บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 211. การทรงเรียกอับราฮัม

11. การทรงเรียกอับราฮัม

สืบทอดความเชื่อ

หลังจากผู้คนกระจัดกระจายออกไปจากถิ่นที่ตั้งหอบาเบล การกราบไหว้รูปเคารพก็แพร่หลายจนเกือบจะครอบงำไปทั่วโลกอีกครั้ง คนทั้งหลายมีจิตใจแข็งกระด้าง ล่วงละเมิดกฎศีลธรรมจนชินชา ในที่สุดพระเจ้าทรงปล่อยพวกเขาให้เดินตามทางอันชั่วร้ายของตน ขณะเดียวกันพระองค์ทรงเลือกอับราฮัมจากเชื้อสายของเชมให้เป็นผู้รักษาบัญญัติของพระองค์เพื่อชนรุ่นหลัง อับราฮัมเติบโตท่ามกลางผู้คนที่ไม่ยำเกรงพระเจ้า แต่ถือโชคลางและงมงายในเรื่องผีสางนางไม้ แม้คนในครอบครัวของท่านเองจะรักษาเรื่องของพระเจ้าไว้แต่ก็ยังหลงใหลไปกับสิ่งล่อใจรอบข้าง พวกเขา “ปรนนิบัติพระอื่น” (โยชูวา 24:2 TH1971) มากกว่าพระเยโฮวาห์ แต่ความเชื่อที่แท้จริงจะต้องไม่สูญสลายไป พระเจ้าทรงสงวนผู้รับใช้พระองค์ให้คงเหลืออยู่เสมอมา ตั้งแต่อาดัม เสท เอโนค เมธูเสลาห์ โนอาห์ เชม ล้วนดำเนินตามน้ำพระทัยอันประเสริฐของพระองค์เรื่อยมาอย่างไม่ขาดสาย พระเจ้าทรงมอบหมายให้อับราฮัม บุตรของเทราห์สืบทอดหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ สิ่งเย้ายวนของคนที่กราบไหว้รูปเคารพมีอยู่ทั่วไปแต่ไม่อาจล่อลวงให้ท่านทำชั่ว ท่านสัตย์ซื่อท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ มิได้โน้มเอียงไปกับคนส่วนใหญ่ที่ละทิ้งศาสนา ท่านยึดมั่นอยู่กับการนมัสการพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่องค์เดียว “พระเจ้าทรงสถิตใกล้ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ ทุกคนที่ร้องทูลพระองค์ด้วยใจจริง” (สดุดี 145:18 TH1971) พระองค์ทรงสำแดงน้ำพระทัยแก่อับราฮัมและทรงให้ท่านรู้แจ้งเห็นจริงในพระบัญญัติของพระองค์ ทั้งทรงเผยให้ท่านเข้าใจถึงความรอดซึ่งจะสำเร็จโดยพระคริสต์ {PP 125.1}

พระเจ้าประทานพระสัญญาแก่อับราฮัม ให้ท่านได้รับในสิ่งที่คนสมัยนั้นต่างปรารถนา คือให้ทวีพงศ์พันธุ์จนเป็นประชาชาติใหญ่ พระองค์ตรัสว่า “เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่ เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร” นอกจากนี้พระองค์ยังทรงยืนยันในสิ่งที่อับราฮัมถือว่าล้ำค่าเหนือสิ่งใด คือพระผู้ไถ่ของโลกจะประสูติในเชื้อสายของท่าน พระองค์ตรัสว่า “บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” อย่างไรก็ตามจะต้องมีการเสียสละเพื่อทดสอบความเชื่อ อันเป็นเงื่อนไขขั้นแรกสู่ความสำเร็จของพระสัญญา {PP 125.2}

