บรรพชนกับผู้เผยพระวจนะเล่ม 221. โยเซฟกับพี่น้องของท่าน

21. โยเซฟกับพี่น้องของท่าน

พึ่งอู่ข้าวอู่น้ำ

เมื่อปีแห่งความอุดมสมบูรณ์มาถึง คนก็เริ่มเตรียมตัวรับมือกับการกันดารอาหารที่จะเกิดขึ้นโดยมีโยเซฟควบคุมดูแลทุกอย่าง โกดังยุ้งฉางขนาดยักษ์ถูกสร้างขึ้นตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วแผ่นดินอียิปต์ มีการตระเตรียมเพื่อเก็บกักอาหารที่คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณมากกว่าปกติ นโยบายนี้ได้ดำเนินไปตลอดระยะเวลา 7 ปีแห่งความอุดมสมบูรณ์ จนเสบียงกรังมีมากเกินที่จะคำนวณได้ {PP 224.1}

บัดนี้ 7 ปีแห่งความแร้นแค้นก็เริ่มขึ้นตามคำทำนายของโยเซฟ “การกันดารอาหารนั้นเกิดทั่วแคว้นทั้งหลาย แต่ทั่วประเทศอียิปต์ยังมีอาหารอยู่ เมื่อชาวอียิปต์อดอยากอาหารประชาชนก็ร้องทูลขออาหารต่อฟาโรห์ ฟาโรห์ก็รับสั่งแก่ชาวอียิปต์ทั้งหลายว่า ‘ไปหาโยเซฟ ท่านบอกอะไร ก็จงทำตาม’ การกันดารอาหารแผ่ไปทั่วแผ่นดิน โยเซฟก็เปิดฉางออกขายข้าวแก่ชาวอียิปต์” {PP 224.2}

การกันดารอาหารรุนแรงมากและขยายวงกว้างจนถึงแผ่นดินคานาอันคือดินแดนที่ยาโคบอาศัยอยู่ เมื่อได้ยินว่ากษัตริย์แห่งอียิปต์ได้กักเก็บธัญพืชไว้อย่างล้นหลาม ลูกชาย 10 คนของยาโคบจึงเดินทางไปที่นั่นเพื่อซื้ออาหาร เมื่อพวกเขาไปถึงมีคนบอกให้ไปหาท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน พวกเขาจึงเข้าพบพร้อมกับคนอื่นๆ ที่มาซื้ออาหารด้วย “พวกพี่ชายของโยเซฟก็มากราบไหว้ท่าน ก้มหน้าลงถึงดิน” “โยเซฟรู้จักพวกพี่ แต่พวกพี่หารู้จักท่านไม่” ชื่อเดิมภาษาฮีบรูถูกเปลี่ยนเป็นชื่อพระราชทาน และแทบจะไม่เหลือเค้าอะไรให้พวกพี่ชายสังเกตว่าผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอียิปต์ท่านนี้คือเด็กหนุ่มที่พวกเขาเคยขายให้ชาวอิชมาเอล ครั้นโยเซฟเห็นพี่ชายก้มกราบถึงดิน ท่านหวนคิดถึงความฝันในอดีต ภาพแห่งความทรงจำผุดขึ้นเด่นชัดในใจของท่าน ท่านมองพวกพี่ชายด้วยสายตาที่แหลมคมและสังเกตว่าเบนยามินไม่ได้อยู่ด้วย โยเซฟสงสัยว่าน้องเบนยามินตกเป็นเหยื่อของคนเหี้ยมโหดเหล่านี้ไปแล้วกระมัง ท่านต้องการจะรู้ความจริงให้ได้ จึงพูดด้วยเสียงกร้าวว่า “พวกเจ้าเป็นคนสอดแนม แอบมาดูความอ่อนแอของบ้านเมือง” {PP 224.3}

พวกเขาตอบว่า “นาย มิใช่เช่นนั้น ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านมาซื้ออาหาร ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน เป็นคนซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ของท่านมิใช่คนสอดแนม” โยเซฟอยากรู้ว่าพวกพี่ชายยังมีใจหยิ่งยโสเหมือนแต่ก่อนหรือไม่ ขณะเดียวกันก็อยากได้ข่าวจากทางบ้าน แต่หากถามไปตรงๆ ก็รู้ดีว่าพวกพี่อาจปั้นเรื่องให้ฟังก็ได้ จึงกล่าวหาพี่ๆ อีกครั้ง พวกเขาตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายผู้รับใช้ของท่านเป็นพี่น้อง 12 คน เป็นบุตรร่วมบิดาเดียวกัน อยู่ในแคว้นคานาอัน น้องสุดท้องยังอยู่กับบิดา แต่น้องอีกคนหนึ่งเสียเสียแล้ว” {PP 225.1}

