22. โมเสส

โยเซฟช่วยกู้

ประชาชนชาวอียิปต์ได้ขายฝูงสัตว์เลี้ยงกับที่ดินให้แก่ฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์เพื่อแลกกับอาหารในช่วงการกันดารอาหาร ในที่สุดพวกเขาจึงยอมเป็นข้าแผ่นดินอย่างถาวร แต่โยเซฟช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากพันธะนี้ได้อย่างชาญฉลาด ท่านอนุญาตให้ประชาชนเป็นผู้เช่าผืนดินหลวง และส่งหนึ่งในห้าของผลผลิตที่ได้ในทุกๆ ปีเป็นบรรณาการแก่ฟาโรห์ {PP 241.1}

แต่ลูกๆ ของยาโคบมิได้ตกอยู่ใต้เงื่อนไขนี้ เพราะเหตุที่โยเซฟรับใช้ประเทศอียิปต์ พวกเขาไม่เพียงแต่ได้ถือครองกรรมสิทธิ์พื้นที่ส่วนหนึ่งของประเทศไว้เป็นที่อยู่อาศัย แต่ยังได้รับการยกเว้นภาษี และได้รับอาหารอย่างอุดมสมบูรณ์ตลอดช่วงที่มีการกันดารอาหารอีกด้วย ฟาโรห์ประกาศในที่สาธารณะว่า เพราะพระเจ้าของโยเซฟทรงช่วยประเทศไว้ด้วยพระกรุณาของพระองค์ ชาวอียิปต์จึงได้อิ่มหนำสำราญ ขณะที่ชนชาติอื่นๆ ต้องล้มตายเพราะการกันดารอาหาร ท่านยังเห็นว่าโยเซฟได้บริหารประเทศให้เกิดความมั่งคั่ง จึงโปรดปรานและแสดงความขอบคุณต่อวงศ์ตระกูลของยาโคบ {PP 241.2}

สู่การเป็นทาส

แต่เมื่อเวลาผ่านไป บุรุษผู้มีคุณูปการต่อชาวอียิปต์ รวมไปถึงคนในยุคนั้นที่ได้รับประโยชน์จากงานของท่านได้ล่วงหลับไปหมดแล้ว ต่อมา “มีกษัตริย์องค์ใหม่ขึ้นครองราชสมบัติในประเทศอียิปต์ พระองค์มิได้ทรงรู้จักกับโยเซฟ” ไม่ใช่ว่ากษัตริย์องค์ใหม่ไม่รู้จักคุณงามความดีที่โยเซฟได้สร้างไว้ให้แก่ประเทศชาติ แต่ฟาโรห์องค์ใหม่จงใจปิดบังกิตติศัพท์ของโยเซฟให้ถูกหลงลืมไปเสีย “พระองค์ทรงประกาศแก่ชนชาติของพระองค์ว่า ‘ดูเถิด คนอิสราเอลมีมากเกินไปและมีกำลังยิ่งกว่าเราอีก มาเถิด ให้เราหาอุบายปราบพวกนี้ มิฉะนั้นเขาจะทวีมากขึ้น แล้วถ้าเกิดสงครามขึ้นเมื่อใด ชนชาตินี้จะสมทบกับพวกข้าศึกของเราสู้รบกับเรา แล้วจะยกออกไปจากอาณาจักร’” {PP 241.3}

ในเวลานั้นคนอิสราเอลมีจำนวนมากมหาศาล “มีลูกดกทวีมากขึ้นและมีกำลังมากยิ่ง พวกเขาแพร่หลายไปจนเต็มแผ่นดินนั้น” (อพยพ 1:7 THSV) คนอิสราเอลแผ่ขยายไปทั่วประเทศอย่างรวดเร็วเพราะได้รับการอุปถัมภ์จากโยเซฟ และได้รับความโปรดปรานจากกษัตริย์ในสมัยของท่าน แต่พวกเขายังคงรักษาเอกลักษณ์ความแตกต่างของชนชาติเอาไว้ ในเรื่องขนบธรรมเนียมและศาสนาชาวฮีบรูแตกต่างกับชาวอียิปต์โดยสิ้นเชิง การที่พวกเขามีจำนวนเพิ่มมากขึ้นก็สร้างความวิตกให้กับกษัตริย์และชาวเมืองว่า หากเกิดสงครามขึ้นคนอิสราเอลจะเข้าร่วมกับฝ่ายศัตรูของอียิปต์ ถึงกระนั้นก็ไม่ให้ขับไล่คนอิสราเอลออกนอกประเทศ เพราะชาวยิวจำนวนมากเป็นช่างฝีมือชำนาญการ ช่วยสร้างความมั่งคั่งให้แก่ประเทศอียิปต์ ฟาโรห์ต้องการแรงงานอย่างพวกเขาเพื่อสร้างราชวังและวิหารอันโอ่อ่าตระการตา ฉะนั้นท่านจึงถอนสิทธิพิเศษของคนอิสราเอลเสียและนับรวมพวกเขาเข้ากับชาวอียิปต์ที่ขายตัวเองเป็นข้าแผ่นดินและขายทรัพย์สินให้เป็นของหลวง ไม่นานก็ได้ตั้งนายทาสผู้คุมงานขึ้น คนอิสราเอลจึงตกเป็นทาสเต็มรูปแบบ ชาวอียิปต์ “บังคับชนชาติอิสราเอลให้ทำงานหนัก ทำให้ชีวิตของเขาขมขื่นเพราะงานหนักที่เขากระทำนั้น เช่น ทำปูนสอ ทำอิฐ และทำงานต่างๆ ที่ทุ่งนา เขาถูกบังคับให้ทำงานหนักทุกชนิด” “แต่ยิ่งถูกเบียดเบียนมากเท่าไร ชนชาติอิสราเอลก็ยิ่งทวีมากขึ้น และยิ่งแพร่หลายออกไป” {PP 241.4}

แผนกำจัดชาวฮีบรู

ฟาโรห์กับคณะที่ปรึกษาหวังว่างานหนักนี้จะปราบคนอิสราเอลให้ลดจำนวนลงและขจัดความคิดที่อยากเป็นอิสระออกไปได้ แต่เมื่อแผนการล้มเหลว จึงหันไปใช้วิธีการที่ทารุณยิ่งขึ้น กษัตริย์แห่งอียิปต์รับสั่งพวกนางผดุงครรภ์ให้ฆ่าเด็กผู้ชายฮีบรูแรกเกิดทุกคน เพราะโดยลักษณะของงานแล้วสามารถที่จะทำได้ ซาตานอยู่เบื้องหลังแผนการนี้ มันรู้ว่าผู้ปลดปล่อยจะเกิดมาท่ามกลางคนอิสราเอล หากชักนำให้กษัตริย์ฆ่าลูกหลานของพวกเขาเสียให้หมดก็จะสามารถทำลายแผนการของพระเจ้าได้ แต่นางผดุงครรภ์เหล่านั้นยำเกรงพระเจ้าจึงไม่กล้าทำตามคำบัญชาอันเหี้ยมโหดของฟาโรห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยในการตัดสินใจนี้จึงทรงอวยพรพวกนางให้มีครอบครัว ฝ่ายกษัตริย์กริ้วยิ่งนักที่แผนการล้มเหลว จึงรีบออกคำสั่งให้ราษฎรทั่วทุกสารทิศล่าเหยื่อผู้ไม่มีทางสู้และสังหารเด็กชายชาวฮีบรูโดยด่วน ฟาโรห์รับสั่งว่า “บุตรชายฮีบรูทุกคนที่เกิดมา ให้เอาไปทิ้งเสียในแม่น้ำไนล์ แต่บุตรหญิงทุกคนให้รอดชีวิตอยู่ได้” {PP 242.1}

