23. ภัยพิบัติแห่งอียิปต์
รับมอบหมายหน้าที่
อาโรนได้เดินทางไปพบกับน้องชายโดยการนำของทูตสวรรค์ ท่านทั้งสองไม่ได้เจอกันมานานแล้ว ท่านได้พบกันที่กลางทะเลทรายใกล้โฮเรบ และเมื่อทักทายปราศรัยกันแล้ว โมเสสจึงเล่าให้อาโรนฟังถึง “พระดำรัสซึ่งพระเจ้าตรัสเมื่อทรงใช้ตน และถึงหมายสำคัญทั้งปวงซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้กระทำ” (อพยพ 4:28 TH1971) ทั้งสองจึงออกเดินทางไปอียิปต์ด้วยกัน เมื่อไปถึงเมืองโกเชนโมเสสกับอาโรนได้เรียกประชุมบรรดาผู้ใหญ่ของชนชาติอิสราเอล แล้วอาโรนจึงกล่าวถึงพระดำรัสทั้งหมดซึ่งพระเจ้าตรัสแก่โมเสส และแสดงหมายสำคัญต่างๆ ที่พระองค์ประทานให้โมเสสต่อหน้าประชาชน “ฝ่ายประชาชน เมื่อได้ยินว่าพระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติอิสราเอลและทอดพระเนตรเห็นความทุกข์ยากของเขาแล้วก็เชื่อ เขากราบลงนมัสการ” (อพยพ 4:31 TH1971) {PP 257.1}
โมเสสได้รับมอบหมายให้ส่งข่าวไปยังกษัตริย์ฟาโรห์ สองพี่น้องเข้าไปในวังของฟาโรห์ในฐานะทูตแห่งพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และกล่าวในพระนามของพระองค์ว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘จงปล่อยพลไพร่ของเราไป เพื่อเขาจะได้ทำการเลี้ยงนมัสการเราในถิ่นทุรกันดาร’” (อพยพ 5:1 TKJV) {PP 257.2}
ฟาโรห์จึงกล่าวว่า “พระเยโฮวาห์นั้นเป็นผู้ใดเล่าเราจึงจะต้องเชื่อฟังเสียงของพระองค์และปล่อยคนอิสราเอลไป เราไม่รู้จักพระเยโฮวาห์ ทั้งเราจะไม่ยอมปล่อยคนอิสราเอลไป” (อพยพ 5:2 TKJV) {PP 257.3}
โมเสสกับอาโรนตอบว่า “พระเจ้าของคนฮีบรูได้ทรงปรากฏกับข้าพระองค์ ขอโปรดให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเดินทางไปในถิ่นทุรกันการ 3 วัน และถวายเครื่องบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของข้าพระองค์ เกรงว่าพระองค์จะทรงลงโทษพวกข้าพระองค์ด้วยโรคภัยหรือด้วยดาบ” (อพยพ 5:3 TKJV) {PP 257.4}
กษัตริย์ฟาโรห์ได้ยินมาว่าโมเสสกับอาโรนกำลังปลุกปั่นประชาชนจึงเกิดโทสะ กล่าวว่า “เจ้าโมเสสกับอาโรน เจ้าจะให้ประชาชนละทิ้งการงานของเขาเสียทำไม เจ้าจงกลับไปรับภาระตามหน้าที่ของเจ้า” ฟาโรห์เห็นว่าตั้งแต่ที่สองคนนี้เข้ามารบกวน ประเทศได้รับความเสียหาย จึงกล่าวต่อไปว่า “ดูสิ เดี๋ยวนี้ประชาชนในดินแดนนี้มีมาก และเจ้าทั้งสองทำให้พวกเขาต้องหยุดงานเสีย” (อพยพ 5:5 THSV) {PP 257.5}
การเป็นทาสในอียิปต์ทำให้คนอิสราเอลหลงลืมธรรมบัญญัติและเหินห่างจากคำสอนของพระเจ้าระดับหนึ่ง พวกเขาส่วนใหญ่ไม่ได้รักษาวันสะบาโต แล้วเพราะเหตุที่ถูกบังคับให้ทำงานในวันนั้นจึงดูเหมือนว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่จะรักษาวันสะบาโต แต่โมเสสได้ชี้แจงให้พวกเขาเห็นว่าการเชื่อฟังพระเจ้าคือเงื่อนไขแรกที่จะได้รับการปลดปล่อย และแล้วบรรดานายทาสต่างก็สังเกตเห็นว่าคนอิสราเอลพยายามรักษาวันสะบาโตอีกครั้งหนึ่ง1 {PP 258.1}
การกดขี่ที่เพิ่มขึ้น
กษัตริย์ฟาโรห์กริ้วในทันใดเมื่อสงสัยว่าคนอิสราเอลกำลังจะลุกฮือขึ้นก่อกบฏ และคิดว่าถ้าคนอิสราเอลไม่มีเวลาว่างเลยก็จะไม่สามารถคิดแผนกบฏได้ จึงเพิ่มงานของพวกเขาให้หนักขึ้นเพื่อทำลายความคิดที่อยากเป็นอิสระ คำสั่งได้ถูกประกาศออกไปในวันเดียวกันนั้น ทำให้คนอิสราเอลต้องทนต่อความทารุณและการกดขี่มากยิ่งขึ้น วัสดุก่อสร้างที่ใช้มากที่สุดในอียิปต์คืออิฐตากแห้ง ผนังของวังก็ก่อด้วยอิฐชนิดนี้และบุด้วยหิน การทำอิฐใช้คนจำนวนมหาศาล ฟางที่ตัดแล้วถูกนำมาผสมกับดินเหนียวเพื่อให้ยึดเข้าด้วยกันจึงต้องใช้ฟางจำนวนมาก บัดนี้ฟาโรห์บัญชาว่าจะไม่ให้ฟางอีกต่อไป แต่ทาสต้องออกไปหาฟางเอาเองและจะต้องทำอิฐให้ได้จำนวนเท่าเดิม {PP 258.2}
คำสั่งนี้สร้างความหนักใจให้แก่ชาวอิสราเอลทั่วประเทศอียิปต์เป็นอย่างมาก นายทาสชาวอียิปต์ได้ตั้งนายงานชาวฮีบรูให้ดูแลการทำงานของพวกทาส ให้รับผิดชอบผลงานของผู้ที่อยู่ใต้การดูแล เมื่อคำสั่งของฟาโรห์ประกาศใช้ คนอิสราเอลจึงกระจัดกระจายออกไปทั่วแผ่นดินอียิปต์เพื่อเก็บตอข้าวมาแทนฟาง แต่พวกเขาก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะทำอิฐให้ได้ในปริมาณเท่าเดิม ด้วยเหตุนี้นายงานชาวฮีบรูจึงถูกเฆี่ยนตีอย่างทรมาน {PP 258.3}
นายงานเหล่านั้นสงสัยว่าการกดขี่ครั้งนี้ไม่ใช่คำสั่งของกษัตริย์ฟาโรห์ จึงเข้าเฝ้าฟาโรห์ด้วยความคับข้องใจ แต่ท่านกลับเยาะเย้ยพวกเขาว่า “พวกเจ้าเกียจคร้าน เกียจคร้านจริงๆ พวกเจ้าจึงมาร้องว่า ‘ขอให้ข้าพระบาทไปถวายสัตวบูชาแด่พระเจ้า’” จากนั้นก็ถูกสั่งให้กลับไปทำงานตามเดิมและยืนยันว่าจะไม่มีการลดหย่อนผ่อนปรนใดๆ เมื่อนายงานกลับไปถึงก็พบโมเสสกับอาโรน จึงกล่าวต่อพวกท่านว่า “ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพิจารณาและตัดสินโทษพวกท่าน พวกท่านทำให้ฟาโรห์กับเหล่าข้าราชการเกลียดชังพวกเรา และทำให้พวกนั้นมีข้ออ้างที่จะฆ่าพวกเรา” (อพยพ 5:21 TNCV) {PP 258.4}
