาค้นคว้า และบันทึกผลงานทิ้งไว้ให้กับคนรุ่นหลัง ถึงกระนั้นก็ดีในเรื่องความรู้ของมนุษย์ คนโบราณยังได้เปรียบมากกว่านัก ที่ได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่พระเจ้าทรงสร้างตามพระฉายาของพระองค์อยู่ท่ามกลางเขานับเป็นเวลาหลายร้อยปี เป็นผู้ที่พระผู้สร้างเองเคยตรัสว่า “ดี” พระองค์เคยสั่งสอนอาดัมและประทานสติปัญญาเกี่ยวกับธรรมชาติทั้งมวลในโลก อาดัมได้เรียนรู้ถึงประวัติการทรงสร้างจากพระผู้สร้างโดยตรง ท่านเองก็ได้เป็นพยานถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตลอด 9 ศตวรรษและได้แบ่งปันความรู้ของตนให้กับลูกหลาน คนก่อนน้ำท่วมโลกไม่มีหนังสือ ไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ด้วยร่างกายและสมองที่มีพลังยิ่ง เขาจึงมีความทรงจำที่ดีเยี่ยม สามารถจดจำและเข้าใจสิ่งที่ได้ยินแล้วเล่าต่อให้ชนรุ่นหลังฟังโดยไม่ผิดเพี้ยน และนับเป็นเวลาหลายร้อยปีที่คน 7 ชั่วอายุอยู่พร้อมกันในโลก โดยที่มีโอกาสปรึกษาหารือกัน และเอื้อประโยชน์ต่อกันจากความรู้และประสบการณ์ของกันและกัน {PP 83.1}
คนในยุคนั้นได้เปรียบที่มีโอกาสได้เรียนรู้จักพระเจ้าผ่านทางพระหัตถกิจของพระองค์ อย่างที่ไม่เคยมียุคไหนเสมอเหมือน ส่วนที่มีคนว่ายุคสมัยนั้นมืดมนไร้คำสอนด้านศาสนา ก็หาเป็นเช่นนั้นไม่ แต่หากเป็นสมัยที่มีความสว่างยิ่ง โลกทั้งโลกมีโอกาสที่จะรับการสั่งสอนจากอาดัม และสำหรับผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าก็มีพระคริสต์กับทูตสวรรค์เป็นผู้สอนด้วย และก็ยังมีพยานเงียบๆ ที่แสดงออกถึงความจริง นั่นคือสวนเอเดนพระอุทยานของพระเจ้า ซึ่งยังคงอยู่ท่ามกลางมนุษย์เป็นเวลาหลายศตวรรษ พระเจ้าทรงสำแดงพระสิริของพระองค์ตรงทางเข้าสวนเอเดนอันมีเครูบคอยเฝ้าอยู่ คนกลุ่มแรกที่นมัสการพระองค์ก็ได้ไป ณ ที่แห่งนั้น เขาได้สร้างแท่นบูชาและทำการถวายสัตวบูชาที่นั่น และที่แห่งเดียวกันนั้นเองที่คาอินกับอาแบลเคยนำเครื่องถวายไปถวายพระเจ้า และพระองค์เสด็จลงมาติดต่อสนทนากับเขา {PP 83.2}
ความสงสัยไม่อาจต้านความเป็นจริงของสวนเอเดนได้ในเมื่อมันอยู่ต่อหน้าต่อตาคนทั้งหลาย และมีทูตสวรรค์เฝ้าอยู่ไม่ให้คนเข้าไป ความเป็นระบบระเบียบของธรรมชาติที่ทรงสร้าง การมีอยู่ของสวนเอเดน ตลอดจนประวัติของต้นไม้ทั้งสองต้นที่มีส่วนใกล้ชิดกับชะตาของมนุษย์ ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ และตราบใดที่อาดัมยังอยู่ท่ามกลางพวกเขานั้นก็ไม่ค่อยจะมีใครสงสัยความจริงที่ว่ามีพระเจ้าสูงสุดผู้ทรงพระชนม์อยู่และมนุษย์มีหน้าที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ {PP 84.1}