ในช่วงที่คำสั่งนี้ถูกประกาศใช้ อัมรามกับโยเคเบดผู้ยำเกรงพระเจ้าจากเผ่าเลวีได้ให้กำเนิดบุตรชายผู้ “น่ารัก” คนหนึ่ง ผู้เป็นพ่อแม่เชื่อว่าเวลาแห่งการปลดปล่อยคนอิสราเอลใกล้เข้ามาแล้ว และพระเจ้าจะทรงให้ผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อปลดปล่อยคนอิสราเอล จึงตั้งใจแน่วแน่ว่าบุตรของตนจะต้องไม่ถูกฆ่า ความเชื่อในพระเจ้าเสริมจิตใจของพวกเขาให้เข้มแข็งจึง “ไม่ได้กลัวคำสั่งของกษัตริย์เลย” (ฮีบรู 11:23 TH1971) {PP 242.2}

ทารกน้อยโมเสส

โยเคเบดซ่อนบุตรของตนได้ 3 เดือน และเมื่อเห็นว่าคงไม่อาจซ่อนเขาให้ปลอดภัยได้อีกแล้วจึงสานตะกร้าด้วยต้นกก ทำเป็นเรือเล็กๆ ยาด้วยยางมะตอยและชันเพื่อกันน้ำซึม เอาทารกใส่ในตระกร้านั้น แล้วนำไปวางไว้ที่กอปรือริมแม่น้ำ นางไม่กล้าอยู่เฝ้าดูทารกนั้นเพราะกลัวว่าจะเกิดอันตรายกับชีวิตของเด็กน้อยและกับตัวนางเอง แต่มิเรียมผู้เป็นพี่สาวยังคงยืนอ้อยอิ่งอยู่บริเวณนั้น ทำทีเป็นไม่สนใจ แต่ที่จริงแล้วเฝ้าดูด้วยใจจดจ่อว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของตน ไม่ใช่มิเรียมเท่านั้นที่เฝ้าดู แต่ผู้เป็นแม่ได้อธิษฐานอย่างร้อนรนและฝากเด็กน้อยไว้ในการดูแลของพระเจ้า ทูตสวรรค์ที่ไม่มีใครเห็นจึงมาคอยเฝ้าอยู่เหนือทารกน้อยที่นอนอยู่ในตะกร้าใบนั้นด้วย มีทูตสวรรค์นำธิดาฟาโรห์ไปที่นั่น และเมื่อพระนางเห็นตะกร้าเล็กๆ ก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เมื่อเปิดตะกร้านั้นออกและเห็นเด็กน้อยรูปงามจึงเข้าใจความเป็นมาในทันที พระนางเกิดความเมตตาสงสารเมื่อเห็นเด็กน้อยร้องไห้ และคิดถึงหัวอกผู้เป็นแม่ที่ยอมทำถึงเพียงนี้เพื่อพยายามรักษาชีวิตลูกรักของเธอไว้ ธิดาฟาโรห์จึงตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กคนนี้ไว้เพื่อไม่ให้ถูกสังหาร {PP 243.1}

มิเรียมได้แอบสังเกตเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้น เมื่อเห็นว่าน้องชายของตนเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของธิดาฟาโรห์จึงเข้าไปใกล้ และถามขึ้นว่า “จะให้หม่อมฉันไปหานางนมชาวฮีบรูมาเลี้ยงทารกนี้ให้พระนางไหม” ธิดาฟาโรห์จึงสั่งว่า “ไปหาเถิด” {PP 243.2}

มิเรียมรีบนำข่าวดีนี้ไปบอกแม่ แล้วทั้งสองจึงกลับไปหาธิดาฟาโรห์โดยไม่รีรอ เมื่อนางโยเคเบดไปถึงพระนางสั่งว่า “รับเด็กนี้ไปเลี้ยงไว้ให้เรา แล้วเราจะให้ค่าจ้าง” {PP 243.3}

พระเจ้าทรงสดับรับฟังคำอธิษฐานของผู้เป็นแม่ โดยตอบสนองความเชื่อของเธอ เธอซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งและชื่นชมยินดีที่จะได้เลี้ยงลูกอย่างปลอดภัย เธอใช้โอกาสนี้อบรมสั่งสอนลูกที่พระเจ้าประทานให้นั้นอย่างสัตย์ซื่อ นางโยเคเบดรู้สึกมั่นใจว่าเด็กคนนี้ถูกสงวนไว้สำหรับภารกิจสำคัญ และรู้ว่าเมื่อเติบโตขึ้นเขาจะต้องถูกนำไปอยู่กับธิดาฟาโรห์ในวังท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่จะดึงเขาออกห่างจากพระเจ้า ทั้งหมดนี้ทำให้เธอต้องใส่ใจสั่งสอนเขาอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษกว่าลูกคนอื่นๆ เธอหมั่นอบรมบ่มนิสัยให้เขารู้จักยำเกรงพระเจ้าและให้เขารักความจริงและความยุติธรรม ผู้เป็นแม่อธิษฐานด้วยใจร้อนรนเพื่อให้เด็กคนนั้นพ้นจากอิทธิพลทุกอย่างที่ชักจูงไปในทางเสื่อมเสีย เธออธิบายให้เขารู้ว่าการกราบไหว้รูปเคารพนั้นเป็นบาปและเป็นเรื่องโง่งมงาย และสอนเขาตั้งแต่เล็กให้นบนอบกราบนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผู้ทรงได้ยินคำอธิษฐานและทรงช่วยเขาได้ทุกเมื่อในยามคับขันแต่พระองค์เดียว {PP 243.4}

ปลูกฝังในทางพระเจ้า

โยเคเบดรับเลี้ยงดูเด็กชายคนนี้นานเท่าที่จะนานได้ แต่ก็ต้องยอมปล่อยเขาไปเมื่ออายุได้ประมาณ 12 ปี โมเสสถูกนำตัวจากกระท่อมน้อยๆ ส่งไปให้พระธิดาในวังของฟาโรห์ พระนางจึงรับไว้เป็น “พระราชบุตรของพระนาง” แม้ว่าโมเสสจะได้อยู่ในวัง แต่บทเรียนที่มารดาพร่ำสอนเมื่อเยาว์วัยมิได้เลือนหายไปจากใจเลย มันเป็นเสมือนเกราะป้องกันเขาไว้จากความหยิ่งจองหอง การทรยศหักหลัง และมลทินบาปที่แพร่สะพัดอยู่ท่ามกลางความหรูหราในราชวัง {PP 244.1}