ลองใจ

โยเซฟทำทีสงสัยว่าเรื่องที่พวกพี่ชายเล่ามานั้นจะเป็นความจริงหรือเปล่า และแกล้งใส่ความว่าพวกเขาคงมาเพื่อสอดแนม จึงบอกว่าจะพิสูจน์ความจริงโดยให้ทุกคนยังคงค้างอยู่ในอียิปต์และให้คนหนึ่งไปพาน้องชายคนสุดท้องมา ถ้าไม่ยอมก็จะถือว่าเป็นผู้สอดแนมจริง แต่ลูกชายทั้งหลายของยาโคบไม่สามารถตกลงตามเงื่อนไขนี้ได้ เพราะกว่าจะเดินทางกลับไปกลับมาครอบครัวคงขาดอาหารเป็นแน่ และใครในพวกเขากันเล่าที่จะทิ้งพี่น้องไว้ในคุกแล้วเดินทางคนเดียว คนนั้นจะสู้หน้าพ่อได้อย่างไร ดูเหมือนว่าพวกเขาคงต้องถูกฆ่าตายในอียิปต์หรือไม่ก็ต้องกลายเป็นทาส ถ้านำเบนยามินมาอีกคนก็คงต้องร่วมชะตากรรมอันเดียวกัน พวกเขาจึงตัดสินใจที่จะอยู่ที่นั่นและทนต่อความลำบากด้วยกันเพื่อไม่ให้พ่อต้องโศกเศร้าเสียใจที่ต้องสูญเสียลูกชายคนสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาก็ถูกจับโยนเข้าคุก และอยู่ในนั้น 3 วัน {PP 225.2}

ช่วงเวลาที่โยเซฟถูกแยกจากพี่น้อง พวกพี่ชายได้เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยไปจากเดิม แต่ก่อนนั้นพวกเขามีนิสัยขี้อิจฉา ก้าวร้าว เป็นนักหลอกลวง ทารุณ และผูกพยาบาท บัดนี้เมื่อเคราะห์ร้ายมาทดสอบ ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาไม่เห็นแก่ตัว หากแต่ซื่อสัตย์ต่อกัน ซื่อสัตย์ต่อบิดา และแม้ว่าพวกเขาอยู่ในวัยกลางคนกันแล้วแต่ทุกคนก็ยังอยู่ในโอวาทของบิดา {PP 225.3}

3 วันที่พี่ชายถูกจองจำอยู่ในอียิปต์เป็นเวลาที่แสนเศร้าและยิ่งขมขื่นเมื่อนึกถึงบาปที่พวกเขาเคยทำในอดีต ถ้าหากไม่สามารถพาเบนยามินมาที่นี่ได้ก็ดูเหมือนว่าคงต้องถูกลงโทษในข้อหาเป็นผู้สอดแนมแน่ๆ และแทบจะไม่ต้องหวังว่าพ่อจะยอมให้เบนยามินมา ในวันที่สามโยเซฟให้พวกพี่ชายเข้าพบเพราะไม่กล้าถ่วงเขาไว้นานกว่านี้ ถึงบัดนี้พ่อและครอบครัวที่อยู่ด้วยอาจย่ำแย่เพราะไม่มีอาหารแล้ว โยเซฟจึงกล่าวว่า “ทำดังนี้แล้วจะรอดชีวิต เพราะเรายำเกรงพระเจ้า ถ้าพวกเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์ จงให้คนหนึ่งในพวกเจ้าถูกจำอยู่ในคุก คนอื่นนำข้าวไปเพื่อบรรเทาการกันดารอาหารที่บ้านของเจ้า แล้วพาน้องสุดท้องมาหาเรา ดังนั้นจึงจะเห็นได้ว่าพวกเจ้าพูดจริง แล้วพวกเจ้าจะไม่ตาย” พวกพี่ชายยอมตกลงตามข้อเสนอนี้ แต่บอกว่าถึงอย่างไรพ่อคงไม่ยอมให้เบนยามินกลับมากับเขาดอก โยเซฟพูดกับพวกเขาผ่านล่าม พี่ชายจึงคิดว่าท่านคงไม่เข้าใจ จึงคุยกันอย่างเปิดเผยต่อหน้าท่านและโทษตัวเองเรื่องท่านว่า “ที่จริงเรามีความผิดเรื่องน้องเรา เพราะเราได้เห็นความทุกข์ใจของน้องเมื่อเขาอ้อนวอนเรา แต่แล้วมิได้ฟัง เพราะฉะนั้นความทุกข์ใจทั้งนี้จึงบังเกิดแก่เรา” ฝ่ายรูเบนที่เคยวางแผนช่วยโยเซฟครั้งที่อยู่โดธานนั้นพูดว่า “ข้าห้ามเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าอย่าทำบาปผิดต่อเด็กนั้นแต่พวกเจ้าไม่ฟัง เหตุฉะนั้นการพิพากษาเรื่องโลหิตของน้องจึงมาถึง” โยเซฟได้ยินแต่แล้วก็ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่จึงออกไปร้องไห้ เมื่อกลับเข้ามาก็สั่งให้มัดสิเมโอนต่อหน้าพวกเขาและให้ขังไว้ในคุกต่อ เหตุที่เลือกพี่ชายคนนี้เพราะว่าเมื่อครั้งที่บรรดาพี่ชายจับโยเซฟนั้น สิเมโอนเป็นตัวตั้งตัวตีและคอยยั่วยุคนอื่นให้ลงมือ {PP 225.4}