โมเสสมีความทุกข์ใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำตัดพ้อเช่นนั้น ความทุกข์ลำบากของประชาชนได้เพิ่มทวีขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนหนุ่มไปจนถึงคนแก่ต่างร้องคร่ำครวญอย่างสิ้นหวังและร่วมกันกล่าวโทษโมเสสว่าเป็นต้นเหตุแห่งการเปลี่ยนแปลงที่โหดร้ายครั้งนี้ โมเสสร้องทูลต่อพระเจ้าด้วยความขมขื่นใจว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เหตุใดพระองค์ทรงนำความทุกข์ร้อนมาถึงคนเหล่านี้ พระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มาเพื่อการนี้หรือ ตั้งแต่ข้าพระองค์ไปทูลฟาโรห์ในพระนามของพระองค์ ฟาโรห์ทำให้เหล่าประชากรเดือดร้อน และพระองค์ไม่ได้ทรงกอบกู้ประชากรของพระองค์เลย” (อพยพ 5:22–23 TNCV) พระเจ้าตรัสตอบโมเสสว่า “บัดนี้เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเราจะกระทำแก่ฟาโรห์ คือเราจะบังคับฟาโรห์ด้วยมืออันทรงฤทธิ์ให้ปล่อยประชาชนไป” พระเจ้าทรงชี้แจงให้โมเสสระลึกถึงพันธสัญญาของพระองค์กับบรรพบุรุษและทรงรับรองว่าพันธสัญญานั้นจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน {PP 259.1}
อิสราเอลที่ยังสัตย์ซื่ออยู่
ตลอดเวลาหลายปีแห่งการเป็นทาสในอียิปต์ มีคนอิสราเอลจำนวนหนึ่งที่ยังคงนมัสการพระเยโฮวาห์อย่างเหนียวแน่น คนเหล่านี้ต้องทนปวดร้าวใจที่เห็นลูกหลานของตนพัวพันกับสิ่งน่ารังเกียจของคนนอกศาสนาทุกเมื่อเชื่อวัน และแม้กระทั่งก้มหัวกราบไหว้พระเทียมเท็จ ด้วยความทุกข์ระทมนี้ พวกเขาร้องทูลต่อพระเจ้าให้ช่วยกู้จากแอกของอียิปต์ เพื่อจะได้รับการปลดปล่อยจากอิทธิพลชั่วของการกราบไหว้บูชารูปเคารพ พวกเขาไม่ได้ปิดบังความเชื่อไว้ แต่ได้ประกาศให้คนอียิปต์รับรู้ว่าพระเจ้าที่พวกเขานมัสการคือพระเจ้าผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่แต่พระองค์เดียว อีกทั้งได้ทบทวนหลักฐานต่างๆ ตั้งแต่การสร้างโลกมาจนถึงสมัยยาโคบที่ชี้ให้เห็นว่ามีพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คนอียิปต์จึงมีโอกาสรู้จักศาสนาของคนฮีบรูอยู่ไม่น้อย แต่ด้วยความรู้สึกเสียเกียรติที่ถูกพวกทาสสั่งสอน พวกเขาจึงพยายามยั่วยุคนของพระเจ้าไปในทางผิดโดยสัญญาว่าจะให้รางวัลตอบแทน และถ้าไม่ได้ผลก็จะใช้วิธีข่มขู่และกระทำการทารุณโหดเหี้ยม {PP 259.2}
พวกผู้ใหญ่ของชาวอิสราเอลพยายามที่จะผดุงความเชื่อของบรรดาพี่น้องที่ดูเหมือนกำลังจะจมดิ่งหายไปเอาไว้ โดยกล่าวย้ำพระสัญญาที่พระเจ้าประทานให้แก่บรรพบุรุษ และคำทำนายที่โยเซฟได้ให้ไว้ก่อนจะสิ้นใจ ซึ่งกล่าวถึงการปลดปล่อยจากประเทศอียิปต์ บางคนก็ยอมรับฟังและเชื่อ แต่คนอื่นเมื่อมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเองก็ทิ้งความหวังไป เมื่อคนอียิปต์รู้เรื่องเหล่านี้ ก็หัวเราะเยาะต่อสิ่งที่พวกเขารอคอยและดูหมิ่นฤทธานุภาพของพระเจ้าของคนอิสราเอล ทั้งเหน็บแนมฐานะของชาวฮีบรูที่เป็นทาส โดยกล่าวว่า ‘หากพระเจ้าของพวกเจ้ายุติธรรมและมีพระเมตตา ทั้งมีอำนาจเหนือพระแห่งอียิปต์ เหตุใดพระองค์จึงไม่ช่วยให้พวกเจ้าเป็นอิสระเล่า’ ชาวอียิปต์ยกตัวอย่างความเป็นอยู่ของตนว่าถึงแม้จะกราบไหว้พระที่คนอิสราเอลเรียกว่าพระเทียมเท็จ แต่อียิปต์เป็นชนชาติที่แข็งแกร่งและมั่งมีศรีสุข พวกเขากล่าวว่าพระของเขาได้ประสาทพรให้ประเทศเจริญรุ่งเรืองและมอบคนอิสราเอลให้เป็นทาส และยังภาคภูมิใจในอำนาจที่สามารถกดขี่ข่มเหงและทำลายชนชาติที่นมัสการพระเยโฮวาห์ได้ ฟาโรห์เองก็โอ้อวดว่าพระเจ้าของคนฮีบรูไม่อาจช่วยคนของพระองค์ให้พ้นเงื้อมมือของตนได้เลย {PP 259.3}
คำพูดเช่นนี้ทำลายความหวังของคนอิสราเอลจำนวนมาก เพราะดูเหมือนเป็นจริงตามที่คนอียิปต์พูด พวกเขาเป็นทาสจริงและต้องทนรับทุกสิ่งตามแต่ที่นายทาสผู้เหี้ยมโหดจะกระทำ ลูกหลานถูกกดขี่และเข่นฆ่า ชีวิตเป็นภาระหนักที่ต้องแบกรับ แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็นมัสการพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ หากพระเยโฮวาห์คือพระเจ้าเหนือพระอื่นใด พระองค์คงไม่ปล่อยให้พวกเขาตกเป็นทาสของผู้ที่กราบไหว้รูปเคารพอย่างแน่นอน แต่เหล่าคนที่สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าเข้าใจดีว่าเหตุที่พระเจ้าทรงอนุญาตให้คนอิสราเอลต้องตกเป็นทาสอยู่นั้นเป็นเพราะพวกเขาละทิ้งพระองค์ และไปแต่งงานกับคนนอกศาสนาจนเป็นเหตุให้พวกเขาถูกชักนำไปกราบไหว้รูปเคารพ คนที่ยังซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าได้ให้ความเชื่อมั่นแก่พี่น้องของเขาว่าอีกไม่นานพระองค์จะทรงหักแอกของคนที่กดขี่ข่มเหงพวกเขา {PP 260.1}
อิสราเอลที่ถูกกลืน