ดูเถิด นางทาสชาวฮีบรูผู้พลัดถิ่นได้ส่งอิทธิพลออกไปกว้างไกลเพียงใด ชีวิตต่อจากนั้นของโมเสสและภารกิจที่ยิ่งใหญ่ในการเป็นผู้นำคนอิสราเอลพิสูจน์ว่าหน้าที่ของแม่ที่เป็นคริสเตียนมีความสำคัญขนาดไหน ไม่มีหน้าที่อื่นใดที่จะเทียบเท่าหน้าที่นี้อีกแล้ว ผู้เป็นแม่ได้กุมอนาคตอันยาวไกลเสียส่วนใหญ่ของลูกทุกคนไว้ในมือ นางปลูกฝังความนึกคิดและอุปนิสัยไม่เพียงแต่ในชีวิตนี้เท่านั้นแต่โยงไปถึงความรอดนิรันดร์ด้วย นางหว่านเมล็ดที่จะเติบโตออกผลไม่ว่าดีหรือเลว ไม่ใช่การแต่งแต้มภาพอันสวยงามลงบนผืนผ้าใบหรือแกะสลักรูปปั้นจากหินอ่อน แต่เป็นการจารึกพระลักษณะของพระเจ้าไว้ในจิตใจของมนุษย์คนหนึ่ง ผู้เป็นแม่มีหน้าที่ปลูกฝังอุปนิสัยของบุตรโดยเฉพาะเมื่ออายุยังน้อยและสมองยังพัฒนาอยู่ เพราะเขาจะจดจำสิ่งที่เรียนรู้ไปตลอดชีวิต พ่อแม่ควรฝึกฝนอบรมบุตรของตนเมื่อเขายังเด็ก เพื่อว่าเมื่อโตขึ้นมาเขาจะได้เป็นคริสเตียน พวกเขาอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูฝึกฝนของผู้ใหญ่ ไม่ใช่เพื่อรับเอาบัลลังก์ในโลกนี้เป็นมรดก แต่เพื่อเป็นดั่งราชาต่อพระพักตร์พระเจ้าและครอบครองในสวรรค์สืบไปเป็นนิตย์ {PP 244.2}

ขอให้แม่ทุกคนตระหนักไว้ว่าเวลาทุกขณะมีค่ามากจนประเมินไม่ได้ สิ่งที่นางทำจะถูกพิจารณาในวันพิพากษา และจะพบว่าความล้มเหลวและอาชญากรรมหลายอย่างของทั้งชายและหญิงเกิดจากการละเลยหน้าที่และการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้เป็นแม่ที่ไม่นำบุตรของตนเดินในทางที่ถูกต้องเมื่อเขายังเล็ก ขณะเดียวกันก็จะพบว่าผู้ที่เป็นแบบอย่างแก่โลกในด้านสติปัญญา ความจริง และความบริสุทธิ์นั้นได้รับข้อปฏิบัติที่นำไปสู่ความสำเร็จจากแม่ที่เป็นคริสเตียนผู้อธิษฐานเผื่อเขาอยู่เบื้องหลังนั่นเอง {PP 244.3}

ผู้ปลดปล่อยที่ทรงเลือกสรร

ในวังของฟาโรห์ โมเสสได้รับการฝึกฝนด้านการเมืองการทหารอย่างดีที่สุด ฟาโรห์ตั้งใจว่าจะให้หลานบุญธรรมคนนี้เป็นผู้สืบบัลลังก์ต่อ จึงต้องมอบการศึกษาเพื่อให้พร้อมรับตำแหน่งสูงส่งนี้ “ฝ่ายโมเสสจึงได้รับการสอนในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีสมรรถภาพในการพูดและกิจการต่างๆ” (กิจการ 7:22 TH1971) โมเสสเป็นที่ชื่นชมของกองทหารชาวอียิปต์เพราะท่านมีความเป็นผู้นำด้านการรบเป็นอย่างดี และนิสัยอันดีงามในตัวท่านก็เป็นที่เลื่องลือโดยทั่วกัน แผนการของซาตานได้ล้มเหลวไป พระเจ้าทรงพลิกผันแผนการอันชั่วร้ายเสีย คือทรงเปลี่ยนคำสั่งที่ให้กำจัดเด็กฮีบรู ให้กลายเป็นเหตุสร้างผู้นำในอนาคตสำหรับคนของพระองค์แทน {PP 245.1}

เหล่าทูตสวรรค์ได้บอกผู้ใหญ่ชาวอิสราเอลว่าเวลาแห่งการปลดปล่อยใกล้เข้ามาแล้ว และโมเสสคือผู้ที่พระเจ้าจะทรงใช้เพื่อทำให้งานนี้สำเร็จ ทูตสวรรค์ยังได้สอนให้โมเสสรู้ว่า พระเยโฮวาห์ทรงเลือกท่านให้ปลดปล่อยประชากรของพระองค์จากการเป็นทาส ท่านคิดว่าพวกเขาจะได้อิสรภาพด้วยการสู้รบกับกองทัพอียิปต์โดยมีท่านเป็นผู้นำกองกำลังชาวฮีบรู ด้วยเหตุนี้โมเสสจึงตีตัวออกห่างจากผู้เป็นแม่บุญธรรมและแม้แต่ฟาโรห์เอง เพราะกลัวว่าความผูกพันธ์นั้นจะเป็นอุปสรรคทำให้ท่านไม่สามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างเสรี {PP 245.2}

ตามกฎหมายของอียิปต์แล้วผู้ที่จะขึ้นครองบัลลังก์ฟาโรห์ได้จะต้องเป็นหนึ่งในชนชั้นปุโรหิต โมเสสในฐานะรัชทายาทจึงต้องเข้ารับการศึกษาความลี้ลับแห่งพิธีกรรมศาสนาประจำชาติ พวกปุโรหิตเป็นผู้รับหน้าที่สอนโมเสส ถึงแม้โมเสสจะกระตือรือร้นและตั้งใจเรียน แต่ก็ไม่ยอมให้ถูกชักจูงไปกราบไหว้เทพเจ้าต่างๆ ของอียิปต์ ท่านโดนขู่ว่าจะไม่ได้ขึ้นครองราชย์และจะถูกตัดขาดจากธิดาฟาโรห์หากยังคงยึดมั่นในความเชื่อของชาวฮีบรู โมเสสไม่หวั่นไหวที่จะมอบความจงรักภักดีต่อพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกแต่พระองค์เดียว ท่านอธิบายให้พวกปุโรหิตและศาสนิกชนฟังว่าการนับถือวัตถุสิ่งของที่ปราศจากชีวิตนั้นเป็นเรื่องโง่งมงาย ไม่มีใครโต้แย้งเหตุผลของโมเสสหรือเปลี่ยนความมุ่งมั่นของท่านได้ กระนั้นคนเหล่านั้นยอมทนต่อความเด็ดเดี่ยวของโมเสสได้ระยะหนึ่ง เพราะเห็นแก่ตำแหน่งอันสูงส่งของท่านและความโปรดปรานที่ท่านได้รับจากฟาโรห์และประชาชน {PP 245.3}

ร่วมทุกข์กับพี่น้อง

“โดยความเชื่อเมื่อโมเสสเติบโตขึ้นก็ปฏิเสธฐานะบุตรของธิดาฟาโรห์ เขาเลือกที่จะถูกข่มเหงร่วมกับเหล่าประชากรของพระเจ้าแทนการเริงสำราญเพียงชั่วคราวในบาป เขาถือว่าการยอมเสื่อมเสียเพื่อพระคริสต์ยังล้ำค่ายิ่งกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของอียิปต์ เพราะเขามองไปข้างหน้าถึงบำเหน็จของเขา” (ฮีบรู 11:24–26 TNCV) โมเสสได้รับการอบรมให้เป็นที่โดดเด่นท่ามกลางผู้มีชื่อเสียงในโลก ให้ครอบครองราชอาณาจักรที่เรืองอำนาจที่สุด และเป็นผู้ช่ำชองที่สุดในราชสำนัก อัจฉริยภาพของท่านทำให้ท่านเป็นเลิศเหนือบุคคลสำคัญในทุกสมัย ในฐานะนักประวัติศาสตร์ นักกวี นักปรัชญา แม่ทัพ และนักบัญญัติกฎหมาย ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่เสมอเหมือนโมเสสเลย แต่กระนั้นท่านก็ยังมีความมั่นคงด้านศีลธรรมที่ไม่หลงใหลไปกับชื่อเสียง เกียรติยศ และความมั่งคั่งของโลกนี้ “ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้าแทนการเริงสำราญในความชั่ว” (ฮีบรู 11:25 TH1971) {PP 245.4}

