อยู่ด้วยความเชื่อ39. ข่าวประเสริฐคืออะไร

39. ข่าวประเสริฐคืออะไร

เมื่อเจอคำถามว่าข่าวประเสริฐคืออะไร เรามักจะคิดถึงถ้อยคำของอาจารย์เปาโลที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ เพราะว่าข่าวประเสริฐนั้นเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด…เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมซึ่งเกิดมาจากพระเจ้าก็ได้สำแดงออกโดยความเชื่อ และเพื่อความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ’” (โรม 1:16–17) ถึงแม้ว่าจะเป็นคำตอบสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่ในขณะเดียวกันก็ลึกซึ้งมากจนเราจะต้องใช้เวลาชั่วนิรันดร์ในการหยั่งรู้ถึงความหมายนั้น {LBF 120.1}

มีประเด็นหลักอยู่สองประเด็นคือ 1) การรอดพ้นจากความบาป และ 2) ฤทธานุภาพของพระเจ้าที่นำมาซึ่งความรอดนั้น เราจะพิจารณาสองประเด็นนี้ตามลำดับ {LBF 120.2}

ข่าวประเสริฐคือ ฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อความรอด เพราะในข่าวประเสริฐนั้นได้สำแดงถึงความชอบธรรมของพระเจ้า แสดงว่าความรอดมาจากการเปิดเผยความชอบธรรมของพระเจ้า และความชอบธรรมนั้นช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาป เนื่องจากความอธรรมคือความบาป (ดู 1 ยอห์น 5:17) และความบาปคือการล่วงละเมิดธรรมบัญญัติ (ดู 1 ยอห์น 3:4) จึงประจักษ์ชัดว่า ความชอบธรรมคือการทำตามพระบัญญัติของพระเจ้า ข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้เขียนไว้ในทำนองเดียวกัน “จงเรียกนามท่านว่า เยซู เพราะว่าท่านจะทรงช่วยชนชาติของท่านให้รอดจากบาปของพวกเขา” (มัทธิว 1:21) “คำกล่าวนี้สัตย์จริงและสมควรแก่การรับไว้อย่างยิ่ง คือว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลก เพื่อทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอ้” (1 ทิโมธี 1:15) {LBF 120.3}

เนื่องจากความบาปคือการล่วงละเมิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ฉะนั้นถ้าพระเจ้าจะช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาป คือจากการล่วงละเมิดนั้น แสดงว่าต้องให้เราสามารถประพฤติตามพระบัญญัติ ด้วยเหตุนี้ข่าวประเสริฐคือการเปิดเผยฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะกระทำความชอบธรรม คือแสดงออกซึ่งความชอบธรรมในชีวิตของเรา ข่าวประเสริฐประกาศถึงพระบัญญัติอันสมบูรณ์แบบของพระเจ้าและการเชื่อฟังอย่างไร้ที่ติ แต่ต้องมีฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้าเพื่อให้การกระทำอันชอบธรรมปรากฏในชีวิตของเรา กำลังของเราเองไม่เพียงพอ ซึ่งเห็นได้ไม่ยากเมื่อเราเข้าใจว่า ความชอบธรรมที่จะแสดงออกในชีวิตของเรานั้นคืออะไร พระคัมภีร์เขียนว่า “ความชอบธรรมของพระเจ้า” และความชอบธรรมของพระองค์อยู่ในพระบัญญัติของพระองค์ (ดู อิสยาห์ 51:6–7) แล้วมีใครบ้างที่สามารถกระทำความชอบธรรมของพระเจ้าได้ ใครจะทำในสิ่งที่มีความชอบธรรมเท่ากับพระราชกิจของพระเจ้า มีแต่พระองค์เท่านั้น พระบัญญัติของพระเจ้าแสดงออกอยู่ในพระมรรคาของพระองค์ (ดู สดุดี 119:1–2) พระเจ้าตรัสว่า “ฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น” (อิสยาห์ 55:9) ดังนั้นความพยายามของเราที่จะประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้าด้วยลำพังตัวเองจะล้มเหลวและร่วงลงไกลเหมือนแผ่นดินโลกที่ต่ำกว่าฟ้าสวรรค์อย่างไรก็อย่างนั้น {LBF 120.4}