คนฮีบรูคิดว่าจะได้รับการปลดปล่อยโดยไม่ต้องผ่านการทดสอบความเชื่อ หรือผ่านความทุกข์ลำบากใดๆ ทั้งสิ้น แต่พวกเขายังไม่พร้อมที่จะได้รับการปลดปล่อย เพราะมีความเชื่อในพระเจ้าเพียงน้อยนิด และไม่ยอมอดทนต่อความทุกข์ยากจนกว่าจะได้เห็นความช่วยเหลือจากพระองค์ หลายคนพอใจกับการเป็นทาสมากกว่าที่จะเผชิญกับความยากลำบากในการอพยพไปยังดินแดนที่ไม่รู้จัก ทั้งนี้บางคนใช้ชีวิตเหมือนกับชาวอียิปต์เสียแล้ว จึงอยากอยู่ในอียิปต์ต่อไป ดังนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ปลดปล่อยคนอิสราเอลในครั้งแรกที่ทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจให้ฟาโรห์เห็น พระองค์ทรงควบคุมเหตุการณ์ไว้เพื่อปล่อยให้ฟาโรห์แสดงถึงจิตใจที่แข็งกระด้างออกมาและเพื่อประชากรของพระองค์จะได้เห็น คนอิสราเอลคงตัดสินใจออกจากอียิปต์และอุทิศตัวรับใช้พระเจ้าหากเขาได้เห็นความยุติธรรม ฤทธานุภาพ และความรักของพระองค์ ภารกิจของโมเสสคงเบาลงไม่น้อยหากไม่ใช่เพราะคนอิสราเอลจำนวนมากเสียนิสัยจนกระทั่งไม่อยากออกจากอียิปต์ {PP 260.2}
พระเจ้าทรงใช้โมเสสให้ไปย้ำพระสัญญาแห่งการช่วยกู้แก่ประชาชนอิสราเอลอีกครั้ง เพื่อให้พวกเขามั่นใจว่าพระองค์ทรงโปรดให้เป็นไปตามนั้นอย่างแน่นอน โมเสสก็กระทำตามพระดำรัสสั่ง แต่ประชาชนกลับไม่ฟัง พระคัมภีร์บันทึกว่า “เขามิได้เชื่อฟังโมเสสเพราะหมดอาลัยตายอยาก และทนงานทาสแทบไม่ไหว” แล้วพระองค์ตรัสกับโมเสสอีกว่า “จงเข้าไปเฝ้าฟาโรห์กษัตริย์แห่งอียิปต์ บอกให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลไปจากแผ่นดินของเขา” แต่ด้วยความท้อแท้ โมเสสทูลพระองค์ว่า “แม้แต่ชนชาติอิสราเอลก็ไม่ได้ฟังข้าพระองค์ แล้วฟาโรห์จะฟังข้าพระองค์ได้อย่างไร” (อพยพ 6:12 THSV) พระเจ้าตรัสสั่งให้พาอาโรนไปเฝ้าฟาโรห์และกำชับอีกครั้งว่า “ให้ปล่อยชนชาติอิสราเอลออกไปจากแผ่นดินของเขา” {PP 260.3}
แผนอพยพคนฮีบรู
พระเจ้าทรงบอกโมเสสว่าฟาโรห์จะไม่ยอมจนกว่าพระองค์จะทรงลงโทษประเทศอียิปต์และทรงนำคนอิสราเอลออกมาด้วยหมายสำคัญแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ ก่อนที่จะเกิดภัยพิบัติในแต่ละครั้ง โมเสสต้องอธิบายถึงลักษณะและผลของภัยพิบัตินั้นที่จะตามมา เพื่อว่าฟาโรห์จะได้มีโอกาสเลือกทางที่จะพ้นจากภัยพิบัตินั้นได้ แต่ถ้าปฏิเสธไม่รับการตีสอน ภัยพิบัติที่รุนแรงขึ้นก็จะตามมา จนกว่าจิตใจที่หยิ่งยโสของท่านจะถ่อมลง และยอมรับว่าพระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์อยู่ พระเจ้าจะทรงให้ชาวอียิปต์มีโอกาสได้เห็นถึงปัญญาอันไร้ค่าของคนใหญ่คนโต และความไร้อำนาจของเทพเจ้าของพวกเขาเมื่อขัดต่อพระบัญชาของพระองค์ พระองค์จะทรงลงโทษชาวอียิปต์ฐานบูชารูปเคารพและจะทรงปิดปากที่โอ้อวดว่าได้รับพรจากเทพเจ้าที่ไม่มีความรู้สึก พระเจ้าจะทรงกระทำให้พระนามของพระองค์เป็นที่เชิดชู เพื่อชนชาติอื่นจะได้ยินถึงฤทธิ์อำนาจและหวั่นเกรงต่อพระหัตถกิจอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ และเพื่อคนของพระองค์จะหันกลับจากการไหว้รูปเคารพมาถวายการนมัสการที่บริสุทธิ์แด่พระองค์ {PP 263.1}
โมเสสกับอาโรนเข้าไปในวังของฟาโรห์อีกครั้งในฐานะตัวแทนชนชาติที่เป็นทาส และยืนอยู่ต่อหน้ากษัตริย์แห่งอาณาจักรที่เรืองอำนาจที่สุดในสมัยนั้น ท่ามกลางเสาหินสูงตระหง่านและเครื่องประดับแวววาว แวดล้อมด้วยภาพและประติมากรรมเทพเจ้าอันวิจิตรบรรจง ท่านทั้งสองย้ำถึงพระดำรัสของพระเจ้าให้ปลดปล่อยคนอิสราเอลไป ฟาโรห์ได้เรียกร้องให้ทำการอัศจรรย์เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าได้ทรงใช้ทั้งสองคนมาจริง พระเจ้าทรงสอนโมเสสกับอาโรนเอาไว้แล้วว่าควรทำอย่างไรในกรณีเช่นนี้ อาโรนจึงโยนไม้เท้าลงไปต่อหน้าฟาโรห์ ไม้เท้านั้นก็กลายเป็นงู ส่วนฟาโรห์ก็เรียก “พวกนักปราชญ์และพวกนักวิทยาคมมา…ต่างคนต่างโยนไม้เท้าลง ไม้เท้าเหล่านั้นก็กลายเป็นงู แต่ไม้เท้าของอาโรนกลืนไม้เท้าของพวกเขาเสียสิ้น” (อพยพ 7:11–12 THSV) แต่แล้วฟาโรห์กลับจองหองยิ่งขึ้น ประกาศกร้าวว่านักวิทยาคมของท่านมีอำนาจเทียบเท่ากับโมเสสและอาโรน และปรักปรำท่านทั้งสองว่าเป็นจอมหลอกลวง ท่านรู้สึกมั่นใจขึ้นมาว่าตนมีข้ออ้างที่จะปฏิเสธข้อเรียกร้องของผู้รับใช้พระเจ้า แต่ขณะที่ฟาโรห์เหยียดหยามพระบัญชาของพระเจ้า พระองค์ทรงรั้งไม่ให้ท่านทำอันตรายใดๆ แก่โมเสสกับอาโรน {PP 263.2}
การอัศจรรย์ที่โมเสสกับอาโรนแสดงต่อหน้าฟาโรห์ไม่ใช่ฝีมือหรืออำนาจของมนุษย์ แต่เป็นพระหัตถ์ของพระเจ้าเองที่กระทำ พระเจ้าทรงสำแดงการอัศจรรย์ต่างๆ เพื่อฟาโรห์จะได้สำนึกว่าพระองค์ผู้ตรัสว่า “เราเป็น” ทรงใช้โมเสสมา และหน้าที่ของท่านคือปล่อยคนอิสราเอลไปนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ส่วนนักวิทยาคมก็แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้เช่นกัน เพราะพวกเขาไม่ได้กระทำด้วยความสามารถของตนเอง แต่ด้วยอำนาจแห่งพระของเขา คือซาตานผู้ได้ช่วยพวกเขาปลอมแปลงพระหัตถกิจของพระเยโฮวาห์ {PP 264.1}