โมเสสได้รับการสั่งสอนเรื่องบำเหน็จขั้นสุดท้ายซึ่งผู้รับใช้ที่ถ่อมตนและเชื่อฟังพระเจ้าจะได้รับ ฉะนั้นความเจริญรุ่งเรืองฝ่ายโลกจึงไม่อาจเทียบได้ ราชวังอันโอ่อ่าและบัลลังก์ของฟาโรห์ไม่อาจล่อใจโมเสสได้ เพราะท่านรู้ว่าราชสำนักนั้นเต็มไปด้วยความสุขสำราญในความบาปอันเป็นเหตุชักนำให้มนุษย์หลงลืมพระเจ้า ท่านไม่สนใจราชวังอันสวยงาม หรือตำแหน่งว่าที่ฟาโรห์องค์ใหม่ แต่มองไปยังเกียรติยศอันสูงส่งที่บรรดาธรรมิกชนขององค์ผู้สูงสุดจะได้รับในอาณาจักรที่ไร้มลทินบาป ด้วยความเชื่อท่านได้เห็นมงกุฎที่ไม่มีวันเสื่อมสลายที่พระราชาแห่งสวรรค์จะทรงสวมบนศีรษะของผู้ที่ได้รับชัยชนะต่อความบาป ความเชื่อนี้ทำให้ท่านหันไปเสียจากยศถาบรรดาศักดิ์ฝ่ายโลกและเข้าร่วมกับชนชาติที่ถูกดูหมิ่นว่าต่ำต้อยยากไร้แต่เลือกเชื่อฟังพระเจ้าแทนการติดตามความชั่ว {PP 246.1}

หนี

โมเสสยังคงอาศัยอยู่ในวังจนกระทั่งอายุ 40 ปี บ่อยครั้งท่านคิดถึงคนของท่านที่ตกอยู่ในสภาพทาสที่น่าเวทนา จึงออกไปเยี่ยมเยียนและให้กำลังใจพี่น้องเหล่านั้นว่าพระเจ้าจะทรงช่วยปลดปล่อยพวกเขาอย่างแน่นอน ท่านรู้สึกขุ่นเคืองใจอยู่บ่อยๆ เมื่อเห็นการข่มเหงอย่างไร้ความเป็นธรรม ท่านเดือดดาลจนอยากแก้แค้นแทนพี่น้องชาวฮีบรู วันหนึ่งขณะที่โมเสสออกเยี่ยมเยียนก็เห็นคนอียิปต์กำลังเฆี่ยนคนงานอิสราเอล ท่านจึงกระโจนเข้าไปฆ่าชาวอียิปต์ ไม่มีพยานอื่นเห็นเหตุการณ์ยกเว้นคนอิสราเอลที่ถูกข่มเหงคนนั้น โมเสสจึงรีบฝังศพคนอียิปต์เสียในทราย บัดนี้ท่านได้แสดงตัวแล้วว่าพร้อมที่จะต่อสู้แทนคนของท่าน และหวังที่จะเห็นคนอิสราเอลลุกขึ้นสู้เพื่อกอบกู้อิสรภาพ “เพราะคิดว่าญาติพี่น้องคงเข้าใจดีว่า พระเจ้าจะทรงช่วยพวกเขาให้รอดด้วยมือของตน แต่พวกเขาไม่เข้าใจอย่างนั้น” (กิจการ 7:25 THSV) คนอิสราเอลยังไม่พร้อมสำหรับอิสรภาพ วันต่อมาโมเสสเห็นคนฮีบรู 2 คนทะเลาะกัน ซึ่งเห็นชัดว่าใครถูกใครผิด โมเสสจึงเข้าไปต่อว่าคนที่ทำผิดนั้น แต่เขาไม่ยอมรับการติเตียนจากท่าน กลับตอบโต้ทันทีทันควันว่าโมเสสเป็นฆาตกรโดยกล่าวหาอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ใครตั้งเจ้าให้เป็นเจ้านาย และเป็นตุลาการปกครองเรา เจ้าตั้งใจจะฆ่าตัวข้าเหมือนที่ได้ฆ่าคนอียิปต์คนนั้นหรือ” (อพยพ 2:14 THSV) {PP 246.2}

ข่าวนี้ได้แพร่สะพัดไปถึงคนอียิปต์อย่างรวดเร็วและถูกขยายความเกินความเป็นจริงไปมากจนในที่สุดก็ลือไปถึงหูของกษัตริย์ มีคนทูลฟาโรห์ว่าเรื่องนี้สำคัญมากเพราะโมเสสกำลังวางแผนนำคนอิสราเอลต่อสู้กับคนอียิปต์เพื่อล้มล้างการปกครองและขึ้นครองราชย์แทน ตราบใดที่โมเสสยังมีชีวิตอยู่ประเทศชาติก็จะยังไม่พ้นภัย ฟาโรห์จึงตัดสินโทษประหารชีวิตโมเสสทันที แต่ท่านไหวตัวทันจึงรีบหนีไปทางอาระเบีย {PP 247.1}

ขัดเกลาที่มีเดียน

องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงนำทางโมเสสไปพักอาศัยกับเยโธรผู้เป็นทั้งปุโรหิตและผู้นำคนหนึ่งแห่งมีเดียน และเป็นผู้นมัสการพระเจ้าเช่นกัน เมื่อเวลาผ่านไปโมเสสก็ได้แต่งงานกับลูกสาวคนหนึ่งของเยโธร และทำงานเลี้ยงแกะรับใช้พ่อตาอยู่ 40 ปี {PP 247.2}

การที่โมเสสฆ่าชาวอียิปต์นั้นเป็นความผิดพลาดในลักษณะเดียวกันกับที่บรรพบุรุษเคยกระทำเรื่อยมา คือพวกเขาคิดว่าจะช่วยให้แผนการที่พระเจ้าทรงสัญญานั้นสำเร็จด้วยน้ำมือของตนเอง พระเจ้าไม่มีพระประสงค์ที่จะปลดปล่อยชาวอิสราเอลด้วยการสู้รบเหมือนที่โมเสสคิด แต่จะทรงให้รอดพ้นด้วยฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อพระเกียรติจะเป็นของพระองค์แต่ผู้เดียว ถึงกระนั้นพระเจ้าทรงพลิกผันแม้กระทั่งผลของการกระทำอันวู่วามนี้เพื่อให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ โมเสสยังไม่พร้อมสำหรับหน้าที่อันสำคัญนั้น ท่านยังต้องเรียนรู้บทเรียนแห่งความเชื่อดังที่อับราฮัมและยาโคบเคยได้รับ คือการไม่พึ่งในกำลังและความรอบรู้ของมนุษย์แต่วางใจในฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะทำให้พระสัญญาของพระองค์สำเร็จได้ และท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวแห่งขุนเขานั้นโมเสสจะต้องเรียนรู้บทเรียนอื่นๆ อีกหลายอย่าง การควบคุมตนเองในภาวะที่ยากลำบากเป็นเหมือนครูฝึกให้ท่านเรียนรู้จักความอดทนและการสงบสติอารมณ์ ก่อนที่จะทำหน้าที่ปกครองได้อย่างชาญฉลาด ท่านต้องได้รับการฝึกฝนให้เชื่อฟัง จิตใจต้องประสานเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าเสียก่อนจึงจะสอนให้คนอิสราเอลรู้จักน้ำพระทัยของพระองค์ได้ และจากประสบการณ์ส่วนตัว ท่านต้องพร้อมที่จะเอาใจใส่ดูแลทุกคนที่ต้องการความช่วยเหลือดุจดังบิดาดูแลบุตรของตน {PP 247.3}