ถึงแม้ว่าจะมีความชั่วอยู่ทั่วไป แต่ก็มีเชื้อสายของชนบริสุทธิ์ที่งามสง่าน่ายำเกรงด้วยการติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า พวกเขามีชีวิตประดุจอยู่ท่ามกลางชาวสวรรค์ เป็นยอดอัจฉริยะและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เขามีพันธกิจบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ คือพัฒนาอุปนิสัยแห่งความชอบธรรมและสอนบทเรียนไม่เพียงแต่สำหรับคนในสมัยของเขาเท่านั้น แต่เพื่อคนรุ่นหลังจะได้เรียนรู้ถึงชีวิตที่เป็นไปตามแนวทางของพระเจ้าด้วย มีคนเด่นๆ เพียงไม่กี่คนที่ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ แต่พระเจ้าทรงมีพยานผู้ซื่อสัตย์ที่นมัสการพระองค์ด้วยใจจริงอยู่ในทุกยุคทุกสมัย {PP 84.2}
เอโนค
พระคัมภีร์เขียนไว้ว่าหลังจากเอโนคมีชีวิต 65 ปี ท่านก็ได้ลูกชายคนหนึ่ง หลังจากนั้นท่านได้ดำเนินกับพระเจ้า 300 ปี ในช่วงชีวิตวัยหนุ่มเอโนครักและยำเกรงพระเจ้าและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ท่านเป็นหนึ่งในเชื้อสายคนบริสุทธิ์ เป็นผู้ที่รักษาความเชื่อที่แท้จริง เป็นบรรพบุรุษของพระเยซูที่ทรงสัญญาไว้นั้น ท่านได้ยินเรื่องการตกสู่ความบาปอันน่ามัวหมองจากปากของอาดัม และเรื่องน่ายินดีเกี่ยวกับพระคุณที่ปรากฏในพระสัญญาของพระองค์ ท่านวางใจในพระผู้ไถ่ที่จะเสด็จมา แต่หลังจากลูกชายคนแรกเกิด เอโนคก็ดำเนินสู่ประสบการณ์ที่สูงขึ้นไปอีก ท่านมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ท่านสำนึกในหน้าที่และส่วนรับผิดชอบในฐานะบุตรของพระเจ้ามากยิ่งกว่าเดิม เมื่อเห็นความรักและความไว้วางใจอย่างใสซื่อที่ลูกมีต่อท่านว่าพ่อจะปกป้องตนได้ ทั้งเมื่อรู้สึกถึงความห่วงใยอันแรงกล้าที่ท่านมีต่อลูกชายคนแรกนี้อย่างลึกซึ้ง เอโนคก็ได้บทเรียนอันล้ำค่าถึงความรักวิเศษของพระเจ้าที่ประทานพระบุตรให้แก่มนุษย์ และมีความมั่นใจว่าคนของพระเจ้าสามารถพักพิงในพระบิดาได้ ความรักของพระเจ้าที่สูง กว้าง ยาว ลึกเกินประมาณในการประทานพระคริสต์พระบุตรของพระองค์ เป็นสิ่งที่ท่านภาวนาตรึกตรองทั้งกลางวันและกลางคืน และพยายามสุดหัวใจที่จะสำแดงความรักนั้นต่อคนที่อยู่รอบข้าง {PP 84.3}
เอโนคไม่ได้ดำเนินชีวิตกับพระเจ้าแบบเข้าฌานหรืออยู่ใต้ภวังค์ แต่ดำเนินไปพร้อมกับภาระหน้าที่ทั้งหลายในชีวิตประจำวัน ท่านไม่ใช่ฤๅษีที่ปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกอย่างสิ้นเชิง เพราะว่าท่านมีการงานที่ต้องทำในโลกนี้เพื่อพระเจ้า ทั้งในครอบครัวและการคบหาสมาคมกับผู้อื่น ทั้งในฐานะพ่อ สามี มิตรสหายและในฐานะพลเมือง ท่านเป็นผู้รับใช้พระเจ้าที่มั่นคงเสมอต้นเสมอปลาย {PP 85.1}
จิตใจของเอโนคสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะว่า “สองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ นอกจากทั้งสองจะได้ตกลงกันไว้ก่อน” (อาโมส 3:3 TH1971) และท่านดำเนินชีวิตบริสุทธิ์เช่นนี้อย่างต่อเนื่องตลอด 300 ปี คริสเตียนส่วนมากคงจะกระตือรือร้นและอุทิศตัวมากขึ้นถ้าเขารู้ว่าจะต้องตายในไม่ช้า หรือรู้ว่าพระคริสต์กำลังจะเสด็จมาแล้ว แต่กาลเวลายิ่งผ่านไปนานนับศตวรรษ ความเชื่อและความรักของเอโนคก็ยิ่งเพิ่มขึ้น {PP 85.2}
เอโนคเป็นชายที่ฝึกฝนศึกษาพัฒนาสมองจนดีเยี่ยม ท่านมีความรู้ที่กว้างไกล และได้รับเกียรติจากพระเจ้าโดยพระองค์ทรงสำแดงสิ่งพิเศษให้ท่านเห็น เนื่องจากท่านติดต่อสื่อสารกับสวรรค์ตลอดเวลา และรู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่และความบริสุทธิ์ของพระเจ้าที่อยู่ต่อหน้าเสมอ ท่านจึงเป็นคนที่ใจถ่อมมากที่สุดคนหนึ่ง คือยิ่งเข้าใกล้ชิดพระเจ้ามากเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งรู้ซึ้งถึงความอ่อนแอและจุดบกพร่องของตนเองมากขึ้นเท่านั้น {PP 85.3}
ความชั่วช้าของคนอธรรมที่เพิ่มขึ้นทำให้เอโนคเป็นทุกข์โศกเศร้า ท่านกลัวว่าความไม่ซื่อสัตย์ของคนชั่วนั้น อาจกระทำให้การเคารพยำเกรงพระเจ้าของท่านลดน้อยลง เอโนคจึงหลีกเลี่ยงที่จะคบหาคนเหล่านี้เป็นประจำ แล้วใช้เวลามากกับการอยู่ตามลำพังเพื่อคิดใคร่ครวญและอธิษฐาน ดังนี้แหละท่านจึงเฝ้ารอคอยพระเจ้า และแสวงหาการเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ให้กระจ่างขึ้นเพื่อจะปฏิบัติตาม สำหรับท่านแล้วการอธิษฐานคือการหายใจของจิตวิญญาณ ท่านดำรงชีวิตในบรรยากาศของสวรรค์เลยทีเดียว {PP 85.4}
ทรงสำแดงพระประสงค์
พระเจ้าทรงใช้ทูตสวรรค์บริสุทธิ์ไปเพื่อสำแดงแก่เอโนคถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่จะทำลายโลกโดยให้น้ำท่วม และยังทรงเปิดเผยให้ท่านเข้าใจแผนการทรงไถ่มากขึ้นอีก พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงนำท่านให้เห็นนิมิตถึงคนในสมัยต่างๆ หลังน้ำท่วมโลก และทรงสำแดงเหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์และการสิ้นโลก {PP 85.5}
เอโนคเป็นทุกข์ใจในเรื่องความตาย เหมือนกับว่าคนชอบธรรมกับคนอธรรมจะกลับไปเป็นผงคลีดินเหมือนๆ กัน และจุดจบก็มีเพียงเท่านั้น ท่านไม่อาจจินตนาการถึงชีวิตหลังความตายของคนชอบธรรมได้ แต่ท่านได้รับการสั่งสอนในนิมิตถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ท่านได้เห็นพระองค์เสด็จกลับมาพร้อมด้วยรัศมีภาพและหมู่ทูตสวรรค์บริสุทธิ์ทั้งปวงเพื่อปลดเปลื้องคนของพระองค์จากหลุมฝังศพ แล้วท่านยังเห็นสภาพของโลกที่เสื่อมโทรมเมื่อใกล้เวลาที่พระคริสต์จะเสด็จมาปรากฏเป็นครั้งที่สองว่า ผู้คนในสมัยนั้นจะอวดดี ทะนงตน และเอาแต่ใจตัวเอง จะปฏิเสธพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียวและองค์พระเยซูคริสต์เจ้า เขาจะเหยียบย่ำพระบัญญัติและดูหมิ่นการทรงไถ่ เอโนคได้เห็นคนชอบธรรมรับเกียรติและรัศมีเป็นมงกุฎ และเห็นคนอธรรมถูกขับไล่ออกไปให้พ้นพระพักตร์พระเจ้าและถูกทำลายด้วยไฟ {PP 85.6}
ประกาศความชอบธรรม
เอโนคจึงกลายเป็นผู้ประกาศความชอบธรรมโดยบอกเล่าในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อท่านแก่ผู้คน คนที่ยำเกรงพระเจ้าได้แสวงหาผู้บริสุทธิ์ท่านนี้ เพื่อรับฟังคำสั่งสอนและให้ท่านอธิษฐานเผื่อ ท่านยังได้ทำงานกับสาธารณชนด้วย โดยนำข่าวสารจากพระเจ้าให้แก่ทุกคนที่จะฟังคำตักเตือน เอโนคไม่ได้จำกัดการทำงานแต่เฉพาะกับเชื้อสายของเสท แต่ผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าคนนี้ได้ถ่ายทอดภาพตรึงใจต่างๆ ที่ได้ฉายผ่านตาของท่านไปยังแผ่นดินที่คาอินหนีออกไปเพื่อพ้นพระพักตร์พระเจ้านั้นด้วย โดยกล่าวว่า “นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้าได้เสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์เป็นหมื่นๆ เพื่อทรงพิพากษาปรับโทษคนทั้งปวง และทรงกระทำให้ทุรชนทั้งปวงรู้สึกตัวถึงการอธรรมที่เขาได้กระทำ” (ยูดา 14–15 TH1971) {PP 86.1}
เอโนคติเตียนความบาปอย่างไม่หวั่นเกรง ขณะที่ประกาศความรักของพระเจ้าที่ปรากฏในองค์พระคริสต์ให้คนในสมัยของตนฟัง ท่านก็ได้วิงวอนให้ทุกคนละทิ้งทางชั่วเสีย และประณามความไร้ศีลธรรมที่แพร่หลาย ทั้งเตือนมนุษย์ในยุคนั้นว่า ผู้ที่ล่วงละเมิดจะถูกลงโทษอย่างแน่นอน พระวิญญาณของพระคริสต์นั่นเองที่ตรัสผ่านท่าน พระวิญญาณนั้นไม่เพียงแต่แสดงออกในถ้อยคำแห่งความรัก ความเมตตา และคำวิงวอนเท่านั้น กล่าวคือผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ไม่ได้พูดเฉพาะแต่สิ่งที่สบายหู แต่พระเจ้าได้ทรงใส่ความจริงในใจและปากของทูตของพระองค์ให้กล่าวด้วยถ้อยคำอันหลักแหลมที่แทงใจราวกับดาบสองคม {PP 86.2}
ผู้ที่ฟังเอโนคก็รู้สึกถึงอำนาจของพระเจ้าที่ทำงานผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ บางคนใส่ใจต่อคำตักเตือนและได้ละทิ้งความบาปของตน แต่คนส่วนใหญ่เยาะเย้ยต่อถ้อยคำที่จริงจังนั้น และยังกล้าทำชั่วมากยิ่งขึ้นต่อไป ผู้รับใช้พระเจ้าในยุคสุดท้ายจะต้องนำข่าวลักษณะเดียวกันนี้ให้แก่โลก แต่ชาวโลกจะเยาะเย้ยและไม่เชื่อเช่นกัน มนุษย์สมัยก่อนน้ำท่วมโลกได้ปฏิเสธคำตักเตือนของชายผู้นี้ที่ดำเนินชีวิตกับพระเจ้าแล้วฉันใด คนในชั่วอายุสุดท้ายของโลกจะดูหมิ่นคำตักเตือนของผู้ประกาศของพระองค์ฉันนั้น {PP 86.3}