นักวิทยาคมเหล่านั้นไม่สามารถกระทำให้ไม้เท้ากลายเป็นงูได้จริง แต่อาศัยเวทมนตร์และการช่วยเหลือจากจอมล่อลวงจึงตบตาคนดูได้ การเปลี่ยนไม้เท้าให้กลายเป็นงูที่มีชีวิตนั้นเกินอำนาจของซาตานที่จะทำได้ ถึงแม้ว่าเจ้าแห่งความชั่วร้ายที่ถูกขับไล่ออกจากสวรรค์จะมีความรู้และฤทธิ์เดชก็ตาม แต่ก็ไม่อาจเนรมิตสร้างหรือให้กำเนิดชีวิตได้ เพราะเป็นฤทธิ์อำนาจพิเศษของพระเจ้าเท่านั้น กระนั้นซาตานใช้อำนาจทุกอย่างที่มันมีเพื่อลอกเลียนแบบพระหัตถกิจของพระเจ้า ในสายตาของมนุษย์เห็นว่าไม้เท้าของนักวิทยาคมกลายเป็นงู ฟาโรห์และบริวารของท่านจึงเชื่อว่าเป็นเช่นนั้น พวกเขาดูไม่ออกว่างูของตนมีอะไรแตกต่างไปจากงูของโมเสส ถึงแม้ว่าพระเจ้าทรงทำให้งูจริงกลืนงูปลอมเหล่านั้นเสีย ฟาโรห์ก็ยังกล่าวหาว่านี่ไม่ใช่อำนาจของพระเจ้าแต่เป็นเพียงเวทมนตร์ที่เหนือชั้นกว่าเท่านั้น {PP 264.2}
ฟาโรห์ขัดขืนคำสั่ง
ฟาโรห์หวังที่จะแก้ตัวให้กับความดื้อรั้นของตนเพื่อขัดขืนพระบัญชาของพระเจ้า จึงหาข้ออ้างในการดูถูกการอัศจรรย์ที่พระองค์ทรงกระทำผ่านโมเสส ซาตานก็บันดาลให้เป็นไปตามที่ฟาโรห์ต้องการ การอัศจรรย์ที่นักวิทยาคมแสดงร่วมด้วยทำให้ชาวอียิปต์เชื่อว่าโมเสสกับอาโรนเป็นเพียงพ่อมดหมอผีเท่านั้น จึงไม่ยอมเชื่อฟังข่าวสารที่อ้างว่ามาจากพระผู้สูงสุด ฉะนั้นงานลอกเลียนของซาตานจึงเป็นไปตามแผน ทำให้ชาวอียิปต์เหิมเกริมดื้อด้านและทำให้ฟาโรห์ใจแข็งกระด้างยิ่งขึ้น ซาตานยังมีความหวังว่าวิธีการของมันจะส่งผลให้โมเสสกับอาโรนสงสัยว่าภารกิจของท่านมาจากพระเจ้าจริงหรือไม่ มันไม่ต้องการให้คนอิสราเอลได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสเพื่อไปนมัสการพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ {PP 264.3}
แต่มารร้ายยังมีเป้าหมายที่ลึกซึ้งกว่านั้นอีกในการแสดงหมายสำคัญต่างๆ ผ่านนักวิทยาคม มันรู้ดีว่าที่โมเสสจะปลดปล่อยคนอิสราเอลจากแอกของทาสเป็นสัญลักษณ์ที่เล็งถึงพระคริสต์ผู้ซึ่งจะช่วยมนุษย์ให้พ้นจากอำนาจของบาป มันรู้ว่าเมื่อพระคริสต์เสด็จมา พระองค์จะทรงสำแดงการอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ที่พิสูจน์ว่าพระองค์มาจากพระเจ้า ซาตานกลัวจะสูญเสียอำนาจจนตัวสั่น มันหวังว่าด้วยการลอกเลียนการอัศจรรย์ของพระเจ้าที่สำแดงผ่านโมเสสจะไม่เพียงแต่ขัดขวางการปลดปล่อยคนอิสราเอลเท่านั้น แต่จะส่งผลให้คนในสมัยต่อมาไม่เชื่อในการอัศจรรย์ของพระคริสต์อีกด้วย ซาตานยังคงเลียนแบบพระราชกิจของพระคริสต์เรื่อยมา ทั้งยังหาทางเสริมอำนาจและตอบสนองข้อเรียกร้องของตน มันชักจูงคนให้ถือว่าการอัศจรรย์ของพระคริสต์เกิดจากทักษะความสามารถและอำนาจของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้เองความเชื่อของคนจำนวนมากที่ว่าพระคริสต์คือพระบุตรของพระเจ้าจึงถูกทำลายไป มันจึงนำพวกเขาให้ปฏิเสธพระเมตตาคุณของพระเจ้าที่พบในแผนการแห่งความรอด {PP 264.4}
เช้าวันต่อมาพระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสสกับอาโรนไปยังริมฝั่งแม่น้ำที่ฟาโรห์ไปเป็นประจำ แม่น้ำไนล์ที่ล้นปริ่มเป็นแหล่งอาหารและความอุดมสมบูรณ์ของอียิปต์ ผู้คนกราบไหว้แม่น้ำสายนั้นเป็นพระเจ้า ส่วนฟาโรห์มักจะมาเซ่นไหว้บูชาที่ริมแม่น้ำไนล์ทุกวัน แล้วสองพี่น้องก็ไปที่นั่นเพื่อย้ำพระดำรัสอีกครั้ง และยกไม้เท้าตีแม่น้ำนั้นอย่างแรง แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวอียิปต์ก็กลายเป็นเลือด ปลาที่อยู่ในนั้นก็ตาย น้ำก็เหม็นเน่า ส่วนน้ำที่อยู่ในบ้านเรือนและในถังก็กลายเป็นเลือดเช่นกัน “แต่พวกนักเล่นอาคมของอียิปต์ก็ทำได้เหมือนกันโดยใช้ศาสตร์อันลี้ลับของตน” ฟาโรห์จึง “เสด็จกลับวังโดยไม่สนพระทัย” (อพยพ 7:22–23 TNCV) ภัยพิบัตินี้ได้ดำเนินไป 7 วัน แต่ฟาโรห์ยังคงมีใจแข็งกระด้างเหมือนเดิม {PP 265.1}
อาโรนเหยียดมือที่ถือไม้เท้าออกเหนือแม่น้ำอีกครั้ง กบก็ขึ้นมาจากแม่น้ำจนเต็มประเทศอียิปต์ ฝูงกบก็เข้าไปในบ้านเรือนของประชาชน ในห้องนอน แม้แต่ในเตาปิ้งขนมและในอ่างขยำแป้งด้วย ชาวอียิปต์นับถือกบเป็นสัตว์ที่ศักดิ์สิทธิ์ พวกเขาจึงไม่ยอมฆ่ามัน แต่บัดนี้พวกเขาไม่อาจทนกับสัตว์ที่น่าสะอิดสะเอียนเหล่านี้ได้อีก พวกมันจับกลุ่มกันกระโดดขึ้นไปถึงวังของฟาโรห์ และท่านเร่งเร้าให้นำมันออกไปเพราะทนไม่ได้ พวกนักวิทยาคมก็ตบตาทำเหมือนมีกบเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่ไม่สามารถทำให้กบจริงหายไปได้ เมื่อฟาโรห์ได้เห็นสิ่งเหล่านี้แล้วจึงเริ่มถ่อมตัวลงบ้าง และเรียกโมเสสกับอาโรนมา กล่าวว่า “ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้เอากบออกไปจากเราและประชากรของเรา แล้วเราจะปล่อยประชากรของเจ้าออกไปถวายเครื่องบูชาแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” (อพยพ 8:8 TNCV) ภายหลังที่ได้เตือนฟาโรห์ถึงถ้อยคำที่ท่านอ้างไว้ครั้งก่อน โมเสสกับอาโรนจึงขอให้ฟาโรห์กำหนดเวลาที่จะให้ท่านทั้งสองอธิษฐานขอให้ภัยพิบัตินี้ผ่านพ้นไป ฟาโรห์จึงให้เป็นวันถัดไปโดยหวังอยู่เงียบๆ ว่า ก่อนที่จะถึงวันใหม่กบจะหายไปเอง ท่านจะได้ไม่ต้องอับอายที่ยอมอ่อนข้อต่อพระเจ้าของคนอิสราเอล แต่ภัยพิบัติยังดำเนินต่อจนถึงเวลาที่ได้กำหนดไว้ ฝูงกบเหล่านั้นก็ตายเกลื่อนกลาด ส่งกลิ่นเหม็นตลบทั่วแผ่นดิน {PP 265.2}