ตามธรรมดาแล้วคนทั่วไปคงไม่ทนตรากตรำทำงานที่ไร้ผู้คนสนใจเป็นเวลานานเช่นนั้นเพราะถือว่าเป็นเรื่องเสียเวลา แต่พระเจ้าผู้เปี่ยมล้นด้วยพระปัญญาได้ทรงเรียกให้โมเสสใช้เวลา 40 ปี กับงานเลี้ยงแกะที่ต่ำต้อยก่อนที่จะให้เป็นผู้นำ การสอนให้ท่านรู้จักเลี้ยงดู มีความห่วงใยโดยไม่คิดถึงตนเอง และเอาใจใส่ฝูงแกะเป็นอย่างดีทำให้ท่านพร้อมที่จะเป็นผู้นำอิสราเอลที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและใจซึ่งอดทนนาน ประสบการณ์เหล่านี้ไม่สามารถหาทดแทนได้จากหลักสูตรของมนุษย์ที่ไหนเลย {PP 247.4}

โมเสสได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ มากมายจากในวังที่ต้องสลัดทิ้งเสียก่อน อิทธิพลรอบตัวในอียิปต์ เช่น ความรักของแม่บุญธรรม ตำแหน่งสูงศักดิ์ในฐานะหลานของฟาโรห์ สังคมสำมะเลเทเมา ศาสนาเทียมเท็จที่เน้นการประดับภายนอกในขณะที่ภายในเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมกลโกงแห่งไสยศาสตร์ การบูชารูปเคารพที่งดงามวิจิตรบรรจง และความโอ่อ่าของสถาปัตยกรรมและประติมากรรม สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังอยู่ในความคิดและหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของอุปนิสัยของโมเสสไปเสียแล้ว ระยะเวลา สภาพแวดล้อมที่ต่างจากเดิม และการติดสนิทกับพระเจ้าจะลบล้างสิ่งเหล่านั้นไปได้ โมเสสเองจะต้องต่อสู้ดิ้นรนราวกับเอาชีวิตรอดเพื่อตัดขาดจากการหลงผิดและยอมรับความจริง แต่พระเจ้าจะทรงช่วยเมื่อการต่อสู้นั้นเกินกำลังที่มนุษย์จะทนได้ {PP 248.1}

สวนกระแสความบาป

ทุกคนที่ได้รับเลือกให้ทำงานอย่างหนึ่งของพระเจ้าจนสำเร็จก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีความบกพร่องปรากฏให้เห็น กระนั้นพวกเขาก็แตกต่างจากคนทั่วไปในด้านอุปนิสัยและการประพฤติ ทั้งมีความมุมานะที่จะไม่ทำตามกระแสสังคม พวกเขาปรารถนาสติปัญญาจากพระเจ้าอย่างแรงกล้า และต้องการเรียนรู้ที่จะทำงานเพื่อพระองค์ ดังที่อัครทูตกล่าวไว้ว่า “ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ทรงโปรดประทานให้แก่คนทั้งปวงด้วยพระกรุณาและมิได้ทรงตำหนิ แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ทูลขอ” (ยากอบ 1:5 TH1971) แต่พระเจ้าจะไม่ประทานแสงแห่งสวรรค์ให้คนที่ยังพอใจอยู่ต่อในความมืด เขาจะต้องตระหนักถึงความอ่อนแอและข้อบกพร่องของตนเสียก่อนจึงจะได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า และสำนึกถึงการเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่ต้องเกิดขึ้นกับตน เขาจะต้องตื่นตัวและขะมักเขม้นอธิษฐานด้วยใจที่มุ่งมั่นบากบั่น สลัดทิ้งนิสัยและธรรมเนียมปฏิบัติที่ผิดๆ ไปเสีย มีทางเดียวที่จะได้รับชัยชนะนี้ คือตั้งใจแน่วแน่ที่จะแก้ไขความผิดเหล่านั้น และหันมาดำเนินชีวิตตามหลักการที่ถูกต้อง มีหลายคนไม่สามารถก้าวไปถึงตำแหน่งที่ตนควรได้รับเพราะมัวแต่รอให้พระเจ้าทรงช่วยเหลือในเรื่องที่พระองค์ประทานกำลังให้เขาจัดการเองได้ ทุกคนที่ใช้การได้จะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทางด้านจิตใจและศีลธรรมเสียก่อน แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยเขาด้วยการประทานฤทธิ์อำนาจของพระองค์ร่วมกับความพยายามของมนุษย์ {PP 248.2}

ผ่านการหล่อหลอม

โมเสสอยู่ลำพังกับพระเจ้า แวดล้อมด้วยทิวเขาที่ปิดกั้นไว้จากความโอ่อ่าตระการตาแห่งวิหารในอียิปต์ มายาแห่งศาสนาเทียมเท็จจึงไม่ได้ตรึงใจของท่านอีกต่อไป ท่ามกลางขุนเขาที่ตั้งมั่นคงสูงตระหง่าน ท่านได้เห็นฝีพระหัตถ์อันเกรียงไกรขององค์ผู้สูงสุด ทำให้ตระหนักว่าเทพเจ้าของอียิปต์ไร้ซึ่งอำนาจและความสำคัญสิ้นดี พระนามของพระผู้สร้างมีจารึกไว้ในทุกที่รอบตัวท่าน โมเสสรู้สึกเหมือนตนยืนอยู่ในที่ประทับใต้ร่มเงาแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ ความหยิ่งยโสและการพึ่งพาตนเองจึงหมดสิ้นไป ชีวิตในถิ่นทุรกันดารที่มีกิจวัตรเรียบง่ายได้ขจัดอิทธิพลของความสะดวกสบายและความฟุ้งเฟ้อแห่งอียิปต์ออกไปเสีย โมเสสกลายเป็นผู้ที่มีความอดทนและอ่อนน้อมถ่อมตน ท่าน “เป็นคนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน” (กันดารวิถี 12:3 THSV) แต่กระนั้นก็มีความเชื่อหนักแน่นมั่นคงในพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ของยาโคบ {PP 248.3}