ในขณะที่ชีวิตเต็มไปด้วยภารกิจการงานนั้น เอโนคยังคงรักษาการสื่อสัมพันธ์กับพระเจ้าไว้อย่างมั่นคง ภาระหน้าที่ยิ่งมากและเร่งด่วนเท่าไหร่ ท่านยิ่งขะมักเขม้นอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอมากขึ้นเท่านั้น ท่านยังคงแยกตัวเองออกจากสังคมทั้งหลายเป็นระยะๆ หลังจากที่ใช้เวลากับผู้คนในการทำงานเพื่อประโยชน์ของพวกเขาด้วยการสั่งสอนและการเป็นแบบอย่างที่ดี ท่านจะแยกตัวออกมาเพื่อใช้เวลากับพระเจ้าตามลำพังด้วยความหิวกระหายความรู้ที่พระเจ้าเท่านั้นประทานให้ได้ โดยการสนทนากับพระเจ้าเช่นนี้เองที่ทำให้เอโนคสะท้อนพระฉายาของพระองค์มากยิ่งขึ้น ใบหน้าของท่านเปล่งรัศมีบริสุทธิ์ เป็นความสว่างที่ฉายออกจากพระพักตร์พระเยซู เมื่อท่านกลับมาจากการเข้าเฝ้าพระเจ้า แม้กระทั่งคนอธรรมเองเห็นแล้วก็ยังคร้ามเกรงต่อรอยประทับของสวรรค์บนใบหน้าของท่าน {PP 86.4}
ความอธรรมของมนุษย์ได้เพิ่มขึ้นถึงระดับที่พระเจ้าทรงตัดสินพระทัยทำลายพวกเขา แต่ละปีที่ผ่านไปกระแสความบาปของมนุษย์ไหลลึกลงเรื่อยๆ การพิพากษาลงโทษของพระเจ้าก็ใกล้เข้ามาเสมือนเมฆที่ก่อตัวมืดทึบขึ้นทุกที ถึงกระนั้นก็ดีเอโนคพยานแห่งความเชื่อยังคงยืนหยัดร้องกล่าวตักเตือนวิงวอนต่อไป มุ่งมั่นที่จะให้กระแสความบาปนั้นหันกลับ และยับยั้งพระพิโรธของพระเจ้าที่จะมาอย่างสายฟ้าแลบ ถึงแม้ว่าการตักเตือนนั้นถูกคนบาปชั่วที่รักความสนุกสนานทั้งหลายมองข้าม แต่มีหลักฐานยืนยันว่าพระเจ้าทรงพอพระทัย ท่านจึงสู้ต่อไปด้วยความสัตย์ซื่อเพื่อต้านความชั่วที่แพร่หลาย จนกระทั่งพระเจ้าได้ทรงนำท่านออกจากโลกแห่งความบาปไปยังสวรรค์อันบริสุทธิ์สุขเกษม {PP 87.1}
คนในสมัยนั้นเยาะเย้ยว่าท่านโง่เขลาที่ไม่แสวงหาเงินทองหรือกอบโกยทรัพย์สมบัติในโลกนี้ แต่จิตใจของเอโนคอยู่ที่สมบัตินิรันดร์ ท่านมองไปยังเมืองสวรรค์ และเห็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสง่าราศีท่ามกลางศิโยน ความคิดจิตใจและการกระทำของท่านเหมือนดังผู้ที่อยู่ในสวรรค์ ความชั่วยิ่งทวีมากขึ้นเท่าไหร่ ท่านก็ยิ่งร้อนใจที่จะไปอาศัยในบ้านพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น แต่ขณะที่ยังอยู่ในโลกท่านได้ดำรงอยู่ในความสว่างของสวรรค์โดยความเชื่อ {PP 87.2}
เอโนคถูกรับไปทั้งเป็น