ก่อนที่จะยอมให้พวกพี่ชายออกเดินทางนั้น โยเซฟสั่งให้คนใช้เอาเสบียงอาหารให้และแอบเอาถุงเงินของแต่ละคนใส่ไว้ในปากกระสอบอาหาร นอกจากนั้นได้จัดอาหารให้แก่สัตว์ด้วย ในขณะที่เดินทางกลับนั้นมีคนหนึ่งเปิดกระสอบของตนแล้วต้องตกใจเมื่อเห็นถุงเงินของเขาอยู่ในนั้น เมื่อเล่าให้พี่น้องฟังต่างก็ตะลึงงันแล้วอุทานออกมาว่า “ที่พระเจ้าทรงกระทำดังนี้แก่เราจะเป็นอย่างไรหนอ” พวกเขาไม่รู้ว่าจะถือเป็นลางดีจากพระเจ้า หรือว่าพระองค์ทรงให้เกิดขึ้นเพื่อเป็นการลงโทษพวกเขาให้ต้องทนทุกข์ลำบากมากขึ้นอีก ทุกคนเห็นพ้องต้องกันว่าพระเจ้าทรงประจักษ์ในความบาปที่ตนได้กระทำและบัดนี้พระองค์ทรงลงโทษอยู่ {PP 226.1}

ลางร้าย

ยาโคบรอการกลับบ้านของลูกชายด้วยใจจดใจจ่อ และเมื่อพวกเขามาถึง คนในค่ายก็พากันมาห้อมล้อม ขณะที่ลูกๆ เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พ่อฟัง ทุกคนถึงกับตกตะลึง คิดว่าการกระทำของผู้ปกครองอียิปต์นั้นคงเป็นลางร้าย และดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นเพราะเมื่อเปิดปากกระสอบก็พบถุงเงินของแต่ละคนวางไว้ในปากกระสอบของตน ยาโคบบิดาผู้ชรากล่าวด้วยความกลัดกลุ้มใจว่า “พวกเจ้าทำให้เราพลัดพรากจากลูกของเรา โยเซฟก็เสียไปแล้ว สิเมโอนก็เสียไปแล้ว แล้วยังจะเอาเบนยามินไปอีกคน เราต้องทนความทุกข์เหล่านี้ทั้งหมด” รูเบนตอบว่า “ถ้าลูกไม่พาเบนยามินกลับมาให้พ่อ พ่อจงเอาบุตรชายทั้ง 2 คนของลูกฆ่าเสีย จงมอบเบนยามินไว้ในความดูแลของลูกเถิด ลูกจะนำกลับมาหาพ่ออีก” ถ้อยคำของรูเบนที่ขาดการยั้งคิดไม่ได้ช่วยบรรเทาความกังวลของยาโคบแต่อย่างใด ยาโคบจึงตอบว่า “เราไม่ยอมให้ลูกของเราไปกับเจ้า เพราะพี่ชายก็ตายเสียแล้ว เหลือแต่เบนยามินคนเดียว ถ้าเกิดอันตรายแก่ลูกเราในเวลาเดินทางไปกับเจ้า เจ้าจะพาผมหงอกของเราลงสู่แดนคนตายด้วยความทุกข์” {PP 226.2}

แผ่นดินยังคงประสบกับสภาวะข้าวยากหมากแพง ในที่สุดข้าวที่นำมาจากอียิปต์จวนจะหมดอยู่รอมร่อ บุตรชายของยาโคบรู้ว่าคงไม่มีประโยชน์ที่จะกลับไปอียิปต์ถ้าไม่พาเบนยามินไปด้วย แต่ก็ไม่กล้าหวังที่จะเปลี่ยนใจของพ่อได้ จึงรอดูต่อไปอย่างเงียบๆ เงามืดแห่งทุพภิกขภัยคืบคลานเข้ามาทุกทีๆ ยาโคบอ่านใบหน้าของคนในค่ายและเห็นความต้องการของทุกคน ในที่สุดจึงกล่าวว่า “ไปซื้ออาหารมาอีกหน่อย” {PP 227.1}

ยูดาห์ตอบว่า “ท่านกำชับพวกลูกอย่างเด็ดขาดว่า ‘ถ้าไม่ได้น้องชายมาด้วย พวกเจ้าจะไม่เห็นหน้าเราอีก’ ถ้าพ่อใช้ให้น้องไปกับพวกลูก ลูกจะลงไปซื้ออาหารให้พ่อ แต่ถ้าแม้พ่อไม่ให้น้องไป พวกลูกจะไม่ไป เพราะเจ้านายท่านบัญชาแก่พวกลูกว่า ‘ถ้าไม่ได้น้องมาด้วยจะไม่ได้เห็นหน้าเราอีก’” เมื่อยูดาห์เห็นว่าพ่อเริ่มใจอ่อนจึงพูดต่อไปว่า “ขอพ่อให้เด็กนั้นไปกับฉัน เราจะได้ออกเดินทางไปเพื่อจะได้มีอาหารกินไม่ตาย ทั้งพวกลูกและพ่อกับลูกอ่อนทั้งหลายของเราด้วย” ยูดาห์เสนอที่จะรับประกันความปลอดภัยของน้องชายและยอมถูกประนามตลอดไปถ้าไม่สามารถนำเบนยามินกลับมาให้พ่อได้ {PP 227.2}