ทรงเรียกอับราฮัม

พระดำรัสของพระเจ้ามายังอับราฮัมว่า “เจ้าจงออกจากเมือง จากญาติพี่น้อง จากบ้านบิดาของเจ้า ไปยังดินแดนที่เราจะบอกให้เจ้ารู้” อับราฮัมต้องพรากจากคนที่ท่านคุ้นเคยในช่วงแรกของชีวิตเพื่อพระเจ้าจะทรงให้ท่านมีคุณสมบัติสำหรับหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในการสืบทอดเรื่องราวของพระองค์ อิทธิพลของญาติมิตรจะเป็นอุปสรรคขัดขวางพระประสงค์ของพระเจ้าในการฝึกสอนผู้รับใช้ของพระองค์ เนื่องจากในขณะนั้นอับราฮัมมีความผูกพันกับสวรรค์อย่างใกล้ชิด จึงต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางคนแปลกหน้า อุปนิสัยของท่านจะต้องแตกต่างไปจากชาวโลก ท่านเองยังไม่สามารถอธิบายให้เพื่อนสนิทเข้าใจแนวทางชีวิตของตน เพราะเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองญาติพี่น้องที่กราบไหว้รูปเคารพจึงไม่อาจเข้าใจเจตนาหรือการกระทำของอับราฮัม {PP 126.1}

“เพราะอับราฮัมมีความเชื่อ ฉะนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกให้ท่านออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน” (ฮีบรู 11:8 TH1971) การที่อับราฮัมเชื่อฟังอย่างไม่สงสัย เป็นหนึ่งในตัวอย่างเรื่องความเชื่อที่น่าประทับใจที่สุดของพระคัมภีร์ ท่านถือว่า “ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง” (ฮีบรู 11:1 TH1971) อับราฮัมยึดมั่นในพระสัญญาของพระเจ้า ทั้งที่ไม่เห็นวี่แววหรือหลักฐานใดๆ ว่าพระสัญญานั้นจะเป็นจริงได้ ท่านยอมสละญาติพี่น้องและบ้านเกิดเมืองนอนออกเดินทางตามการทรงนำของพระเจ้าโดยที่ไม่รู้จุดหมายปลายทาง “เพราะความเชื่อของท่าน ท่านได้พำนักในแผ่นดินซึ่งพระเจ้าทรงสัญญาไว้นั้น คือได้พำนักในเต็นท์เป็นคนต่างด้าว ดังอิสอัคและยาโคบซึ่งเป็นทายาทด้วยกัน ตามพระสัญญาอันเดียวกันนั้น” (ฮีบรู 11:9 TH1971) {PP 126.2}

สละด้วยความเชื่อ

การที่อับราฮัมต้องพลัดพรากจากคนที่ท่านรักเป็นการทดสอบที่แสนหนักหน่วง พระเจ้าทรงให้ท่านต้องเสียสละอย่างมาก ท่านมีความผูกพันอย่างเหนียวแน่นกับญาติมิตรและบ้านเกิดเมืองนอน ถึงกระนั้นก็ไม่รีรอที่จะตอบรับการทรงเรียกของพระเจ้า ท่านไม่ได้ซักไซ้ไล่เลียงถึงแผ่นดินแห่งพระสัญญา ความสมบูรณ์ของดิน สภาพอากาศ หรือทรัพยากรของแผ่นดินที่จะเอื้ออำนวยให้เกิดผลกำไรได้ เมื่อพระเจ้าตรัสแล้ว ผู้รับใช้ของพระองค์จะต้องเชื่อฟัง สถานที่ที่ท่านจะมีความสุขที่สุดคือที่ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ท่านอยู่ {PP 126.3}