“บุคคลผู้ใดมีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นเป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” (มัทธิว 5:8 TH1971) เอโนคแสวงหาความบริสุทธิ์ด้านจิตวิญญาณตลอดเวลา 300 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสวรรค์ ในเวลา 3 ศตวรรษนี้ท่านได้ดำเนินกับพระเจ้า แต่ละวันที่ผ่านไปนั้นยิ่งทำให้ท่านปรารถนาที่จะกระชับความสัมพันธ์กับพระองค์ และความสัมพันธ์นั้นก็ได้ใกล้ชิดแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น จนพระเจ้าทรงรับท่านให้ไปอยู่กับพระองค์ ท่านดำรงชีวิตใกล้ชิดกับสวรรค์จนกระทั่งระหว่างท่านกับเมืองบรมสุขเกษมเหลือเพียงก้าวเดียว และบัดนี้ประตูสวรรค์ก็เปิดออก การดำเนินกับพระเจ้าที่ท่านได้ดำเนินบนโลกเป็นเวลานานก็ยังคงดำเนินต่อไป เอโนคได้เข้าทางประตูเมืองบริสุทธิ์ เป็นมนุษย์คนแรกที่ได้เข้าไป ณ ที่นั่น {PP 87.3}
ชาวโลกรู้สึกว่าได้สูญเสียอะไรบางอย่างในการจากไปของเอโนค เสียงที่ได้ยินตักเตือนสั่งสอนวันแล้ววันเล่านั้นเป็นที่ให้รำลึกถึง มีบางคนทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรมได้เห็นเหตุการณ์ที่เอโนคถูกรับไป ส่วนผู้ที่รักท่านได้บากบั่นค้นหาตัวท่านโดยหวังว่าท่านถูกพาไปที่ใดที่หนึ่งที่ท่านเคยไปเป็นประจำนั้น เช่นเดียวกับในยุคหลังๆ ที่พวกผู้เผยพระวจนะค้นหาเอลียาห์แต่หาไม่พบ1 พวกเขารายงานว่าเอโนคหายหน้าไป เพราะพระเจ้าทรงรับท่านไปแล้ว {PP 88.1}
จากเรื่องที่เอโนคถูกรับไปสวรรค์ทั้งเป็นนั้น พระเจ้าทรงประสงค์ที่จะสอนบทเรียนสำคัญ คือมนุษย์เสี่ยงต่อการท้อถอยสิ้นหวังเนื่องจากผลอันน่ากลัวที่มาจากบาปของอาดัม มีหลายคนพร้อมที่จะแย้งว่า ‘การยำเกรงพระเจ้าและการรักษากฎเกณฑ์ของพระองค์จะได้ประโยชน์อะไรเล่า ในเมื่อคำสาปแช่งได้ครอบงำมนุษยชาติอย่างหนักและสุดท้ายเราก็ต้องตายอยู่แล้ว’ แต่คำสั่งสอนที่พระเจ้าประทานแก่อาดัม แล้วต่อมาเสทได้ประกาศย้ำอีก ได้สำเร็จให้เห็นเป็นรูปธรรมในชีวิตของเอโนค จึงได้ขจัดเอาความเศร้าและความมืดมนออกไป และทำให้มนุษย์มีความหวังว่าแม้จะต้องเผชิญกับความตายเนื่องจากบาปของอาดัม ก็ยังจะได้รับชีวิตอมตะโดยพระผู้ไถ่ตามที่ทรงสัญญาไว้ ซาตานคอยกระตุ้นให้มนุษย์คิดว่าจะไม่มีบำเหน็จแก่คนชอบธรรมและไม่มีโทษแก่คนอธรรม และก็เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะเชื่อฟังกฎเกณฑ์ของพระเจ้า แต่ในกรณีของเอโนค พระเจ้าตรัสว่า “พระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6 TH1971) พระองค์ทรงสำแดงให้เห็นว่าจะตอบแทนอย่างไรแก่ผู้ที่รักษาพระบัญญัติของพระองค์ มนุษย์ถูกสอนว่าการเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้านั้นเป็นไปได้ แม้จะมีชีวิตอยู่ท่ามกลางคนบาปชั่วและด่างพร้อยก็ตาม แต่โดยพระคุณของพระเจ้าเขาสามารถต้านทานการทดลองและกลายเป็นผู้บริสุทธิ์หมดจดได้ เขาเหล่านั้นได้เห็นพระพรที่มาจากชีวิตเช่นนี้ในตัวอย่างของเอโนค และการที่เอโนคถูกรับไปก็เป็นเครื่องยืนยันถึงความจริงที่ได้พยากรณ์ไว้เรื่องชีวิตหน้า อันเป็นรางวัลสุดประเสริฐที่ผู้เชื่อฟังจะได้รับความสุข สง่าราศี และชีวิตนิรันดร์ ส่วนคนที่ล่วงละเมิดนั้นจะถูกกล่าวโทษให้ตกทุกข์จนตาย {PP 88.2}