จำยอม

ยาโคบไม่อาจปฏิเสธต่อไปได้อีก ท่านจึงสั่งให้ลูกๆ เตรียมตัวออกเดินทางและกำชับให้เอาของกำนัลที่พอจะหาได้ในแผ่นดินที่กำลังประสบกับการกันดารอาหารไปให้ผู้นำอียิปต์ เช่น “พิมเสนบ้าง น้ำผึ้งบ้าง ยางไม้และเปลือกไม้ชะมด มะม่วงหิมพานต์และจาวอัลมันด์” ทั้งได้เอาเงินไป 2 เท่า ยาโคบยังเสริมต่ออีกว่า “จงพาน้องชายของเจ้ากลับไปหาเจ้านายท่าน” ในขณะที่ลูกๆ กำลังจะออกเดินทางนั้น ยาโคบรู้สึกไม่แน่ใจขึ้นมาเกี่ยวกับการไปครั้งนี้ ชายชราลุกขึ้นและยกมือขึ้นสู่สวรรค์อธิษฐานว่า “ขอพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์โปรดให้เจ้านายท่านกรุณาแก่พวกเจ้า และปล่อยพี่ชายกับเบนยามินกลับมา หากว่าเราจะต้องเสียใจเพราะบุตรจากไปก็ตามเถิด” {PP 227.3}

ลูกชายของยาโคบเดินทางไปอียิปต์อีกครั้งและเข้าพบท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ทันทีที่โยเซฟเหลือบเห็นเบนยามินน้องชายร่วมมารดาก็เกิดความสะเทือนใจยิ่งนัก แต่ก็ซ่อนความรู้สึกเอาไว้ สั่งให้พาคนเหล่านี้ไปที่บ้านและตระเตรียมอาหารไว้รับประทานร่วมกัน เมื่อพวกพี่ชายถูกพาไปที่บ้านโยเซฟก็ถึงกับตกตะลึง กลัวว่าจะต้องรับผิดชอบเรื่องเงินที่พบในปากกระสอบ พวกเขาคิดว่าเงินนั้นอาจจะมีคนจงใจใส่ไว้เพื่อเป็นช่องทางใส่ร้ายและจับพวกเขาเป็นทาส พวกเขาปรึกษากับคนต้นเรือนด้วยใจเป็นทุกข์และเล่าให้ฟังถึงเหตุการณ์ต่างๆ ในการมาเยือนประเทศอียิปต์ครั้งแรก และเพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจได้ชี้แจงว่าพวกเขาได้นำเงินที่พบในปากกระสอบมา พร้อมกับเงินที่จะซื้ออาหาร โดยกล่าวว่า “เงินที่อยู่ในกระสอบนั้นผู้ใดใส่ไว้ข้าพเจ้าไม่ทราบเลย” คนต้นเรือนตอบว่า “อย่าเป็นห่วงเลย อย่ากลัวเลย พระเจ้าของท่านและพระเจ้าของบิดาท่านบันดาลให้มีทรัพย์อยู่ในกระสอบเพื่อท่าน เงินของท่านนั้นเราได้รับแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น พี่ชายของโยเซฟก็หายกังวล และเมื่อสิเมโอนถูกปล่อยออกจากคุกมาอยู่กับพี่น้อง พวกเขารู้สึกว่าพระเจ้าทรงพระกรุณาต่อพวกเขาจริงๆ {PP 227.4}

อำพรางตัว

เมื่อโยเซฟพบพี่ๆ อีกครั้ง พวกเขาได้มอบของกำนัล “แล้วกราบลงถึงดิน” โยเซฟย้อนคิดถึงความฝันสมัยเป็นเด็กอีกที และหลังจากทักทายแขกเสร็จจึงรีบถามถึงพ่อว่า “บิดาผู้ชราที่พวกเจ้ากล่าวถึงครั้งก่อนนั้นสบายดีหรือ ยังมีชีวิตอยู่หรือ” พวกพี่ชายกราบลงถึงดินขณะที่ตอบโยเซฟว่า “บิดาของข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านอยู่สบายดี ยังมีชีวิตอยู่” แล้วโยเซฟชำเลืองไปมองเบนยามินและพูดว่า “คนนี้เป็นน้องสุดท้องที่พวกเจ้าบอกแก่เราครั้งก่อนหรือ” “ลูกเอ๋ย ขอให้พระเจ้าทรงเมตตาแก่เจ้า” โยเซฟรู้สึกตื้นตันใจด้วยความเอ็นดูที่มีต่อน้องจนพูดไม่ออก “ท่านเข้าไปในห้อง ร้องไห้อยู่ที่นั่น” {PP 228.1}

เมื่อควบคุมอารมณ์ได้แล้วโยเซฟก็กลับเข้ามา ทุกคนจึงไปที่งานเลี้ยง ส่วนกฎธรรมเนียมว่าด้วยชั้นวรรณะของชาวอียิปต์ก็ห้ามร่วมรับประทานอาหารกับคนชาติอื่น ฉะนั้นลูกๆ ของยาโคบจึงนั่งที่โต๊ะซึ่งจัดไว้สำหรับพวกเขา ส่วนโยเซฟซึ่งมีตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินนั่งโต๊ะเดี่ยวและคนอียิปต์ก็แยกโต๊ะต่างหาก เมื่อทุกคนนั่งลงแล้ว พี่น้องของโยเซฟต่างประหลาดใจเมื่อพบว่าที่นั่งของพวกเขาได้ถูกจัดเรียงไว้ตามลำดับอายุ “แล้วโยเซฟก็ส่งของรับประทานให้พี่น้องเหล่านั้น แต่ของที่ส่งให้เบนยามินนั้นมากกว่าของพี่ชายถึง 5 เท่า” ที่โยเซฟให้อาหารเบนยามินมากอย่างนี้ก็เพื่อเป็นการลองใจพี่ชายว่ายังจะคิดอิจฉาและเกลียดน้องสุดท้องเหมือนที่ตนเคยประสบหรือไม่ ส่วนพี่ชายยังคงคิดว่าโยเซฟไม่เข้าใจภาษาของเขาจึงพูดคุยกันอย่างเปิดเผย นับเป็นโอกาสดีสำหรับโยเซฟที่จะรับรู้ความรู้สึกที่แท้จริงของพวกเขา แต่โยเซฟยังอยากทดสอบพี่ๆ ต่อไป จึงสั่งให้คนใช้นำจอกเงินของตนไปซ่อนไว้ในกระสอบของน้องสุดท้องก่อนที่พวกเขาจะกลับ {PP 228.2}