พระเจ้าทรงสามารถทำให้กบเหล่านั้นกลับกลายเป็นธุลีไปในชั่วพริบตาเดียวก็ได้ แต่ก็ไม่ทรงกระทำเพราะฟาโรห์และชาวอียิปต์อาจจะอ้างว่าเกิดจากคาถาอาคมของพ่อมดหมอผีเหมือนที่นักวิทยาคมทำ เมื่อกบตายแล้วพวกเขาได้กวาดไว้เป็นกองๆ เป็นหลักฐานที่ฟาโรห์กับคนทั่วอียิปต์ไม่อาจใช้ปรัชญาที่ไร้สาระของพวกเขาเพื่อปฏิเสธว่า นี่คือการลงโทษจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ {PP 266.1}
“เมื่อฟาโรห์ทรงทราบว่าความเดือดร้อนลดน้อยลงแล้ว ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้างอีก” พระเจ้าทรงบัญชาให้อาโรนเหยียดมือออกแล้วฝุ่นละอองก็กลายเป็นริ้นทั่วประเทศอียิปต์ ฟาโรห์ใช้ให้พวกนักวิทยาคมทำตามแต่ก็ทำไม่ได้ ปรากฏชัดแล้วว่าพระราชกิจของพระเจ้าเหนือกว่าอำนาจของซาตาน พวกนักวิทยาคมจำต้องยอมรับว่า “นี่เป็นผลจากนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้า” (อพยพ 8:19 TNCV) แต่ฟาโรห์ก็ยังไม่ไยดี {PP 266.2}
แม้ว่าจะมีการร้องขอตักเตือนแต่ก็ไร้ผล แล้วก็เกิดภัยพิบัติขึ้นอีก พระเจ้าตรัสล่วงหน้าว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่เพื่อจะไม่เข้าใจผิดว่าเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ฝูงเหลือบเกาะไปทั่วบ้านเรือนและพื้นดิน “แผ่นดินก็เสียหายย่อยยับเพราะฝูงเหลือบ” (อพยพ 8:24 THSV) ฝูงเหลือบเหล่านี้ทั้งตัวใหญ่และมีพิษ เมื่อมันกัดพลเมืองและสัตว์ต่างๆ เข้าก็จะได้รับความเจ็บปวดทรมาน แต่เมืองโกเชนไม่ได้รับผลจากภัยพิบัตินี้ดังที่พระเจ้าได้ตรัสแล้ว {PP 266.3}
ปฏิเสธข้อเสนอของฟาโรห์
บัดนี้ฟาโรห์จึงอนุญาตให้คนอิสราเอลถวายสัตวบูชาในเขตแดนประเทศอียิปต์ แต่พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว โมเสสกล่าวว่า “การทำเช่นนั้นไม่ถูกต้อง…หากพวกข้าพระบาทถวายเครื่องบูชาซึ่งเป็นที่น่ารังเกียจในสายตาของพวกเขาที่นี่ จะไม่ถูกพวกเขาเอาหินขว้างตายหรือ” (อพยพ 8:26 TNCV) สัตว์ที่คนฮีบรูจะต้องนำไปถวายล้วนเป็นสัตว์ที่คนอียิปต์ถือว่าศักดิ์สิทธิ์และเคารพมาก แม้กระทั่งถ้ามีสักตัวหนึ่งถูกฆ่าโดยไม่ตั้งใจก็ยังถือว่าเป็นความผิดมหันต์มีโทษถึงชีวิต เป็นไปไม่ได้ที่ชาวฮีบรูจะนมัสการพระเจ้าในประเทศอียิปต์โดยที่ไม่สร้างความขุ่นเคืองแก่เจ้านาย โมเสสจึงขออีกครั้งเพื่อให้คนอิสราเอลเดินทางไปในถิ่นทุรกันดารสัก 3 วัน ฟาโรห์ก็ยินยอม ทั้งขอร้องให้โมเสสกับอาโรนอธิษฐานให้ภัยพิบัติพ้นไปเสีย พวกท่านรับปากว่าจะทำตามและเตือนฟาโรห์ไม่ให้กลับคำอีก แล้วภัยพิบัติก็หยุดไป แต่จิตใจของฟาโรห์กลับแข็งกระด้างเพราะการขัดขืนติดต่อกัน จึงยังไม่ยอมอ่อนข้อแต่อย่างใด {PP 266.4}
ภัยร้ายแรงกว่าเดิมก็เกิดตามมาอีก คือฝูงสัตว์ในทุ่งของคนอียิปต์เป็นโรคระบาดตาย ทั้งสัตว์ที่พวกเขาถือว่าศักดิ์สิทธิ์ และสัตว์ใช้งานต่างๆ จำพวกม้า ลา อูฐ โค และแพะแกะ โมเสสได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนล่วงหน้าว่าสัตว์เลี้ยงต่างๆ ของคนฮีบรูจะถูกยกเว้นไม่ให้ได้รับอันตรายใดๆ และเมื่อฟาโรห์ใช้คนไปดูก็ประจักษ์ว่าที่โมเสสพูดเป็นความจริงเพราะว่า “สัตว์ของชนชาติอิสราเอลไม่ตายสักตัวเดียว” แต่จิตใจฟาโรห์ยังแข็งกระด้าง {PP 267.1}
จากนั้นพระเจ้าตรัสสั่งให้โมเสสนำเขม่าจากเตา และ “ซัดขึ้นไปในอากาศต่อหน้าฟาโรห์” การกระทำครั้งนี้มีความหมายอย่างมาก เมื่อ 400 ปีก่อนหน้านั้น พระเจ้าทรงสำแดงให้อับราฮัมเห็นการกดขี่ข่มเหงที่จะเกิดกับประชากรของพระองค์ในรูปของเตาที่มีควันลุกอยู่และตะเกียงที่มีแสงไฟ พระองค์ตรัสว่าจะทรงลงโทษผู้ที่กดขี่ข่มเหงเหล่านั้น และจะทรงนำพวกเชลยออกมาพร้อมกับทรัพย์สมบัติมากมาย คนอิสราเอลอ่อนเปลี้ยอยู่ในเตาแห่งความทุกข์ในประเทศอียิปต์มาเป็นเวลานานแล้ว การกระทำของโมเสสช่วยให้พวกเขามั่นใจว่าพระเจ้าไม่ทรงลืมพันธสัญญาของพระองค์ และเวลาแห่งการปลดปล่อยก็มาถึงแล้ว {PP 267.2}
เมื่อซัดเขม่าขึ้นไปในอากาศ เขม่านั้นก็กระจายไปทั่วแผ่นดินอียิปต์ เมื่อตกอยู่ที่ใดก็ทำให้เกิด “ฝีแตกลามไปทั้งตัวคนและสัตว์” พวกปุโรหิตและนักวิทยาคมที่เคยยุยงให้ฟาโรห์ใจแข็ง บัดนี้ภัยพิบัติจากพระเจ้ามาถึงพวกเขาเอง ต่างก็เป็นโรคร้ายที่เจ็บปวดและน่าขยะแขยง อำนาจที่พวกเขาเคยโอ้อวดกลับกลายเป็นความน่าเกลียดน่าชัง พวกเขาจึงไม่สามารถต่อกรกับพระเจ้าแห่งอิสราเอลได้อีกแล้ว คนอียิปต์ทั้งประเทศรู้สึกเสียรู้ที่ไปหลงไว้ใจนักวิทยาคมเหล่านั้นที่ไม่สามารถแม้แต่จะปกป้องตัวเองได้ {PP 267.3}
จิตใจของฟาโรห์ก็ยังแข็งกระด้างยิ่งขึ้น แล้วพระเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งภัยพิบัติอย่างรุนแรงมายังเจ้า ข้าราชการและราษฎรของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้รู้ว่าทั่วพิภพนี้ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนเรา…เราได้ยกเจ้าให้เป็นใหญ่ก็เพื่อจุดประสงค์ข้อนี้เอง คือเพื่อเราจะได้สำแดงฤทธิ์อำนาจของเราแก่เจ้า” (อพยพ 9:14, 16 TNCV) ไม่ใช่ว่าพระเจ้าทรงให้ฟาโรห์เกิดมาเพื่อจุดประสงค์นี้ แต่พระองค์ทรงพลิกคว่ำสถานการณ์ต่างๆ เพื่อให้ท่านปกครองในเวลาเดียวกันกับที่ชนชาติอิสราเอลได้รับการช่วยกู้ แม้ว่าฟาโรห์ผู้จองหองได้พลาดจากพระคุณของพระเจ้าเพราะการฝ่าฝืนของตน พระองค์ก็ยังทรงไว้ชีวิตฟาโรห์เพื่อจะทรงสำแดงการอัศจรรย์ในแผ่นดินอียิปต์ให้ประจักษ์ผ่านความดื้อดึงของท่าน พระเจ้าทรงควบคุมอยู่เหนือเหตุการณ์ต่างๆ ในโลก พระองค์ทรงสามารถแต่งตั้งกษัตริย์ผู้มีเมตตากว่านี้ก็ได้ ผู้ซึ่งจะไม่กล้าต่อต้านฤทธานุภาพที่ทรงสำแดงนั้น แต่หากเป็นเช่นนั้นพระประสงค์ของพระองค์ก็จะไม่สำเร็จ พระองค์ทรงอนุญาตให้คนอิสราเอลประสบกับการเคี่ยวเข็ญ เพื่อพวกเขาจะไม่ตกอยู่ในอิทธิพลชั่วที่ล่อลวงให้ไหว้รูปเคารพ การที่พระเจ้าทรงบันดาลให้ภัยพิบัติเกิดขึ้นกับฟาโรห์ ก็เพื่อสำแดงให้รู้ว่าพระองค์ทรงรังเกียจรูปเคารพ และประสงค์ที่จะลงโทษผู้ที่กดขี่ข่มเหง {PP 267.4}
พระเจ้าตรัสเกี่ยวกับฟาโรห์ว่า “เราจะทำให้ใจของฟาโรห์แข็งกระด้าง ไม่ยอมให้ประชากรไป” (อพยพ 4:21 TH1971) ฟาโรห์ไม่ได้ถูกบังคับให้จิตใจแข็งกระด้าง พระเจ้าทรงสำแดงฤทธิ์อำนาจให้ฟาโรห์เห็นอย่างชัดเจนที่สุด แต่ท่านกลับดื้อดึงปฏิเสธการเตือนนั้น ทุกครั้งที่ท่านปฏิเสธฤทธิ์อำนาจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า ก็เป็นเหตุให้ท่านดื้อด้านมากขึ้น การขัดขืนต่อการอัศจรรย์ครั้งแรกเปรียบเสมือนเมล็ดที่ออกผลตามมา ขณะที่ฟาโรห์ยังคงดื้อรั้นขัดขืนมากขึ้นเรื่อยๆ จิตใจก็แข็งกระด้างมากยิ่งขึ้นตามลำดับ จนถึงวันที่ต้องจ้องดูใบหน้าอันซีดเผือดของบุตรหัวปีทั้งหลายที่จบชีวิตลง {PP 268.1}
พระประสงค์ของพระเจ้าในการตักเตือน
พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ผ่านผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ซึ่งจะคอยว่ากล่าวตักเตือนไม่ให้ทำบาป พระองค์ประทานโอกาสให้ทุกคนแก้ไขข้อบกพร่องก่อนที่มันจะฝังเข้าไปในอุปนิสัย แต่ถ้าคนใดปฏิเสธไม่ยอมฟัง พระองค์ก็ไม่ทรงเข้าไปเปลี่ยนแนวทางชีวิตของเขา ทุกครั้งที่เขาทำผิดก็จะพบว่าทำได้ง่ายกว่าครั้งก่อน เขากำลังทำให้จิตใจแข็งกระด้างต่ออิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยิ่งเขาปฏิเสธแสงสว่างมากเท่าไร อิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงเขาได้ยากขึ้นเท่านั้น {PP 268.2}
บุคคลผู้ซึ่งยอมแพ้ต่อการทดลองครั้งแรกก็พร้อมที่จะแพ้ในครั้งที่สอง ทุกครั้งที่ทำบาปทำให้อำนาจในการต่อต้านความบาปลดลง กระทำให้เขาตาบอด และยากที่จะกลับใจได้ การยินยอมต่อบาปทุกอย่างจะเกิดผลตามมา พระเจ้าจะไม่ทรงกระทำการอัศจรรย์ใดๆ ที่จะปกป้องไม่ให้มนุษย์เก็บเกี่ยวผลที่ตนกระทำ “เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น” (กาลาเทีย 6:7 TH1971) บุคคลที่กระด้างกระเดื่องและเย็นชาต่อความจริงของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง กำลังเกี่ยวเก็บผลที่ตนได้กระทำ อย่างนี้แหละคนจึงไม่แยแสต่อหลักความจริงที่แต่ก่อนเคยปลุกเร้าให้ตื่น การปฏิเสธและต่อต้านความจริงเป็นเมล็ดที่พวกเขาหว่าน และจะต้องเก็บเกี่ยวสิ่งที่หว่านนั้น {PP 268.3}
คนเหล่านั้นที่นิ่งเฉยต่อความรู้สึกผิดเพราะคิดว่าคงจะกลับใจใหม่เมื่อไรก็ได้ตามที่ใจต้องการ หรือคิดว่าเขาสามารถมองข้ามคำเชื้อเชิญแห่งพระคุณเพราะอย่างไรก็จะยังได้ยินเสียงพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ ความคิดเช่นนี้อันตรายอย่างยิ่ง พวกเขาคิดว่าภายหลังที่ได้เลือกอยู่ฝ่ายซาตานแล้ว ในที่สุดเมื่อมีภัยอันตรายประชิดเข้ามา ก็จะเปลี่ยนใจไปอยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ได้ แต่การทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก ประสบการณ์ การฝึกตัว และการปล่อยใจแสวงหาความบาปจนเคยชินได้กระทำให้อุปนิสัยด้านชาจนพวกเขาไม่สามารถดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระเยซูได้ ถ้าเขาไม่เคยได้รับความสว่างเลยก็คงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง พระเจ้าผู้ทรงพระเมตตาอาจเปิดโอกาสให้เขากลับใจได้เหมือนกัน แต่เมื่อเขาได้ปฏิเสธและดูแคลนแสงสว่างอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ แสงสว่างนั้นก็จะถูกถอนไปจากเขาในที่สุด {PP 269.1}