“เพราะเอโนคมีความเชื่อ ฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงรับท่านขึ้นไป เพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย…ก่อนที่ทรงรับท่านขึ้นไปนั้น มีผู้เป็นพยานว่าท่านเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า” (ฮีบรู 11:5 TH1971) เอโนคดำเนินชีวิตสนิทแนบแน่นกับพระเจ้าท่ามกลางโลกที่จวนจะพินาศเพราะความบาปชั่วนั้น จนพระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้ท่านตกอยู่ภายใต้อำนาจของความตาย อุปนิสัยของผู้เผยพระวจนะคนนี้เป็นไปตามพระลักษณะของพระเจ้า และได้แสดงถึงสภาพบริสุทธิ์ซึ่งคนเหล่านั้นที่ “ทรงไถ่ไว้แล้วจากแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 14:3 TH1971) เมื่อพระคริสต์เสด็จมาครั้งที่สองจะต้องเป็น ในคราวนั้นจะเป็นเช่นเดียวกับโลกก่อนน้ำท่วม คือความชั่วจะแพร่หลาย มนุษย์จะกบฏต่ออำนาจแห่งสวรรค์โดยทำตามใจชั่วของตน และหลงเชื่อตามคำสอนของหลักปรัชญาเทียมเท็จ แต่คนของพระเจ้าในยุคสุดท้ายจะเป็นเหมือนเอโนคที่แสวงหาใจบริสุทธิ์และการดำรงชีวิตตามน้ำพระทัยของพระเจ้า จนกระทั่งเขาได้สะท้อนถึงพระลักษณะของพระเยซูคริสต์ ชีวิตบริสุทธิ์และตัวอย่างของพวกเขาจะเป็นสิ่งประณามความบาปของคนอธรรม เขาจะเตือนชาวโลกเหมือนอย่างเอโนคถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเจ้าและการพิพากษาปรับโทษผู้ที่ล่วงละเมิดพระบัญญัติของพระองค์ เอโนคถูกรับไปสวรรค์ทั้งเป็นก่อนที่โลกจะถูกทำลายด้วยน้ำฉันใด คนชอบธรรมที่มีชีวิตอยู่ในวาระสุดท้ายก็จะถูกรับไปสวรรค์ก่อนที่โลกจะถูกทำลายด้วยไฟฉันนั้น ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวว่า “เราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย” “ด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ด้วยพระดำรัสสั่ง ด้วยสำเนียงเรียกของเทพบดี และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า” “เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่” “คนทั้งปวงในพระคริสต์ที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น และจะได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้าในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นนิตย์ เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด” (1 โครินธ์ 15:51–52; 1 เธสะโลนิกา 4:16–18 TH1971) {PP 88.3}
Footnotes
-
ดู 2 พงศ์กษัตริย์ บทที่ 2 ↩