มีอีกหลายคนที่ยังคงถูกทดสอบเช่นเดียวกับอับราฮัม พวกเขาไม่ได้ยินพระสุรเสียงที่ตรัสลงมาจากสวรรค์โดยตรง แต่พระองค์ทรงเรียกเขาทั้งหลายผ่านคำสอนของพระคัมภีร์และการทรงนำในชีวิตประจำวัน พระเจ้าอาจทรงเรียกบางคนให้ละทิ้งอาชีพที่จะสร้างชื่อเสียงและความมั่งคั่ง ออกมาจากญาติสนิทมิตรสหายและการคบค้าหากำไรในสังคม เพื่อใช้ชีวิตที่ดูเหมือนจะมีแต่ความลำบากตรากตรำและการเสียสละ พระเจ้าทรงมีงานให้เขาทำ แต่การใช้ชีวิตที่สะดวกสบายท่ามกลางอิทธิพลของญาติมิตรจะขัดขวางการพัฒนาคุณสมบัติที่จำเป็นในการทำหน้าที่ที่พระองค์ทรงมอบหมาย พระองค์ทรงเรียกเขาเหล่านั้นให้ออกมาจากอิทธิพลและความช่วยเหลือของมนุษย์ ทรงนำให้เขารู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์ ให้พึ่งพิงในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงสำแดงพระองค์แก่พวกเขา มีใครบ้างที่พร้อมสำหรับการทรงเรียกของพระเจ้า ยอมละทิ้งแผนการที่วาดฝันและสังคมที่คุ้นเคย มีใครบ้างที่พร้อมจะรับหน้าที่ใหม่และจับงานที่ไม่เคยทำมาก่อน รับใช้พระเจ้าด้วยความอดทนและจิตใจที่มุ่งมั่น มีใครบ้างที่ถือว่าการพ่ายแพ้เป็นขั้นตอนสู่ชัยชนะเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ บุคคลที่มีความเชื่อเยี่ยงอับราฮัมจะรับงานนี้และเข้าส่วนกับท่านใน “ศักดิ์ศรีถาวรมากหาที่เปรียบมิได้” ซึ่ง “ความทุกข์ลำบากแห่งสมัยปัจจุบันไม่สมควรที่จะเอาไปเปรียบ” (2 โครินธ์ 4:17; โรม 8:18 TH1971) {PP 126.4}

พระเจ้าทรงเรียกอับราฮัมครั้งแรกเมื่อท่านอาศัยอยู่ที่เมืองเออร์ของชาวเคลเดีย ท่านได้เชื่อฟังพระบัญชาจึงออกเดินทางไปยังเมืองฮาราน ครอบครัวบิดาของท่านร่วมเดินทางมาถึงตรงนี้ เพราะว่าพวกเขานมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ถึงแม้จะมีการกราบไหว้รูปเคารพปะปนอยู่ด้วยก็ตาม อับราฮัมอาศัยอยู่ในเมืองนี้จนกระทั่งบิดาเสียชีวิต หลังจากนั้นพระเจ้าจึงทรงรับสั่งให้อับราฮัมเดินทางต่อไป ส่วนนาโฮร์พี่น้อง1ของท่านรวมทั้งครอบครัวยังคงยึดติดกับบ้านและพระเทียมเท็จ ฝ่ายฮารานบิดาโลทเสียชีวิตนานแล้ว ฉะนั้นนอกจากภรรยาอับราฮัมแล้วมีเพียงโลทที่ร่วมใช้ชีวิตพเนจรไปกับอับราฮัม ถึงกระนั้นก็นับว่าเป็นกองคาราวานขนาดใหญ่ที่เคลื่อนออกจากดินแดนเมโสโปเตเมีย เพราะอับราฮัมมั่งคั่งด้วยฝูงสัตว์กับทรัพย์สมบัติจากดินแดนตะวันออก อีกทั้งยังมีคนรับใช้และผู้ติดตามจำนวนมาก อับราฮัมได้ออกจากแผ่นดินของบิดาและจะไม่มีวันหวนกลับ ท่านจึงได้นำสิ่งของทุกอย่างที่มีไปด้วย คือ “ทรัพย์สมบัติที่ได้สะสมไว้ ทั้งบรรดาผู้คนที่ได้ไว้ที่เมืองฮารานนั้น” ในบรรดาคนที่ร่วมเดินทางนอกจากคนรับใช้และคนที่หวังผลประโยชน์ส่วนตัวแล้ว ยังมีคนที่ติดตามด้วยอุดมการณ์ ในช่วงเวลาที่อาศัยอยู่ในเมืองฮาราน อับราฮัมกับซาราห์ได้นำคนอื่นๆ เข้ามาร่วมนมัสการและรับใช้พระเจ้าเที่ยงแท้ คนเหล่านี้จึงผูกพันและร่วมเดินทางกับครอบครัวอับราฮัมไปยังแผ่นดินแห่งพระสัญญา เขาเหล่านั้นจึง “ออกเดินทางไปยังแผ่นดินคานาอัน” และได้ไปถึงที่นั่น {PP 127.1}