ฟาโรห์ได้รับการเตือนว่าภัยพิบัติต่อมาคือลูกเห็บ “เหตุฉะนั้น จงให้ต้อนฝูงสัตว์และบรรดาผู้ที่อยู่ในทุ่งนาให้เข้าที่กำบัง เพราะคนทุกคนและสัตว์ทุกตัวในทุ่งนาที่มิได้เข้ามาอยู่ในบ้านจะถูกลูกเห็บตายหมด” ฝนและลูกเห็บเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักในประเทศอียิปต์ ดังนั้นจึงไม่เคยมีใครเห็นพายุลูกเห็บดังที่โมเสสทำนายไว้ ข่าวเรื่องนี้ได้แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว และผู้ที่เชื่อพระดำรัสของพระเจ้าทุกคนได้ต้อนฝูงสัตว์ของตนเข้าไปอยู่ในที่ปลอดภัย ส่วนผู้ที่ดูหมิ่นคำตักเตือนก็ยังคงปล่อยฝูงสัตว์ไว้ตามทุ่งนา ฉะนั้นในระหว่างการพิพากษา พระเจ้ายังทรงสำแดงพระเมตตาของพระองค์ คนทั้งปวงถูกทดลอง จึงประจักษ์ว่ามีใครบ้างที่ยำเกรงพระเจ้าเมื่อเห็นฤทธานุภาพของพระองค์ {PP 269.2}
แล้วก็เกิดพายุขึ้นตามคำทำนาย “ลูกเห็บตกลงมาและมีฟ้าแลบฟ้าร้อง พายุในคราวนี้ร้ายแรงที่สุดในอียิปต์ตั้งแต่สร้างชาติมา ลูกเห็บตกลงมาทั่วแผ่นดินอียิปต์ กระหน่ำใส่ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่กลางแจ้งทั้งคนและสัตว์ ทำลายพืชพรรณทั้งสิ้นในท้องทุ่งและต้นไม้ทุกต้นหักโค่น” (อพยพ 9:24–25 TNCV) เมื่อทูตมรณะผ่านไปที่ใด ที่นั่นก็บังเกิดหายนะและเหลือไว้เพียงความว่างเปล่า มีเมืองโกเชนแห่งเดียวเท่านั้นที่สงวนไว้จากภัยพิบัติ แล้วชาวอียิปต์ได้เห็นว่าทั้งโลกอยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ฝนฟ้าอากาศก็เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์ ทางเดียวที่จะปลอดภัยได้ก็คือการเชื่อฟังพระองค์ {PP 269.3}
ทั่วทั้งอียิปต์สะเทือนสะท้านต่อการลงโทษอันน่ากลัวของพระเจ้า ฟาโรห์จึงรีบให้ไปตามสองพี่น้องมาพบ และบอกว่า “คราวนี้เราได้ทำบาป องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นฝ่ายถูก เราและประชาชนของเราเป็นฝ่ายผิด ช่วยวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าให้หยุดฟ้าคะนองและพายุลูกเห็บเถิด แล้วเราจะปล่อยพวกเจ้าไปทันที พวกเจ้าไม่ต้องอยู่อีกต่อไป” (อพยพ 9:27–28 TNCV) โมเสสกล่าวว่า “เมื่อข้าพระบาทออกไปจากกรุงนี้แล้ว ข้าพระบาทจะยกมือทูลพระเจ้า เสียงฟ้าร้องก็จะเงียบ และจะไม่มีลูกเห็บตกอีก เพื่อฝ่าพระบาทจะได้ทราบว่าโลกนี้เป็นของพระเจ้า แต่ฝ่ายฝ่าพระบาทและข้าราชการนั้น ข้าพระบาททราบอยู่แล้วว่ายังไม่ยำเกรงพระเจ้า” {PP 270.1}
การสำนึกผิดที่จอมปลอม
โมเสสรู้ว่าการต่อสู้นี้ยังไม่สิ้นสุด คำสารภาพและคำมั่นสัญญาต่างๆ ที่ฟาโรห์ให้นั้นไม่ได้มาจากการสำนึกผิดหรือการกลับใจอย่างแท้จริงแต่อย่างใด แต่เกิดจากความหวาดกลัวและความทุกข์ทรมานใจที่ได้รับ อย่างไรก็ตามโมเสสรับปากตามที่ฟาโรห์ขอเพื่อไม่ให้โอกาสท่านมีใจดื้อดึงอีก ผู้เผยพระวจนะโมเสสเดินหน้าต่อไปโดยไม่มีความกลัวต่อพายุที่พัดกระหน่ำ ฟาโรห์กับข้าราชการทั้งสิ้นของท่านประจักษ์ในฤทธิ์อำนาจของพระเยโฮวาห์ที่ทรงคุ้มครองผู้รับใช้ของพระองค์ เมื่อโมเสสออกจากกรุงแล้วก็ “ชูมือขึ้นฟ้าทูลขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พายุฟ้าคะนอง และลูกเห็บก็หยุด ฝนก็หยุดตก” (อพยพ 9:33 TNCV) แต่ทันทีที่ความกลัวหายไป ฟาโรห์กลับมีใจดื้อด้านอีกตามเคย {PP 270.2}
แล้วพระเจ้าตรัสกับโมเสสว่า “จงเข้าไปหาฟาโรห์ เพราะเราทำให้ใจของฟาโรห์และใจของข้าราชการแข็งกระด้าง เพื่อเราจะได้แสดงหมายสำคัญเหล่านี้ของเราท่ามกลางพวกเขา เพื่อเจ้าจะได้เล่าเหตุการณ์ที่เราได้กระทำแก่ชาวอียิปต์ให้ลูกหลานฟัง รวมทั้งหมายสำคัญซึ่งเราได้สำแดงแก่เขานั้น เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่าเราคือพระเจ้า” พระเจ้าทรงสำแดงฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อคนอิสราเอลจะได้เชื่อมั่นว่าพระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ผู้ทรงพระชนม์แต่พระองค์เดียว และประทานหลักฐานแน่ชัดที่บ่งบอกว่าพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับชนชาติของพระองค์แตกต่างกับชาวอียิปต์อย่างไร เพื่อประชาชาติทั่วโลกจะได้รู้ว่าคนฮีบรูที่เขาทั้งหลายกดขี่นั้นได้รับการปกป้องจากพระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ {PP 270.3}
โมเสสเตือนฟาโรห์ว่าหากยังขืนดื้อดึงอยู่ พระเจ้าจะทรงส่งภัยพิบัติจากฝูงตั๊กแตน ซึ่งจะบินไปทั่วแผ่นดินและกินพืชใบเขียวทุกชนิด บินเข้าไปในบ้านทุกหลังไม่เว้นแม้แต่ในราชวัง หายนะครั้งนี้จะร้ายแรง “อย่างที่บิดาและปู่ทวดตั้งแก่เกิดมาจนทุกวันนี้ไม่เคยเห็นเช่นนี้เลย” {PP 270.4}
เมื่อข้าราชการได้ยินดังนั้นต่างยืนนิ่งตะลึงงัน ประเทศชาติได้สูญเสียสัตว์เลี้ยงจำนวนมากไปแล้ว ผู้คนมากมายล้มตายเพราะลูกเห็บ ป่าไม้โค่นล้ม ไร่นาย่อยยับ พวกเขากำลังสูญเสียผลผลิตทั้งหมดที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของคนฮีบรูไปอย่างรวดเร็ว อาหารขาดแคลนทั่วแผ่นดิน บรรดาข้าราชการต่างบีบคั้นฟาโรห์อย่างโกรธขึ้งว่า “คนนี้จะเป็นบ่วงแร้วดักเราไปนานสักเท่าใด ขอทรงพระกรุณาปลดปล่อยคนเหล่านั้นให้ไปนมัสการพระเจ้าของเขาเถิด พระองค์ยังไม่ทราบหรือว่าอียิปต์กำลังพินาศแล้ว” {PP 271.1}