พวกเขาออกเดินทางมุ่งหน้ากลับบ้านด้วยความยินดี มีสิเมโอนกับเบนยามินไปด้วย สัตว์เลี้ยงของแต่ละคนบรรทุกข้าวไว้เต็มหลัง พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่ได้รอดพ้นจากอันตรายที่ดูเหมือนจะรุมล้อมอยู่ทุกด้าน แต่ในขณะที่พวกเขายังไม่พ้นชานเมือง อยู่ๆ คนต้นเรือนของผู้ปกครองอียิปต์ก็ไล่ตามทันและถามอย่างดุดันว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงทำชั่วตอบความดีเล่า ทำไมจึงขโมยจอกเงินของเรามา จอกนั้นเป็นจอกเฉพาะที่เจ้านายของข้าใช้ดื่มและใช้ทำนายมิใช่หรือ เจ้าทำเช่นนี้ผิดมาก” คนสมัยนั้นเชื่อว่าจอกชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษสามารถบอกได้เมื่อมียาพิษอยู่ข้างใน จอกชนิดนี้จึงมีค่ามากในเวลานั้นเพราะเป็นเครื่องป้องกันการถูกวางยา {PP 229.1}

เขาทั้งหลายจึงตอบคำกล่าวหาของคนต้นเรือนว่า “เหตุใดเจ้านายของเราจึงพูดเช่นนั้น ไม่มีทางที่ผู้รับใช้ของท่านจะทำเช่นนั้น พวกเราอุตส่าห์นำเงินจากดินแดนคานาอันที่พบในปากกระสอบของเรามาคืนให้ท่าน แล้วทำไมเราจึงต้องขโมยเงินหรือทองจากบ้านนายของท่านด้วย ถ้าพบถ้วยเงินของนายท่านอยู่ที่ผู้รับใช้ของท่านคนใด ก็ให้ผู้นั้นตายเสียเถิด แล้วพวกเราที่เหลือทั้งหมดจะยอมเป็นทาสนายของท่าน” (ปฐมกาล 44:7–9 TNCV) {PP 229.2}

คนต้นเรือนตอบว่า “ให้เป็นไปตามคำที่ท่านว่า ถ้าเราพบของนั้นที่ผู้ใด ผู้นั้นจะต้องเป็นทาสของเรา แต่ท่านทั้งหลายหามีความผิดไม่” {PP 229.3}

คนต้นเรือนเริ่มค้นหาจอกทันที “พวกเขาทุกคนจึงรีบยกกระสอบของตนวางลงบนดิน” ตั้งแต่รูเบนจนถึงน้องคนสุดท้อง แล้วก็พบจอกนั้นในกระสอบของเบนยามิน {PP 229.4}

เห็นการเปลี่ยนแปลง

พวกพี่ชายรู้สึกสิ้นหวังสุดบรรยายจึงฉีกเสื้อผ้าของตนแล้วกลับเข้าเมืองไปด้วยใจหดหู่ เบนยามินจะต้องตกเป็นทาสตามที่ตกลงกันไว้ พวกเขาติดตามคนต้นเรือนมาถึงจวนของผู้ปกครองอียิปต์ และพบว่าท่านยังคงอยู่ที่นั่น จึงกราบลงถึงดินต่อหน้าท่าน โยเซฟถามว่า “พวกเจ้าทำอะไรนี่ พวกเจ้าไม่รู้หรือว่าคนอย่างเราทำนายได้” โยเซฟพูดเช่นนี้หวังให้พวกพี่ชายยอมรับความผิดของเขา ในที่นี้โยเซฟไม่ได้สำคัญว่าตนมีอำนาจทำนายได้จริงๆ แต่ใคร่จะให้พี่ๆ เชื่อว่าตนสามารถอ่านความลับในชีวิตของพวกเขาได้ {PP 229.5}

ยูดาห์ตอบว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายจะตอบอย่างไรกับนาย ข้าพเจ้าจะพูดอย่างไรหรือจะแก้ตัวอย่างไรได้ พระเจ้าทรงทราบความผิดของพวกข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านแล้ว ข้าแต่ท่าน พวกข้าพเจ้ายอมเป็นทาสของท่าน ทั้งข้าพเจ้าทั้งหลายกับคนที่เขาพบจอกอยู่ในมือนั้นด้วย” {PP 229.6}

แต่โยเซฟตอบกลับไปว่า “เราจะไม่ทำดังนั้น เฉพาะคนที่เขาพบจอกในมือนั้นจะเป็นทาสของเรา ส่วนพวกเจ้าจงกลับไปหาบิดาโดยสันติเถิด” {PP 230.1}