หลายปีผ่านไป โมเสสยังคงเดินร่อนเร่เลี้ยงฝูงแกะในถิ่นทุรกันดารอันเปล่าเปลี่ยว ในใจก็หวนคิดถึงพงศ์พันธุ์ของท่านที่ต้องทนต่อการถูกกดขี่ข่มเหง ท่านระลึกถึงความสัมพันธ์และการทรงนำของพระเจ้าต่อบรรพบุรุษในอดีต และพระสัญญาแก่ชนชาติอิสราเอลที่ทรงเลือกไว้ โมเสสเฝ้าอธิษฐานเผื่อคนอิสราเอลทั้งกลางวันและกลางคืน ทูตสวรรค์ได้ฉายแสงแห่งปัญญาเข้าไปในใจของท่าน และในที่แห่งนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจให้ท่านเขียนพระธรรมปฐมกาล หลายปีที่ยาวนานในถิ่นทุรกันดารกลายเป็นพรมหาศาลไม่เพียงแต่สำหรับโมเสสและคนอิสราเอลเท่านั้น แต่สำหรับชนรุ่นหลังที่สืบต่อมาด้วย {PP 251.1}

พุ่มไม้ที่ลุกเป็นไฟ

“หลายปีผ่านไป กษัตริย์อียิปต์ก็สิ้นพระชนม์ ชนชาติอิสราเอลทุกข์ระทมเพราะการเป็นทาส จึงร้องคร่ำครวญ เสียงร่ำร้องขอความช่วยเหลือเพราะการเป็นทาสนี้ ดังขึ้นไปถึงพระเจ้า พระเจ้าทรงได้ยินเสียงคร่ำครวญของพวกเขา จึงทรงระลึกถึงพันธสัญญาที่พระองค์ได้ทรงทำไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าทอดพระเนตรชนชาติอิสราเอล แล้วพระเจ้าทรงทราบถึงสภาพความเป็นไปของพวกเขา” (อพยพ 2:23–25 THSV) เวลาแห่งการปลดปล่อยชาวอิสราเอลได้มาถึงแล้ว แต่พระเจ้ามีพระประสงค์ที่จะทรงกระทำให้พระราชกิจของพระองค์สำเร็จด้วยการกำราบความเย่อหยิ่งของมนุษย์ ผู้ปลดปล่อยจะมาในฐานะคนเลี้ยงแกะธรรมดาที่มีเพียงไม้เท้าอันเดียวอยู่ในมือ แต่พระเจ้าจะทรงเปลี่ยนไม้เท้านั้นให้เป็นสัญลักษณ์แห่งฤทธิ์อำนาจของพระองค์ วันหนึ่งขณะที่โมเสสกำลังต้อนฝูงแกะมาใกล้ “ภูเขาของพระเจ้า” คือโฮเรบ ท่านเห็นพุ่มไม้มีไฟลุกโชนอยู่ ทั้งใบทั้งกิ่งและลำต้นลุกเป็นไฟแต่ดูเหมือนมิได้ไหม้ ท่านจึงเข้าไปเพื่อดูสิ่งแปลกประหลาดนี้ แล้วได้ยินเสียงดังออกมาจากเปลวเพลิงเรียกชื่อของท่าน โมเสสตอบด้วยริมฝีปากที่สั่นระริกว่า “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่” พระเจ้าทรงเตือนท่านไม่ให้บุ่มบ่ามเข้าไปใกล้ โดยตรัสว่า “อย่าเข้ามาใกล้ที่นี่ ถอดรองเท้าของเจ้าออกเสีย เพราะว่าที่ซึ่งเจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์…เราเป็นพระเจ้าของบิดาเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค และพระเจ้าของยาโคบ” ทูตแห่งพันธสัญญาผู้เคยปรากฏแก่บรรพบุรุษเมื่อนานมาแล้วนั้นคือพระเจ้านั่นเอง “โมเสสปิดหน้าเสียเพราะกลัว ไม่กล้ามองดูพระเจ้า” {PP 251.2}

ทุกคนที่เข้าเฝ้าจำเพาะพระเจ้าควรมีท่าทีนอบน้อมถ่อมตน เราเข้าเฝ้าพระองค์ในพระนามของพระเยซูด้วยความมั่นใจ แต่ไม่ควรบังอาจทึกทักไปว่าพระองค์อยู่ระดับเดียวกันกับเรา มีคนจำพวกหนึ่งที่ทูลพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ “ทรงสถิตในความสว่างที่ซึ่งไม่มีคนใดจะเข้าไปถึง” (1 ทิโมธี 6:16 TH1971) ราวกับว่าพระองค์ทรงเป็นเพื่อนเล่นหรือแม้กระทั่งทรงมีฐานะต่ำกว่าเขาเสียอีก มีบางคนแสดงท่าทีที่ไม่เหมาะสมเมื่ออยู่ในโบสถ์ แต่ในขณะเดียวกันคงไม่กล้าทำเช่นนั้นถ้าหากอยู่ในทำเนียบผู้บริหารประเทศ เมื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าเขาควรสำนึกว่าเหล่าเสราฟิมในเทวสถานรักและยำเกรงพระองค์ และทูตสวรรค์ทุกองค์ต่างคลุมหน้าของตนเมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พระองค์ทรงสมควรเป็นที่เคารพยำเกรงอย่างยิ่ง ทุกคนที่ตระหนักว่าตนยืนอยู่จำเพาะพระเจ้าจะก้มลงกราบด้วยใจถ่อม ดังเช่นยาโคบที่เห็นนิมิตจากพระเจ้าแล้วพูดขึ้นว่า “สถานที่นี้ศักดิ์สิทธิ์นัก สถานที่นี้มิใช่อื่นไกล เป็นที่ประทับของพระเจ้า และประตูฟ้าสวรรค์” (ปฐมกาล 28:17 TH1971) {PP 252.1}

ถึงเวลาช่วยกู้

ขณะที่โมเสสรอคอยพระดำรัสอยู่ด้วยความยำเกรง พระเจ้าตรัสต่อไปว่า “เราเห็นความทุกข์ของประชากรของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว เราได้ยินเสียงร้องของเขา เพราะการกดขี่ของพวกนายงาน เรารู้ถึงความทุกข์ร้อนต่างๆ ของเขา เราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้รอดจากมือชาวอียิปต์ และนำเขาออกจากประเทศนั้น ไปยังแผ่นดินที่อุดมกว้างขวาง เป็นแผ่นดินที่มีน้ำนม และน้ำผึ้งไหลบริบูรณ์…เราจะใช้เจ้าไปเฝ้าฟาโรห์ เพื่อจะได้พาประชากรของเราคือชนชาติอิสราเอลออกจากอียิปต์” {PP 252.2}

โมเสสประหลาดใจและคร้ามกลัวต่อพระบัญชา ท่านก้าวถอยหลังไปและทูลว่า “ข้าพระองค์เป็นผู้ใดเล่า จึงจะไปเฝ้าฟาโรห์และนำคนอิสราเอลออกจากอียิปต์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราจะอยู่กับเจ้าแน่ นี่เป็นหมายสำคัญให้เจ้ารู้ว่าเราใช้ให้เจ้าไป คือเมื่อเจ้านำประชากรออกจากอียิปต์แล้ว เจ้าทั้งหลายจะมานมัสการพระเจ้าบนภูเขานี้” {PP 252.3}

โมเสสคิดถึงความยากลำบากที่จะต้องเผชิญและชนชาติของท่านที่ขาดความรู้ มีจิตใจมืดบอด และปราศจากความเชื่อ หลายคนแทบไม่รู้จักพระเจ้าเลย ท่านจึงทูลว่า “เมื่อข้าพระองค์ไปหาชนชาติอิสราเอล และบอกพวกเขาว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของท่านทั้งหลายทรงใช้ให้ข้าพเจ้ามาหาพวกท่าน’ และพวกเขาจะถามข้าพระองค์ว่า ‘พระองค์ทรงพระนามว่าอะไร’ ข้าพระองค์จะตอบพวกเขาอย่างไร” (อพยพ 3:13 THSV) คำตอบของพระเจ้าคือ {PP 252.4}