โมเสสกับอาโรนถูกเรียกไปพบฟาโรห์อีกครั้ง ฟาโรห์กล่าวแก่ท่านทั้งสองว่า “ไปนมัสการพระเจ้าของเจ้า แต่ใครจะไปบ้าง” {PP 271.2}
โมเสสตอบว่า “พวกข้าพระบาทจะไปกันทั้งหมด ทั้งคนหนุ่มคนแก่ บุตรชายบุตรสาว และฝูงสัตว์ เพราะพวกเราจะไปเลี้ยงฉลองถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้า” (อพยพ 10:9 TNCV) {PP 271.3}
ฟาโรห์ตอบทั้งสองอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ถ้าเรายอมให้เจ้าไปกับบุตรด้วย ก็ให้พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้าเถิด เจ้าคิดทุจริตเสียแล้ว อนุญาตไม่ได้ จงพาเฉพาะแต่ผู้ชายไปนมัสการพระเจ้า เพราะเจ้าปรารถนาเช่นนี้เท่านั้น” แล้วโมเสสกับอาโรนก็ถูกขับไล่ออกไปเสียจากพระพักตร์ของฟาโรห์ ฟาโรห์เคยพยายามกำจัดคนอิสราเอลด้วยการเคี่ยวเข็ญให้ทำงานหนัก แต่บัดนี้กลับแสร้งทำเป็นห่วงใยในทุกข์สุขของเด็กเล็ก แท้จริงแล้วท่านต้องการกักตัวผู้หญิงและเด็กๆ ไว้เพื่อจะได้แน่ใจว่าพวกผู้ชายจะกลับมาอีก {PP 271.4}
บัดนี้โมเสสจึงเหยียดไม้เท้าเหนือแผ่นดินอียิปต์ ก็บังเกิดมีลมตะวันออกพัดหอบเอาฝูงตั๊กแตนมา “ฝูงตั๊กแตนปกคลุมทั่วดินแดนอียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และจะไม่มีเหมือนครั้งนั้นอีกเลย” (อพยพ 10:14 TNCV) ฝูงตั๊กแตนปกคลุมไปทั่วท้องฟ้าจนมืดครึ้ม และกัดกินผักที่เหลืออยู่ทั้งหมด ฟาโรห์รีบให้คนไปตามตัวโมเสสกับอาโรนแล้วกล่าวว่า “เราได้ทำบาปต่อพระเจ้าของเจ้า และต่อเจ้าทั้งสองด้วย ขอเจ้ายกโทษบาปให้เราครั้งนี้สักครั้งเถิด จงวิงวอนขอพระเจ้าของเจ้า เพื่อพระองค์จะได้ทรงโปรดให้ความตายนี้พ้นไปจากเรา” ทั้งสองกระทำตามที่ฟาโรห์ขอ แล้วลมพายุพัดกลับมาจากทิศตะวันตกหอบฝูงตั๊กแตนไปตกลงในทะเลแดง แต่ฟาโรห์ยังคงมีใจแข็งกระด้างต่อไป {PP 271.5}
ชาวอียิปต์ประหวั่นพรั่นพรึง
คนอียิปต์เริ่มหมดหวัง เพราะภัยพิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นแล้วหนักมากจนเกือบจะทนไม่ไหว พวกเขาหวาดกลัวว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีก คนอียิปต์บูชาฟาโรห์เหมือนเป็นพระเจ้าของพวกเขา แต่มาถึงคราวนี้หลายคนเชื่อว่าท่านกำลังขัดขวางพระผู้ทรงอำนาจซึ่งแม้แต่ธรรมชาติก็เชื่อฟังพระองค์ ทาสชาวฮีบรูได้รับความช่วยเหลืออย่างอัศจรรย์ จนเริ่มมั่นใจว่าจะได้รับการปลดปล่อย ส่วนนายทาสก็ไม่กล้ากดขี่พวกเขาเหมือนแต่ก่อนแล้ว คนอียิปต์ทั่วทั้งประเทศเกิดความหวั่นวิตกว่าทาสชาวฮีบรูจะลุกขึ้นแก้แค้นพวกตน ผู้คนทั่วทุกแห่งหนต่างกลั้นหายใจด้วยความกลัว และถามกันว่าต่อไปจะเกิดอะไรตามมาอีก {PP 271.6}
ทันใดนั้นความมืดได้ปกคลุมเหนือแผ่นดิน เป็นความมืดทึบที่ “จับคลำได้” ประชาชนไม่เพียงแต่มองไม่เห็นแสงสว่างเท่านั้นแต่บรรยากาศรอบตัวก็อึดอัดทำให้หายใจไม่สะดวก “เขามองกันไม่เห็น ไม่มีใครลุกไปจากที่ของเขา 3 วัน ฝ่ายบรรดาชนชาติอิสราเอลนั้นมีแสงสว่างอยู่ในที่อาศัยของเขา” คนอียิปต์บูชาดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ แต่ความมืดประหลาดเหมือนราวกับว่าพวกเขากับพระของพวกเขาถูกฟาดฟันด้วยอำนาจของพระเจ้าที่ทรงยื่นพระหัตถ์เพื่อช่วยกู้ชนชาติที่เป็นทาสเหล่านี้2 การลงโทษครั้งนี้ถึงจะน่ากลัวแต่ก็ได้พิสูจน์ให้เห็นพระเมตตาของพระเจ้าว่าพระองค์ไม่ทรงปรารถนาที่จะทำลายคนบาป พระองค์ทรงให้โอกาสคนอียิปต์สำนึกผิดและกลับใจก่อนที่จะส่งภัยพิบัติที่ร้ายแรงที่สุดซึ่งเป็นภัยพิบัติครั้งสุดท้ายลงมา {PP 272.1}
ในที่สุดความกลัวก็บีบให้ฟาโรห์ยอมอ่อนข้อ เมื่อสิ้นสุดวันที่สามนั่นเอง ฟาโรห์เรียกโมเสสมาพบ กล่าวว่าจะยอมปล่อยผู้คนไปเว้นแต่ฝูงสัตว์เลี้ยงซึ่งไม่อนุญาตให้นำไปด้วย แต่โมเสสตอบฟาโรห์อย่างหนักแน่นว่า “ข้าพระบาทต้องนำฝูงสัตว์ไปด้วย ขาดไม่ได้สักกีบเดียว…ข้าพระบาทยังไม่ทราบว่าจะต้องการสัตว์ตัวใดถวายพระองค์จนกว่าจะถึงที่นั่น” ฟาโรห์เกิดความเกรี้ยวกราดขาดสติจึงตะคอกออกไปว่า “ไปให้พ้น ระวังตัวให้ดีเถอะ อย่ามาให้เราเห็นหน้าอีกเลย เพราะถ้าเจ้าเห็นหน้าเราวันไหน เจ้าจะตายวันนั้น” (อพยพ 10:28 THSV) {PP 272.2}
คำตอบที่ฟาโรห์ได้รับกลับมาคือ “ฝ่าพระบาทตรัสถูกแล้ว ข้าพระบาทจะไม่มาให้ฝ่าพระบาทเห็นหน้าอีกเลย” (อพยพ 10:29 THSV) {PP 272.3}
“โมเสสเป็นที่นับถือมากในประเทศอียิปต์ ทั้งต่อหน้าข้าราชการและต่อหน้าพลเมืองทั้งปวง” (อพยพ 11:3 TH1971) คนอียิปต์เกรงกลัวโมเสส จนฟาโรห์ไม่กล้าทำร้ายท่าน เพราะประชาชนมองว่าโมเสสเป็นผู้เดียวที่มีอำนาจปัดเป่าภัยพิบัติเหล่านี้ได้ พวกเขาปรารถนาให้คนอิสราเอลได้รับอนุญาตให้ออกจากอียิปต์ มีแต่ฟาโรห์กับพวกปุโรหิตเท่านั้นที่ยังยืนกรานต่อต้านโมเสสจนถึงที่สุด {PP 272.4}