ยูดาห์เข้าไปใกล้โยเซฟด้วยใจเป็นทุกข์ยิ่ง เรียนว่า “นายขอรับ ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่าน ขอกราบเรียนท่านสักคำหนึ่ง ขอท่านอย่าได้ถือโกรธข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านเลย เพราะท่านก็เป็นเหมือนฟาโรห์” ยูดาห์ใช้คำพูดโน้มน้าวอย่างจับใจ บรรยายถึงความเศร้าโศกของบิดาที่สูญเสียโยเซฟ และความลังเลที่จะพาเบนยามินมายังอียิปต์ด้วย เพราะเขาเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลืออยู่ของราเชลผู้เป็นภรรยาที่ยาโคบรักมาก ยูดาห์กล่าวต่อไปว่า “เหตุฉะนั้น หากข้าพเจ้ากลับไปหาบิดาผู้รับใช้ของท่าน และเด็กหนุ่มนั้นมิได้กลับไปกับข้าพเจ้า เมื่อบิดาเห็นเด็กนั้นไม่อยู่กับพวกข้าพเจ้า บิดาก็จะตายเพราะชีวิตของท่านติดอยู่กับชีวิตของเด็ก ผู้รับใช้ของท่านจะเป็นเหตุให้บิดาผู้รับใช้ของท่านผู้มีผมหงอกลงสู่แดนคนตายด้วยความโศกเศร้า ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านรับประกันน้องไว้ต่อบิดาว่า ‘ถ้าข้าพเจ้าไม่พาน้องกลับมา ข้าพเจ้าจะรับผิดต่อบิดาตลอดชีวิต’ เพราะฉะนั้น ขอโปรดให้ข้าพเจ้าผู้รับใช้ของท่านอยู่แทนน้อง โดยเป็นทาสของนาย ขอให้น้องกลับไปกับพวกพี่เถิด ถ้าน้องมิได้อยู่กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับไปหาบิดาอย่างไรได้ น่ากลัวว่าจะเห็นเหตุร้ายอุบัติขึ้นแก่บิดาข้าพเจ้า” {PP 230.2}

สำแดงตัว

และแล้วโยเซฟก็พอใจ ท่านได้เห็นผลของการกลับใจที่แท้จริงหลังจากที่ได้ฟังยูดาห์แล้วจึงสั่งให้ทุกคนออกไปยกเว้นพี่น้อง จากนั้นโยเซฟก็ร้องไห้ออกมาด้วยเสียงดังพลางกล่าวว่า “เราคือโยเซฟ บิดาเรายังมีชีวิตอยู่หรือ” {PP 230.3}

พวกพี่ชายของโยเซฟยืนตัวแข็งพูดไม่ออกด้วยความพรั่นพรึง ผู้ปกครองอียิปต์คนนี้คือโยเซฟเองหรือนี่ ผู้ที่พวกเขาเคยอิจฉาถึงขั้นคิดจะฆ่าเสียแต่แล้วก็ขายไปเป็นทาส พวกเขาสำนึกถึงความผิดทุกอย่างที่เคยทำต่อโยเซฟ ที่เคยชิงชังความฝันของท่านและพยายามขัดขวางไม่ให้เป็นจริง แต่การกระทำของพวกเขากลับเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความฝันเหล่านั้นสำเร็จ ตอนนี้พวกเขาตกอยู่ในกำมือของโยเซฟอย่างสิ้นเชิง โยเซฟคงแก้แค้นพวกเขาเป็นแน่ {PP 230.4}

เมื่อเห็นว่าพี่ชายเกิดความสับสนโยเซฟจึงกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “เชิญเข้ามาใกล้เราเถิด” เมื่อพวกเขาเดินเข้ามาใกล้โยเซฟก็กล่าวต่อไปว่า “เราคือโยเซฟน้องที่พี่ขายมายังอียิปต์ แต่บัดนี้อย่าเสียใจไปเลย อย่าโกรธตัวเองที่ขายเรามาที่นี่ เพราะว่าพระเจ้าทรงใช้เราให้มาก่อนหน้าพี่เพื่อจะได้ช่วยชีวิต” โยเซฟรู้สึกว่าพี่ชายได้รับผลกรรมที่เคยทำไว้กับตนเพียงพอแล้ว จึงพยายามหาทางขจัดความกลัวและช่วยทุเลาความขมขื่นจากความรู้สึกผิดของพวกเขา {PP 230.5}