มนุษย์ทุกคนอยู่ในสภาพที่ตกอยู่ในความบาป และได้เสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า งานของข่าวประเสริฐคือการยกชูเราขึ้นให้นั่งอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระองค์ แต่มีใครบ้างที่สามารถยกตัวเองให้ลอยจากโลกขึ้นไปยังฟ้าสวรรค์ได้ ความยากง่ายที่จะทำอย่างนั้นก็คงพอๆ กับคนที่เหยียบฝ่ามือของตนเพื่อจะยกตัวเองขึ้นไปยังดวงอาทิตย์ ในทำนองเดียวกันการพึ่งพาความพยายามของตนเพื่อให้ถึงมาตรฐานแห่งพระบัญญัติของพระเจ้าก็ทำไม่ได้เช่นกัน การเหยียบฝ่ามือเพื่อยกตัวเองขึ้นก็เท่ากับเป็นการเหยียบตัวเองให้ต่ำลง ยิ่งยกเท่าไรก็ยิ่งทิ้งน้ำหนักตัวลงเท่านั้น การพยายามปฏิบัติตนให้เป็นไปตามมาตรฐานแห่งพระบัญญัติของพระเจ้าก็เป็นอย่างนั้น มีแต่เพิ่มความผิดให้กับตัวเอง เพราะ “ความชอบธรรมทั้งหมดของพวกข้าพระองค์เหมือนเสื้อผ้าสกปรก” (อิสยาห์ 64:6) สิ่งที่เราทำด้วยกำลังเราเองก็แฝงความเห็นแก่ตัว และความเห็นแก่ตัวไม่มีส่วนในแผนการช่วยมนุษย์ให้รอด สิ่งที่มาจากความเห็นแก่ตัวก็มาจากซาตาน และเป็นความชั่วล้วนๆ (ดู มาระโก 7:21–23) ส่วนข่าวประเสริฐนั้นจะช่วยเราให้รอดพ้นจากตัวเราเอง ฉะนั้นถ้าใครคิดจะทำตามมาตรฐานของพระเจ้าด้วยกำลังของตน ไม่ว่าจะเป็นเพียงส่วนใดส่วนหนึ่งหรือทั้งหมดก็ตาม ก็เท่ากับเป็นการพยายามขัดขวางแผนการของพระเจ้า {LBF 121.1}

หลายคนทำเช่นนี้เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม เพราะคนยิวไม่รู้จักความชอบธรรมของพระเจ้าจึงพยายามสร้างความชอบธรรมขึ้นมาเอง (ดู โรม 10:1–3) ถ้าเราตระหนักถึงความลึก ความสูงส่ง และความกว้างของพระลักษณะนิสัยของพระเจ้าที่สรุปไว้ในพระบัญญัติของพระองค์ เราจะยอมรับทันทีว่านอกจากฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะสร้างอุปนิสัยเช่นนี้ในตัวเราได้ มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ได้ ใครที่ทึกทักเอาว่าตนสามารถทำการชอบธรรมของพระเจ้าได้ด้วยตนเอง ก็เท่ากับพยายามตีตนเสมอพระเจ้า ซึ่งเหมือน “อำนาจลึกลับนอกกฎหมาย” นั่นเอง (2 เธสะโลนิกา 2:7) {LBF 121.2}

หน้าที่ของข่าวประเสริฐคือการเอาพระราชกิจอันชอบธรรมของพระเจ้ามาแทนที่ความอธรรมของเรา คือการที่พระราชกิจของพระองค์กระทำการภายในเรา และทำให้ความคิดของเราอยู่ในพระดำริของพระองค์ ข่าวประเสริฐช่วยเราให้รอดจากการอธรรมทั้งสิ้น และช่วยเราให้พ้นจาก “ยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย” (กาลาเทีย 1:4) นี่คือผลของข่าวประเสริฐ สิ่งเหล่านี้จะสำเร็จอย่างไร ก็ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า เราต้องรู้ว่าฤทธานุภาพนั้นคืออะไร และจะรับได้อย่างไร {LBF 122.1}