อุปสรรคที่รออยู่

เขาทั้งหลายได้หยุดพักกันที่เมืองเชเคมเป็นที่แรก อับราฮัมตั้งค่ายในทุ่งหญ้าใต้ต้นก่อหลวงที่โมเรห์ ท่ามกลางสวนมะกอกที่ผลิดอกบานและเสียงสาดกระเซ็นของลำธารที่ไหลแรง ในหุบเขาอันกว้างใหญ่ระหว่างภูเขาเอบาลและภูเขาเกริซิม ท่านได้เข้ามายังดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ “เป็นแผ่นดินที่มีธารน้ำ น้ำพุ และน้ำบาดาลไหลออกมากลางหุบเขาและเนินเขา แผ่นดินที่มีข้าวสาลีและข้าวบารลี เถาองุ่น มะเดื่อ ต้นทับทิม เป็นแผ่นดินที่มีต้นมะกอกเทศและน้ำผึ้ง” (เฉลยธรรมบัญญัติ 8:7–8 TH1971) แต่สำหรับอับราฮัมในฐานะผู้ติดตามพระเยโฮวาห์ เหมือนมีเงาดำทะมึนปกคลุมทั่วป่าไม้ที่ราบดินดอนอันอุดม เพราะ “คนคานาอันอยู่ที่แผ่นดินนั้น” ความหวังของอับราฮัมเกือบจะเป็นจริงอยู่แล้ว แต่ท่านกลับพบว่ามีคนต่างด้าวปกครองแผ่นดินนั้นอยู่ และมีการกราบไหว้รูปเคารพอยู่อย่างดาษดื่น ในป่ามีแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ และที่ราบสูงมีการปลิดชีวิตคนเพื่อบูชายัญ ในขณะที่อับราฮัมยึดมั่นอยู่ในพระสัญญา ท่านกางเต็นท์ที่พักพลางกังวลถึงภัยที่อาจตามมา แล้ว “พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่อับราม ตรัสว่า ‘ดินแดนนี้เราจะยกให้พงศ์พันธุ์ของเจ้า’” คำยืนยันนี้เสริมความเชื่อของอับราฮัมว่าจะไม่ถูกทิ้งไว้ในมือของคนชั่ว “อับรามสร้างแท่นที่นั่นถวายบูชาแก่พระเจ้าผู้สำแดงพระองค์ให้ปรากฏแก่ท่าน” แล้วตามประสานักพเนจร ไม่นานท่านก็ย้ายต่อไปอยู่ใกล้เมืองเบธเอล สร้างแท่นบูชาขึ้นอีกและนมัสการออกพระนามพระเจ้า {PP 127.2}