“เราเป็นผู้ซึ่งเราเป็น” “ไปบอกชนชาติอิสราเอลว่า ‘พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็น ทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย’” {PP 253.1}

โมเสสได้รับพระบัญชาให้รวบรวมผู้หลักผู้ใหญ่ของคนอิสราเอลก่อน คือผู้ที่เป็นคนดีและน่านับถือกว่าใคร และระทมทุกข์มาเนิ่นนานเพราะเหตุที่ตกเป็นทาส แล้วประกาศข่าวสารจากพระเจ้าพร้อมด้วยพระสัญญาที่จะได้รับการปลดปล่อย ต่อมาโมเสสกับบรรดาผู้ใหญ่เหล่านั้นจะต้องไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ ทูลว่า {PP 253.2}

“พระเยโฮวาห์พระเจ้าของคนฮีบรู ทรงปรากฏแก่ข้าพระบาททั้งหลาย บัดนี้ ขอได้โปรดให้ข้าพระบาทเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารสัก 3 วัน เพื่อจะถวายสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระบาท” {PP 253.3}

พระเจ้าทรงเตือนโมเสสไว้ล่วงหน้าว่า ฟาโรห์จะขัดขืนไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลออกไป กระนั้นผู้รับใช้ของพระเจ้าจะต้องไม่ท้อถอย เพราะพระองค์จะทรงใช้โอกาสนี้สำแดงฤทธานุภาพให้ทั้งคนอียิปต์และประชากรของพระองค์ได้เห็น “เราจะเหยียดมือออกทำลายอียิปต์ด้วยการอัศจรรย์ทุกอย่าง ที่เราจะทำท่ามกลางประเทศนั้น หลังจากนั้น กษัตริย์ก็จะยอมปล่อยพวกเจ้าไป” (อพยพ 3:20 THSV) {PP 253.4}

พิสูจน์การทรงนำ

นอกจากนั้นพระเจ้าทรงสั่งสอนพวกเขาให้รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวเดินทางอย่างไร ตรัสว่า “เมื่อเจ้าทั้งหลายออกไปก็จะไม่ต้องไปมือเปล่า ให้ผู้หญิงทุกคนขอเครื่องเงินเครื่องทองและเสื้อผ้าจากเพื่อนบ้าน และจากหญิงที่อาศัยอยู่ในบ้านของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 3:21–22 THSV) คนอียิปต์มั่งคั่งได้เพราะเคี่ยวเข็ญชาวฮีบรูอย่างไม่เป็นธรรม เมื่อถึงเวลาที่คนอิสราเอลต้องออกเดินทางไปถิ่นฐานใหม่ พวกเขาจึงสมควรเรียกร้องค่าตอบแทนชดเชยที่ทำงานเหน็ดเหนื่อยมาหลายปี เมื่อพวกเขาขอสิ่งมีค่าที่เอาติดตัวไปง่าย พระเจ้าจะทรงกระทำให้พวกเขาเป็นที่โปรดปรานของชาวอียิปต์ การอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ต่างๆ ที่จะทรงกระทำเพื่อกอบกู้คนอิสราเอลจะทำให้ชาวอียิปต์ตกใจกลัว แล้วผู้กดขี่จะยอมให้ในสิ่งที่ผู้เป็นทาสขอ {PP 253.5}

โมเสสเห็นอุปสรรคที่ดูเหมือนไม่สามารถผ่านพ้นไปได้ ท่านจะเอาอะไรพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงใช้ท่านไปจริงๆ ท่านจึงทูลพระเจ้าว่า “แต่พระองค์เจ้าข้า เขาจะไม่เชื่อข้าพระองค์หรือฟังเสียงของข้าพระองค์ เพราะเขาจะว่า ‘พระเจ้ามิได้ทรงปรากฏแก่ท่านเลย’” พระองค์ทรงสำแดงหลักฐานให้โมเสสรับรู้จากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวท่าน พระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสสโยนไม้เท้าลงไปบนพื้น พอท่านกระทำตาม “ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู โมเสสก็เดินหลบหนีงูไป” แล้วพระองค์ตรัสสั่งให้ท่านจับงูขึ้นมา งูนั้นก็กลายเป็นไม้เท้าอยู่ในมือของท่าน จากนั้นพระองค์ตรัสสั่งให้โมเสสสอดมือเข้าไปที่อก ท่านก็กระทำตาม “เมื่อชักมือออก มือของท่านก็เป็นโรคเรื้อน ขาวเหมือนหิมะ” เมื่อตรัสสั่งให้ท่านสอดมือเข้าไปไว้ที่อกอีกครั้งและชักออกมาก็ปรากฏว่ามันกลับเป็นปกติเหมือนเดิม พระเจ้าทรงใช้หมายสำคัญเหล่านี้เพื่อให้โมเสสแน่ใจว่าประชากรของพระองค์พร้อมทั้งฟาโรห์เองจะเชื่อว่ามีพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ของอียิปต์ทรงสถิตอยู่ท่ามกลางคนของพระองค์ {PP 253.6}

เลือกสรรผู้ช่วย

แต่ผู้รับใช้ของพระเจ้ายังคงรู้สึกว่าหน้าที่อันน่าพิศวงนั้นเกินที่จะรับได้ ด้วยความวิตกกังวล ท่านจึงทูลแก้ตัวว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์พูดไม่เก่ง ไม่ว่าจะในอดีตหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับผู้รับใช้ของพระองค์ ข้าพระองค์เป็นคนพูดไม่คล่องและไร้คารม” (อพยพ 4:10 TNCV) ท่านแยกจากคนอียิปต์มานานแล้ว ทำให้ท่านพูดภาษาของพวกเขาไม่คล่องเหมือนแต่ก่อน {PP 254.1}

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “ผู้ใดเล่าที่สร้างปากมนุษย์ หรือทำให้เป็นใบ้ หูหนวก ตาดี หรือตาบอด เรา พระเจ้าเป็นผู้ทำไม่ใช่หรือ” แล้วพระองค์ก็ทรงย้ำว่าจะทรงช่วยเหลือเป็นแน่ “บัดนี้จงไปเถิด เราจะช่วยและจะสอนเจ้าว่าเจ้าควรจะพูดอะไร” (อพยพ 4:12 TNCV) แต่โมเสสยังคงอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงเลือกคนที่มีความสามารถมากกว่าท่าน ข้อแก้ตัวของโมเสสในช่วงแรกนั้นเกิดจากความถ่อมตนและความไม่มั่นใจในตัวเอง แต่เมื่อพระเจ้าทรงสัญญาแล้วว่าจะทรงช่วยให้ท่านผ่านอุปสรรคต่างๆ และกระทำภารกิจสำเร็จในที่สุด การบ่ายเบี่ยงหรือพร่ำบ่นใดๆ ว่าตนยังไม่เหมาะสมนั้นแสดงถึงการไม่ไว้วางใจในพระเจ้า เหมือนท่านกลัวว่าพระเจ้าจะไม่สามารถประทานคุณสมบัติที่เหมาะสมสำหรับมหกิจที่ได้ทรงเรียกนี้ หรือเกรงว่าพระองค์ทรงเลือกคนผิด {PP 254.2}