โยเซฟกล่าวต่อไปว่า “เพราะมีการกันดารอาหารในแผ่นดิน 2 ปีแล้ว ยังอีก 5 ปีจะไถนาหรือเกี่ยวข้าวไม่ได้เลย พระเจ้าทรงใช้เรามาก่อนพี่ เพื่อสงวนคนที่เหลือส่วนหนึ่งบนแผ่นดินไว้ให้พี่ และช่วยชีวิตของพี่ไว้ด้วยการช่วยกู้อันใหญ่หลวง ฉะนั้นมิใช่พี่เป็นผู้ให้เรามาที่นี่ แต่พระเจ้าทรงให้มา พระองค์ทรงโปรดให้เราเป็นเหมือนตัวบิดาฟาโรห์ เป็นเจ้าในราชวังทั้งสิ้นและเป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด รีบไปหาบิดาเรา บอกท่านว่า ‘โยเซฟบุตรของท่านพูดดังนี้ว่า พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าเป็นเจ้าเหนืออียิปต์ทั้งสิ้น ขอไปหาลูกอย่าได้ช้า พ่อจะได้อาศัยอยู่ในเมืองโกเชน และพ่อจะได้อยู่ใกล้ลูก ทั้งตัวพ่อกับลูกหลานและฝูงแพะแกะฝูงโคและทรัพย์ทั้งหมดของพ่อ ลูกจะบำรุงรักษาพ่อที่นั่น ด้วยยังจะกันดารอาหารอีก 5 ปี มิฉะนั้นพ่อและครอบครัวของพ่อและผู้คนที่พ่อมีอยู่จะยากจนไป’ นี่แน่ะนัยน์ตาพี่และนัยน์ตาของเบนยามินน้องของฉันได้เห็นว่าเป็นปากของฉันเองที่ได้พูดกับพี่” แล้ว “โยเซฟกอดคอเบนยามินผู้น้องแล้วร้องไห้ เบนยามินก็กอดคอโยเซฟร้องไห้เหมือนกัน โยเซฟจึงจุบพี่ชายทั้งปวงและร้องไห้ พี่น้องก็สนทนากับโยเซฟ” พวกพี่ชายต่างสารภาพความบาปของตนและอ้อนวอนขอการอภัย พวกเขาเคยกังวลและเศร้าโศกเป็นเวลานาน บัดนี้จึงยินดีที่เห็นโยเซฟยังมีชีวิตอยู่ {PP 231.1}

การรับรองของกษัตริย์ฟาโรห์

เรื่องราวเหล่านี้ได้ไปถึงหูกษัตริย์อย่างรวดเร็ว พระองค์ปรารถนาที่จะตอบแทนบุญคุณของโยเซฟอย่างมาก จึงรับรองการมาของครอบครัวโยเซฟว่า “เราจะประทานของดีที่สุดในแผ่นดินอียิปต์ให้พวกเจ้า” โยเซฟจึงส่งพี่น้องพร้อมเสบียงอาหารมากมายทั้งเกวียนและสิ่งของอื่นๆ ที่จำเป็นสำหรับการโยกย้ายครอบครัวและผู้ติดตามทั้งหมดมายังอียิปต์ โยเซฟได้ให้ของมีค่าต่างๆ แก่เบนยามินมากกว่าที่ให้คนอื่น ก่อนที่จะจากกันไปท่านเกรงว่าพี่น้องจะทะเลาะกันจึงกำชับว่า “อย่าเดือดดาลกันตามทาง” {PP 231.2}

บุตรทั้งหลายของยาโคบกลับมาหาบิดาพร้อมข่าวที่น่ายินดี “โยเซฟยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ครอบครองประเทศอียิปต์ทั้งหมด” ตอนแรกที่ได้ยินชายชราตกใจไม่อาจเชื่อหูตัวเอง แต่เมื่อเห็นเกวียนและสัตว์เลี้ยงบรรทุกเสบียงตามมาเป็นขบวนยาว และเห็นเบนยามินอีกครั้งหนึ่งจึงเชื่อ ท่านร้องออกมาด้วยความปลื้มปีติว่า “เราอิ่มใจแล้ว โยเซฟลูกเรายังมีชีวิตอยู่ เราจะไปเห็นลูกก่อนเราตาย” {PP 231.3}

ความจริงที่ต้องเผชิญ

ถึงกระนั้นก็ตามพี่ชายทั้งสิบยังต้องละอาย เมื่อพวกเขาสารภาพต่อบิดาว่าได้ทำร้ายโยเซฟและปิดบังเรื่องไว้จนทำให้บิดาและพวกตนต้องขมขื่นใจตลอดหลายปีที่ผ่านมา ยาโคบไม่เคยสงสัยว่าลูกชายจะประพฤติต่ำช้าขนาดนี้ แต่ท่านเห็นว่าพระเจ้าทรงให้เรื่องร้ายทั้งหมดจบลงด้วยดี จึงให้อภัยและอวยพรบรรดาบุตรที่หลงผิด {PP 232.1}

ไม่นานต่อมาบิดาพร้อมกับบุตรและครอบครัวของพวกเขา ทั้งฝูงแพะแกะและผู้ติดตามอีกจำนวนมากออกเดินทางสู่แผ่นดินอียิปต์ พวกเขาเดินทางไปด้วยใจเบิกบานและเมื่อมาถึงเบเออร์เชบา ยาโคบได้ถวายเครื่องบูชาโมทนาพระคุณและอ้อนวอนขอการยืนยันว่าพระเจ้าจะเสด็จไปกับพวกเขา พระองค์ตรัสแก่ยาโคบผ่านนิมิตในกลางคืนว่า “อย่ากลัวที่จะไปอียิปต์ เพราะเราจะให้เจ้าเป็นประชาชาติใหญ่ที่นั่น เราจะไปกับเจ้าถึงอียิปต์ และเราจะพาเจ้ากลับมาอีกด้วยแน่” {PP 232.2}