อับราฮัมได้ชื่อว่าเป็น “สหายของพระเจ้า” (ยากอบ 2:23 TH1971) ท่านได้วางแบบอย่างที่ดีให้เรา การอธิษฐานคือชีวิตของท่าน กระโจมที่พักของท่านตั้งอยู่ที่ไหน ที่นั่นจะมีแท่นบูชาตั้งอยู่ใกล้ๆ ท่านจะเรียกให้ทุกคนในค่ายมานมัสการทุกเช้าเย็น แต่เมื่อมีการโยกย้าย แท่นบูชายังคงอยู่ หลายปีต่อมามีนักสัญจรชาวคานาอันบางคนที่เคยได้ยินคำสอนของอับราฮัม เมื่อเดินทางผ่านแท่นบูชาที่อับราฮัมตั้งไว้ ก็รู้ว่าท่านเดินทางมาที่นี่ก่อนเขา เขาจะกางเต็นท์ ซ่อมแซมแท่นบูชา และนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ที่นั่น {PP 128.1}

ถูกเขย่าความเชื่อ

อับราฮัมเคลื่อนย้ายต่อไปทางทิศใต้ และความเชื่อของท่านถูกทดสอบอีกครั้ง ท้องฟ้าไม่มีฝน ลำธารในหุบเขาเหือดแห้ง ทุ่งหญ้าในที่ราบเหี่ยวเฉา ฝูงสัตว์ไม่มีหญ้ากิน เกิดการกันดารอย่างเลวร้ายทั่วค่ายที่พัก ถึงขั้นนี้อับราฮัมจะสงสัยการทรงนำของพระเจ้าหรือเปล่า ท่านจะหวนคิดอาลัยถึงความอุดมสมบูรณ์แห่งแผ่นดินเคลเดียหรือไม่ ในขณะที่ปัญหารุมเร้าท่านอยู่ ทุกคนคอยจับตามองดูว่าอับราฮัมจะทำอย่างไรต่อไป ตราบใดที่ความเชื่อของท่านดูไม่สั่นคลอน คนเหล่านั้นรู้สึกว่ายังมีความหวัง พวกเขามั่นใจว่าพระเจ้าทรงเป็นพระสหายของท่าน และพระองค์ยังคงนำหน้าท่านอยู่ {PP 128.2}

อับราฮัมไม่สามารถอธิบายถึงการทรงนำของพระเจ้า สิ่งที่ท่านคาดหวังยังไม่เป็นจริง แต่ท่านยังคงยึดมั่นในพระสัญญาที่ว่า “เราจะอวยพรแก่เจ้า จะให้เจ้ามีชื่อเสียงใหญ่โตเลื่องลือไป แล้วเจ้าจะช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร” ท่านอธิษฐานอย่างร้อนรน ไตร่ตรองว่ามีวิธีใดที่จะช่วยชีวิตคนและฝูงสัตว์ของท่าน แต่ท่านไม่ยอมปล่อยให้ปัญหาเหล่านี้ทำให้ความเชื่อในพระดำรัสของพระเจ้าหวั่นไหว ท่านอพยพไปยังประเทศอียิปต์เพื่อหนีภัยกันดารอาหาร แต่ไม่ได้ทอดทิ้งแผ่นดินคานาอัน เมื่อท่านจนตรอกก็ไม่คิดจะกลับไปยังดินแดนของชาวเคลเดียที่ซึ่งไม่ขาดแคลนอาหาร แต่ท่านแสวงหาที่อยู่ใกล้แผ่นดินแห่งพระสัญญามากที่สุดเพื่อจะหลบภัยกันดารชั่วคราว โดยหวังว่าในไม่ช้าจะได้กลับไปยังแผ่นดินที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับท่าน {PP 129.1}