และแล้วพระเจ้าทรงชี้นำให้โมเสสระลึกถึงอาโรน พี่ชายของตน ผู้สามารถพูดภาษาของชาวอียิปต์ได้อย่างฉะฉานเพราะใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน พระองค์ตรัสกับโมเสสว่าอาโรนกำลังเดินทางมาหาท่าน แล้วพระดำรัสที่ได้รับต่อจากนั้นเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด {PP 254.3}

“เจ้าจงพูดกับเขา และบอกให้เขาพูด แล้วเราจะอยู่ที่ปากของเจ้าและปากของเขา และจะสั่งสอนเจ้าทั้งสองให้รู้ว่าควรทำประการใด เขาจะเป็นผู้พูดแก่ประชากรแทนเจ้า เขาจะเป็นปากแทนเจ้า และเจ้าจะเป็นดังพระเจ้าแก่เขา เจ้าจงถือไม้เท้านี้ไว้สำหรับทำหมายสำคัญเหล่านั้น” โมเสสไม่อาจปฏิเสธต่อไปได้อีก เพราะไม่เหลืออะไรให้ท่านแก้ตัวได้แล้ว {PP 254.4}

เชื่อฟังและทุ่มเท

เมื่อโมเสสได้รับพระบัญชาของพระเจ้า ท่านพูดไม่เก่ง มีความหวาดหวั่น และไม่ไว้ใจตัวเอง ท่านรู้ดีว่าตนขาดคุณสมบัติที่จะเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าให้แก่คนอิสราเอล แต่เมื่อได้รับเอาหน้าที่แล้ว ท่านทุ่มเทให้กับงานนี้อย่างเต็มที่ และวางใจในพระเจ้าถึงที่สุด ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้ทำให้ท่านได้ดึงพลังสติปัญญาทั้งหมดที่มีมาใช้ พระเจ้าทรงอวยพระพรโมเสสเพราะท่านพร้อมที่จะเชื่อฟังเสมอ ท่านจึงกลายเป็นคนที่มีวาทศิลป์ ความสำรวม และความหวัง เหมาะสำหรับงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์เคยได้รับมา นี่คือตัวอย่างของการที่พระเจ้าทรงเสริมอุปนิสัยให้แก่ผู้ที่วางใจในพระองค์จนถึงที่สุดและอุทิศตนปฏิบัติตามพระบัญชาของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข {PP 255.1}

พระเจ้าจะทรงเพิ่มกำลังและความสามารถให้บุคคลที่ยอมรับหน้าที่ที่พระองค์ทรงมอบหมายให้ และแสวงหาวิธีพัฒนาตนเองให้เหมาะกับงานนั้นอย่างสุดใจ ไม่ว่าคนนั้นจะมีฐานะต้อยต่ำหรือมีความสามารถจำกัดเพียงใด หากเขาไว้วางใจในฤทธานุภาพของพระเจ้าและพยายามทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์แล้ว เขาจะก้าวสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง หากว่าโมเสสยอมรับหน้าที่สำคัญนี้อย่างร้อนรนโดยพึ่งในกำลังและสติปัญญาของตนเองเท่านั้น ก็จะเป็นการพิสูจน์ว่าท่านไม่เหมาะสำหรับงานนั้นเลย เมื่อใครสำนึกถึงความอ่อนแอของตน อย่างน้อยก็ทำให้เห็นว่าเขาได้ตระหนักถึงความยิ่งใหญ่ของงานที่ได้รับมอบหมาย และจะให้พระเจ้าเป็นที่ปรึกษาและเป็นกำลังของเขา {PP 255.2}

ความปลอดภัยในการเชื่อฟัง

โมเสสกลับไปหาพ่อตา และแจ้งความประสงค์ที่จะไปเยี่ยมพี่น้องที่อียิปต์ เยโธรอนุญาตและกล่าวอวยพรว่า “จงไปโดยสวัสดิภาพเถิด” (อพยพ 4:18 THSV) โมเสสจึงออกเดินทางไปกับภรรยาและลูกๆ ท่านยังไม่กล้าบอกจุดประสงค์ของการไปครั้งนี้กับพ่อตา เกรงว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครัวเดินทางไปด้วย อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงอียิปต์ โมเสสคิดถึงความปลอดภัยของภรรยากับลูกๆ จึงส่งพวกเขากลับไปบ้านที่มีเดียน {PP 255.3}

มีอีกเรื่องหนึ่งที่โมเสสไม่เคยบอกใครซึ่งยิ่งทำให้ท่านลังเลที่จะกลับไปยังอียิปต์มากขึ้น คือท่านกลัวว่าฟาโรห์กับชาวอียิปต์ที่โกรธเคืองท่านมากเมื่อ 40 ปีก่อน ยังมีชีวิตอยู่ แต่หลังจากที่ลงมือทำตามพระบัญชา พระเจ้าได้ทรงสำแดงให้ท่านรู้ว่าศัตรูของท่านเสียชีวิตไปแล้ว {PP 255.4}

ในระหว่างทาง โมเสสตกใจเมื่อพระเจ้าทรงเตือนให้ท่านรู้ว่าพระองค์ไม่พอพระทัยอะไรบางอย่างในตัวท่านเป็นอย่างมาก มีทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏด้วยท่าทีที่น่ากลัวเหมือนจะมาประหารชีวิตของท่านเสียในตอนนั้น โมเสสไม่ได้รับคำอธิบายใดๆ แต่นึกขึ้นมาได้ว่าเคยละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระเจ้าอยู่อย่างหนึ่งเพราะเห็นแก่คำขอร้องของภรรยา คือท่านไม่ได้ให้บุตรชายคนเล็กของตนเข้าสุหนัต ท่านไม่ได้ทำตามเงื่อนไขที่จะทำให้ลูกชายมีส่วนในพระพรแห่งพันธสัญญาระหว่างพระเจ้ากับคนอิสราเอล และในฐานะผู้นำที่ทรงเลือกสรร การละเลยเช่นนี้มีแต่จะทำให้ประชาชนไม่เห็นความสำคัญของกฎเกณฑ์ของพระเจ้าเท่าที่ควร ศิปโปราห์กลัวว่าสามีของนางจะต้องตายจึงลงมือทำการเข้าสุหนัตให้บุตรชายด้วยตัวเธอเอง จากนั้นทูตสวรรค์จึงปล่อยให้โมเสสเดินทางต่อไปได้ การไปเยือนฟาโรห์ครั้งนี้ ทำให้ท่านต้องตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง ชีวิตของท่านจะได้รับการคุ้มครองจากทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์เท่านั้น แต่ถ้าโมเสสละเลยหน้าที่โดยเจตนา ท่านคงจะถูกตัดขาดจากการปกป้องดูแล เพราะทูตสวรรค์ไม่อาจจะคุ้มภัยท่านได้เลย {PP 255.5}

ในเวลาแห่งความทุกข์ยากก่อนการเสด็จกลับมาของพระคริสต์ ผู้ชอบธรรมจะได้รับการปกป้องช่วยเหลือจากทูตสวรรค์ แต่จะไม่มีความปลอดภัยเลยสำหรับผู้ละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะเมื่อถึงคราวนั้นทูตสวรรค์ก็ไม่อาจคุ้มครองผู้ที่ละเลยคำสอนของพระองค์แม้เพียงข้อเดียว {PP 256.1}