หลังจากที่อาจารย์เปาโลเขียนว่าข่าวประเสริฐคือฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อความรอด ข้อความที่ตามมาทันทีคือ “ตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมานั้น สภาพของพระเจ้าซึ่งตามนุษย์มองไม่เห็น คือฤทธานุภาพอันถาวรและเทวสภาพของพระองค์ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้าง” (โรม 1:20) แสดงว่าเราจะเห็นฤทธานุภาพของพระเจ้าผ่านสิ่งที่พระองค์ทรงสร้าง หรือจะพูดกลับกัน การทรงสร้างนั้นเปิดเผยให้เห็นถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า เพราะฤทธานุภาพของพระองค์คืออานุภาพในการทรงสร้าง การที่พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างทำให้เรารู้จักเอกลักษณ์เฉพาะของพระเจ้าเที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว ผู้ประพันธ์สดุดีกล่าวว่า “เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่ และสมควรจะสรรเสริญอย่างยิ่ง พระองค์ทรงเป็นที่เกรงกลัวเหนือพระทั้งปวง เพราะพระทั้งปวงของชนชาติทั้งหลายเป็นรูปเคารพ แต่พระเจ้าทรงสร้างฟ้าสวรรค์” (สดุดี 96:4–5 TH1971) {LBF 122.2}

และยังมีคำเขียนไว้ว่า “แต่พระเยโฮวาห์เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ และเป็นพระมหากษัตริย์เนืองนิตย์ พอทรงพระพิโรธแผ่นดินก็หวั่นไหว และบรรดาประชาชาติจะทนต่อความกริ้วของพระองค์ไม่ได้ เจ้าจงพูดกับเขาทั้งปวงดังนี้ว่า ‘บรรดาพระเจ้าผู้ที่มิได้ทรงสร้างสวรรค์และโลกจะพินาศไปจากโลก และจากภายใต้สวรรค์’ ผู้ทรงสร้างโลกด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ ผู้ทรงสถาปนาพิภพไว้ด้วยสติปัญญาของพระองค์ และทรงคลี่ท้องฟ้าออกด้วยความเข้าใจของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียง ก็มีเสียงน้ำคะนองในท้องฟ้า และทรงกระทำให้หมอกลอยขึ้นจากปลายพิภพ ทรงกระทำฟ้าแลบเพื่อฝน และทรงนำลมมาจากพระคลังของพระองค์” (เยเรมีย์ 10:10–13 TH1971) {LBF 122.3}

ส่วนในสดุดี 33:6, 9 กล่าวถึงวิธีการของพระองค์ในการสร้างฟ้าและแผ่นดินว่า “โดยพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้า ฟ้าสวรรค์ก็อุบัติขึ้น ดวงดาวทั้งปวงมีขึ้นโดยลมพระโอษฐ์ของพระองค์…เพราะพระองค์ตรัส โลกก็อุบัติขึ้น พระองค์ทรงบัญชา มันก็คงอยู่” (TNCV) สรรพสิ่งทั้งปวงถูกสร้างขึ้นด้วยพระดำรัส เมื่อพระเจ้าตรัส สิ่งที่ถูกบรรยายด้วยพระดำรัสก็มีอยู่ในพระดำรัสนั้น ด้วยเหตุนี้พระองค์จึง “ทรงเรียกสิ่งที่ไม่มีเสมือนว่าสิ่งนั้นมีอยู่แล้ว” (โรม 4:17 TNCV) ถ้าคนเราเรียกสิ่งที่ไม่มีเสมือนหนึ่งว่าสิ่งนั้นมีอยู่ ก็เป็นการโกหก แต่เมื่อพระเจ้าตรัสเช่นนี้ไม่ใช่การกล่าวเท็จ เพราะด้วยฤทธานุภาพที่มีอยู่ในพระดำรัสนั้น สิ่งที่พระองค์ตรัสไว้จึงอุบัติขึ้น “พระองค์ตรัส โลกก็เกิดขึ้นมา” (สดุดี 33:9) {LBF 122.4}