หล่อหลอมและเจ็บปวด

พระเจ้าทรงให้ความทุกข์ยากลำบากเหล่านี้เกิดขึ้นกับอับราฮัมเพื่อสอนบทเรียนแห่งการยอมจำนน ความอดทน และความเชื่อให้แก่ท่าน เป็นบทเรียนที่บันทึกไว้เพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนรุ่นหลังที่จะต้องเผชิญกับความยากลำบาก พระเจ้าทรงนำบุตรทั้งหลายของพระองค์ด้วยวิธีที่พวกเขาไม่เข้าใจ แต่พระองค์ไม่ทรงลืมหรือทอดทิ้งบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ พระองค์ทรงอนุญาตให้โยบต้องทุกข์ทรมาน แต่มิได้ทรงทอดทิ้งท่าน และถึงแม้พระองค์ทรงรักยอห์น ก็ทรงยอมให้ท่านถูกเนรเทศไปอยู่อย่างเดียวดายบนเกาะปัทมอส แต่พระบุตรพระเจ้าเสด็จไปพบท่านที่นั่นและทรงสำแดงให้ท่านเห็นนิมิตแห่งความรุ่งโรจน์ในสวรรค์ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ความยากลำบากเกิดขึ้นกับคนของพระองค์ เพื่อว่าการเชื่อฟังและความอดทนจะเสริมสร้างจิตวิญญาณของเขาให้เข้มแข็งขึ้น และเป็นแบบอย่างที่จะให้กำลังหนุนนำผู้อื่น “พระเจ้าตรัสว่า เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทุกขภาพ” (เยเรมีย์ 29:11 TH1971) ความยากลำบากที่ทดลองความเชื่ออย่างรุนแรงที่สุดจนดูเหมือนว่าพระเจ้าทรงทอดทิ้งเราแล้วนั้น จะนำให้เราใกล้ชิดพระคริสต์มากขึ้น เพื่อเราจะได้วางภาระทุกอย่างไว้แทบพระบาทของพระองค์และรับเอาสันติสุขที่พระองค์ประทานให้แทน {PP 129.2}

พระเจ้าทรงใช้ความทุกข์ยากลำบากเพื่อทดสอบคนของพระองค์เสมอมา ความร้อนของเตาหลอมเผาเศษขยะออกจากทองคำบริสุทธิ์ฉันใด ความยากลำบากก็ช่วยหลอมอุปนิสัยของคริสเตียนฉันนั้น พระเยซูทรงเฝ้าดูอยู่ขณะที่เขาถูกทดสอบ พระองค์ทรงรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อหลอมอุปนิสัยของเขาให้บริสุทธิ์จนกระทั่งสะท้อนถึงรัศมีแห่งความรักของพระองค์ พระเจ้าทรงฝึกฝนผู้รับใช้ของพระองค์โดยให้เขาต้องเผชิญกับความยากลำบากที่หนักหน่วง พระองค์ทรงเห็นว่าบางคนมีคุณสมบัติที่จะช่วยให้พระราชกิจของพระองค์ก้าวหน้าไป พระองค์จึงทรงทดสอบอุปนิสัยของคนเหล่านี้ เพื่อชี้ข้อบกพร่องและจุดอ่อนที่พวกเขาไม่เคยหยั่งรู้มาก่อน พระองค์ทรงให้โอกาสในการแก้ไขข้อบกพร่องเหล่านั้นและพัฒนาตัวเองสำหรับงานรับใช้พระองค์ ทรงแสดงให้เขาเห็นความอ่อนแอของตน และทรงสอนให้เขาพึ่งพิงพระองค์ เพราะพระองค์เท่านั้นทรงเป็นพระผู้ช่วยที่ทรงคุ้มครองพวกเขาได้ ด้วยเหตุนี้พระประสงค์ของพระองค์จึงสำเร็จ เขาเหล่านั้นได้เรียนรู้ ได้รับการฝึกฝน พร้อมแล้วที่จะทำตามพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ด้วยกำลังความสามารถที่ประทานให้แก่เขา เมื่อใดที่พระเจ้าทรงเรียก เขาทั้งหลายก็พร้อมที่จะออกไปทำงาน ส่วนทูตสวรรค์จะทำงานร่วมกับเขาเพื่อให้งานในโลกสำเร็จ {PP 129.3}

จะเห็นได้ว่าในระหว่างที่อับราฮัมอยู่ในอียิปต์ ท่านได้แสดงออกถึงการเป็นมนุษย์ที่อ่อนแอและมีข้อบกพร่อง โดยปกปิดเรื่องที่นางซาราห์เป็นภรรยาของท่านซึ่งเท่ากับว่ามิได้ไว้วางใจในการทรงดูแลของพระเจ้า ท่านขาดความเชื่อวางใจและความกล้าหาญที่เคยแสดงออกในชีวิตอย่างผ่าเผยเสมอมา นางซาราห์มีผิวพรรณดี และคนอียิปต์ผิวคล้ำคงจะปรารถนาหญิงแปลกหน้างดงามผู้นี้อย่างไม่ต้องสงสัย พวกเขาอาจฆ่าสามีโดยไม่ลังเลและฉุดนางไป ท่านคิดว่าการบอกว่านางซาราห์เป็นน้องสาวของตนไม่น่าจะเป็นการโกหก เพราะว่านางเป็นน้องสาวร่วมบิดา เพียงแต่ต่างมารดาเท่านั้น ถึงกระนั้นการปิดบังความสัมพันธ์ที่แท้จริงในลักษณะนี้ก็ถือว่าเป็นการหลอกลวง พระเจ้าไม่ทรงพอพระทัยในการเบี่ยงเบนไปจากความจริงแม้เพียงเล็กน้อย เพราะอับราฮัมขาดความเชื่อ นางซาราห์จึงตกอยู่ในอันตรายอย่างร้ายแรง เมื่อกษัตริย์แห่งอียิปต์ทราบถึงความงามของนาง จึงรับสั่งให้พานางเข้ามาในวังเพื่อเป็นมเหสี แต่โดยพระเมตตาคุณของพระเจ้า พระองค์ทรงคุ้มครองนางซาราห์โดยทรงให้เกิดภัยพิบัติขึ้นกับชาววัง ด้วยเหตุนี้กษัตริย์จึงทราบความจริงในเรื่องนี้และไม่พอใจอับราฮัมที่หลอกลวงท่าน จึงได้คืนนางซาราห์ พร้อมทั้งตำหนิอับราฮัมว่า “ทำไมเจ้าทำแก่เราอย่างนี้เล่า…ทำไมเจ้าว่า ‘เธอเป็นน้องสาวของข้าพระบาท’ เราจึงเลี้ยงนางไว้เพื่อเป็นภรรยาของเรา นี่แน่ะภรรยาของเจ้า จงรับไปแล้วออกไปเถิด” {PP 130.1}

หนีไม่พ้นความจริง

อับราฮัมเคยเป็นที่โปรดปรานของกษัตริย์ แม้ในขณะนั้นกษัตริย์ฟาโรห์ไม่ยอมให้ใครทำอันตรายท่านหรือคนของท่านเลย แต่ได้บัญชาให้ทหารเฝ้าติดตามท่านจนพ้นเขตอาณาจักรไปอย่างปลอดภัย ในคราวนั้นเองที่ได้มีกฎหมายห้ามมิให้ชาวอียิปต์คบค้าสมาคมใดๆ กับคนเลี้ยงแกะต่างด้าวเลย แม้กระทั่งร่วมกินดื่มกับเขาก็ไม่ให้ทำ ฟาโรห์ได้รับสั่งแก่อับราฮัมให้ออกไปจากอาณาเขตอียิปต์ด้วยไมตรีจิตเพราะไม่กล้าปล่อยให้ท่านอยู่ที่นั่นต่อไป ฟาโรห์เกือบทำร้ายอับราฮัมโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่พระเจ้าทรงขัดขวางไม่ให้ฟาโรห์ทำบาปอันใหญ่หลวงเช่นนี้ ฟาโรห์เห็นว่าพระเจ้าทรงยกย่องชายผู้นี้ จึงเกิดความกลัวที่จะรับบุคคลซึ่งพระเจ้าทรงชอบพระทัยอย่างเห็นได้ชัดให้อาศัยอยู่ในอาณาจักรของท่าน หากอับราฮัมยังคงอาศัยอยู่ในแผ่นดินอียิปต์ต่อไป ความมั่งคั่งและชื่อเสียงของท่านที่เพิ่มพูนขึ้นจะก่อให้เกิดความอิจฉาและการชิงดีชิงเด่นในหมู่ชาวอียิปต์เป็นแน่แท้ กษัตริย์จะต้องรับผิดชอบต่อภยันตรายและความเสียหายที่อาจเกิดกับอับราฮัม ในที่สุดภัยพิบัติจากพระเจ้าก็อาจเกิดกับราชวงศ์ของฟาโรห์อีกครั้งหนึ่งก็เป็นได้ {PP 130.2}