พระดำรัสเดียวกันที่ใช้ในการทรงสร้างมีพลังในการค้ำจุนด้วย เพราะว่าพระคริสต์ “ทรงค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธานุภาพของพระองค์” (ฮีบรู 1:3) พระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาโลกและดวงดาวทั้งหลายไว้ด้วยพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ พืชพรรณนานาชนิดเจริญเติบโตโดยอาศัยฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ ให้เราพิจารณาถ้อยคำที่ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์เขียนไว้ว่า “องค์บริสุทธิ์ตรัสว่า เจ้าจะเปรียบเรากับผู้ใดเล่า ซึ่งเราจะเหมือนเขา จงแหงนหน้าขึ้นดูว่า ผู้ใดสร้างสิ่งเหล่านี้ พระองค์ผู้ทรงนำบริวารออกมาตามจำนวน เรียกชื่อมันทั้งหมด โดยอานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพราะพระองค์ทรงฤทธิ์เข้มแข็ง จึงไม่ขาดไปสักดวงเดียว” (อิสยาห์ 40:25–26 TH1971) {LBF 123.1}

สาเหตุที่พระวจนะของพระเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ได้ก็เพราะพระวจนะของพระองค์มีชีวิต เป็นลมพระโอษฐ์ของพระองค์ และเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพที่ไม่รู้จักเสื่อมสลาย อิสยาห์บทที่ 40 ทั้งบทเน้นถึงฤทธานุภาพของพระเจ้า ซึ่งข้อ 7–8 กล่าวถึงพระวจนะที่ค้ำจุนสิ่งสารพัดไว้ว่า “ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงหายใจรดใส่มัน แน่ทีเดียว มนุษย์เราก็เหมือนหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวเฉาและดอกไม้ร่วงโรยไป แต่พระวจนะของพระเจ้าของเรายืนยงนิรันดร์” (TNCV) อัครทูตเปโตรอ้างข้อความนี้โดยเพิ่มคำว่า “พระวจนะนี้คือข่าวประเสริฐที่ได้ประกาศให้พวกท่านทราบแล้ว” (1 เปโตร 1:25) {LBF 123.2}

ข่าวประเสริฐคือฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อความรอด และฤทธานุภาพของพระองค์ก็สำแดงออกในการทรงสร้างและการค้ำจุนโลกไว้ ฉะนั้นข่าวประเสริฐคือฤทธานุภาพแห่งการสร้างของพระเจ้าที่ช่วยเราให้รอดพ้นจากความบาป อาจารย์เปาโลจึงเขียนว่า “ถ้าใครอยู่ในพระคริสต์ เขาก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า” (2 โครินธ์ 5:17–18) “เพราะว่า เราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทำการดี ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ก่อนแล้วเพื่อให้เราดำเนินตาม” (เอเฟซัส 2:10) การทรงไถ่ของพระคริสต์เป็นการสร้างสิ่งใหม่ ทั้งคนใหม่ ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกใหม่ ด้วยพระวจนะเดียวกันที่ใช้ในการสร้างสรรพสิ่งตั้งแต่ปฐมกาล {LBF 123.3}

มีสิ่งใดอีกที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ที่พระเจ้าจะทรงกระทำเพื่อหนุนใจเรา เพราะฤทธิ์เดชที่ช่วยเราในการทำตามสิ่งที่โปรดปรานในสายพระเนตรของพระเจ้า คือฤทธานุภาพเดียวกันกับที่สร้างฟ้าและแผ่นดินโลก และที่ค้ำจุนสิ่งสารพัดไว้ เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วท่านจะท้อถอยทำไมเล่า {LBF 123.4}

อย่าลืมว่าพระเจ้าทรงค้ำจุนสารพัดทุกสิ่งด้วยพระวจนะอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ “ทรงสามารถปกป้องพวกท่านไม่ให้สะดุดล้ม และทรงตั้งพวกท่านอยู่เบื้องหน้าพระสิริของพระองค์ โดยปราศจากตำหนิและมีความร่าเริงยินดี” (ยูดา 24) {LBF 124.1}