การทรงเตือนฟาโรห์ช่วยปกป้องอับราฮัมเมื่อท่านต้องอาศัยอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เชื่อ เพราะเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังใครได้ คนทั้งหลายได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ที่อับราฮัมนมัสการจะทรงปกป้องคุ้มครองผู้รับใช้ของพระองค์ และใครที่ทำอันตรายต่อท่านจะต้องรับผลร้าย การทำร้ายคนของพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์เป็นสิ่งที่อันตรายยิ่ง ผู้ประพันธ์บทเพลงสดุดีได้เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ที่อับราฮัมได้รับในเรื่องนี้ ในเนื้อหาที่พูดถึงประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้ กล่าวว่า “พระองค์ทรงขนาบพระราชาหลายองค์ด้วยเห็นแก่เขาว่า ‘อย่าแตะต้องบรรดาผู้ที่เราเจิมไว้ อย่าทำอันตรายแก่ผู้เผยพระวจนะทั้งหลายของเรา’” (สดุดี 105:14–15 TH1971) {PP 131.1}

น่าสนใจที่ประสบการณ์ของอับราฮัมในอียิปต์มีความคล้ายคลึงกับที่พงศ์พันธุ์รุ่นหลังได้ประสบในอีกหลายศตวรรษต่อมา ทั้งสองฝ่ายต้องลงไปยังอียิปต์เพราะการกันดารอาหารและอาศัยอยู่ที่นั่นระยะหนึ่ง ชาวอียิปต์เกิดความเกรงกลัวเพราะภัยพิบัติที่พระเจ้าทรงสำแดงเพื่อช่วยคนของพระองค์ แล้วอับราฮัมกับพงศ์พันธุ์ที่ตามมาก็ออกจากอียิปต์พร้อมกับทรัพย์สินมากมายที่ชาวเมืองมอบให้เหมือนกัน {PP 131.2}

Footnotes

  1. ยังไม่แน่ชัดว่าอับราฮัมเป็นลูกคนที่เท่าไหร่ ตามพระคัมภีร์ภาษาฮีบรูเทราห์เริ่มมีลูกตอนอายุ 70 ปี (ปฐมกาล 11:27) จากนั้นเสียชีวิตเมื่ออายุ 205 ปี (ปฐมกาล 11:32) อับราฮัมออกเดินทางไปยังเมืองคานาอันหลังจากบิดาเสียชีวิตเมื่อมีอายุได้ 75 ปี (กิจการ 7:4; ปฐมกาล 12:4) จะเห็นว่าตั้งแต่เทราห์เริ่มมีลูกจนเสียชีวิตใช้เวลา 135 ปี ซึ่งมากกว่าอายุของอับราฮัม แสดงว่าว่าอับราฮัมไม่ใช่ลูกคนโต แต่ขณะเดียวกัน ถ้ายึดตามฉบับแปลภาษาสะมาเรียในสมัยโบราณที่ระบุว่าเทราห์เสียชีวิตเมื่ออายุ 145 ปี ก็จะได้ระยะเวลาที่ตรงกับอายุของอับราฮัมพอดีและบอกได้ว่าอับราฮัมเป็นลูกคนโต