พระดำรัสยืนยันที่ว่า “อย่ากลัวที่จะไปอียิปต์ เพราะเราจะให้เจ้าเป็นประชาชาติใหญ่ที่นั่น” เป็นข้อยืนยันที่สำคัญ พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมว่าพงศ์พันธุ์ของท่านจะมีมากดุจดวงดาวที่นับไม่ถ้วน แต่ถึงบัดนี้พวกเขายังมีอยู่น้อยคนนัก และขณะนี้แผ่นดินคานาอันไม่เอื้อต่อการเติบโตของชนชาติดังที่ได้ทรงสัญญาไว้ ชนต่างชาติที่เรืองอำนาจจะยังคงครอบครองแผ่นดินนี้จนถึง “ชั่วอายุที่สี่” (ปฐมกาล 15:16 TH1971) หากว่าพงศ์พันธุ์อิสราเอลมีจำนวนมากในดินแดนนี้ พวกเขาจะต้องขับไล่ชาวเมืองออกไปหรือไม่ก็อาศัยปะปนอยู่ด้วยกัน แต่พระเจ้ายังไม่ให้ขับไล่ชาวคานาอัน และถ้าอาศัยอยู่ร่วมกับพวกเขาก็จะเข้าสู่อันตรายด้วยถูกล่อลวงให้บูชารูปเคารพ แต่ที่แผ่นดินอียิปต์มีปัจจัยที่ช่วยให้พระประสงค์ของพระเจ้าสำเร็จได้ ที่นั่นเขาได้รับผืนดินส่วนหนึ่งที่มีน้ำและความอุดมสมบูรณ์ที่จะอำนวยต่อการเพิ่มจำนวนประชากรอย่างรวดเร็ว และที่คนอียิปต์เกลียดชังผู้เลี้ยงแพะแกะจะช่วยแยกคนอิสราเอลออกมาและปิดกั้นไม่ให้พัวพันกับรูปเคารพของชาวอียิปต์ {PP 232.3}

ต้อนรับขบวนจากคานาอัน

เมื่อถึงประเทศอียิปต์ขบวนคาราวานเดินทางตรงไปที่โกเชน โยเซฟขึ้นราชรถไปรออยู่ที่นั่นพร้อมด้วยเหล่าบริวาร ขณะนั้นท่านได้ลืมความโอ่อ่าของกองทหารและความสง่าแห่งตำแหน่งที่ได้รับ มีเพียงความคิดเดียวที่อยู่ในใจ ความปรารถนาเดียวที่ตราตรึงหัวใจท่านอยู่ เมื่อมองเห็นขบวนที่เดินทางใกล้เข้ามา ความรู้สึกห่วงหาที่อัดอั้นไว้หลายปีไม่อาจกลั้นไว้ได้อีกแล้ว ท่านโผออกจากรถม้าและรีบวิ่งไปต้อนรับบิดา “ท่านก็กอดคอบิดาไว้ร้องไห้เป็นเวลานาน อิสราเอลพูดกับโยเซฟว่า ‘พ่อจะตายก็ตามเถิดเพราะพ่อได้เห็นหน้าเจ้าแล้วและรู้ว่าเจ้ายังมีชีวิตอยู่’” {PP 233.1}

โยเซฟพาพี่ชาย 5 คนเข้าเฝ้าฟาโรห์และรับพระราชทานที่ดินเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของพวกเขา ด้วยความที่อยากตอบแทนบุญคุณโยเซฟ ฟาโรห์คงได้แต่งตั้งพวกเขาให้ช่วยงานราชการก็เป็นได้ แต่โยเซฟซึ่งยึดมั่นในการนมัสการพระเยโฮวาห์ กลัวว่าพี่ๆ อาจถูกทดลองเมื่ออยู่ในราชสำนักของคนต่างศาสนา จึงแนะนำว่าหากฟาโรห์ถามเรื่องอาชีพก็ให้ทูลตอบตรงๆ ลูกๆ ของยาโคบทำตามคำแนะนำ ทูลไปอย่างระมัดระวังว่าพวกตนมาอาศัยชั่วคราว ไม่คิดจะอยู่ถาวร ที่ทูลตอบไปอย่างนั้นก็เพื่อให้สามารถย้ายออกไปได้ถ้าต้องการ พระราชาจึงมอบ “ดินแดนดีที่สุด” ให้เป็นที่อยู่อาศัย คือให้เขาอยู่ในแคว้นโกเชน {PP 233.2}

หลังจากที่พวกเขามาถึงไม่นานโยเซฟก็พาบิดาไปเข้าเฝ้าฟาโรห์ ยาโคบไม่คุ้นเคยกับธรรมเนียมปฏิบัติในวัง แต่ท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามท่านเคยสนทนากับพระเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่าฟาโรห์ บัดนี้ท่านจึงยกมือขึ้นอวยพรฟาโรห์อย่างไม่รู้สึกประหม่า {PP 233.3}

เมื่อยาโคบมาพบกับโยเซฟครั้งแรกนั้นท่านพูดในทำนองว่าถ้าท่านจะตายก็พร้อมแล้วเพราะความกังวลและความเศร้าโศกที่แบกรับมานานได้จบลงด้วยความยินดี แต่พระเจ้ายังประทานให้ท่านมีชีวิตอันสงบสุขในเมืองโกเชนต่ออีก 17 ปี ท่านมีความสุขในปีเหล่านี้ ช่างแตกต่างไปจากชีวิตก่อนหน้านั้น ได้เห็นลูกๆ กลับใจอย่างแท้จริงและเห็นครอบครัวอยู่ในสภาพแวดล้อมที่จะอำนวยต่อการเติบโตเป็นชาติใหญ่ ท่านเชื่อมั่นในพระสัญญาที่ว่าพงศ์พันธุ์ของท่านจะตั้งหลักปักฐานในแผ่นดินคานาอัน ท่านได้รับความรักและความช่วยเหลือทุกอย่างที่ผู้ปกครองอียิปต์จะให้ได้ ทั้งมีความสุขที่ได้อยู่กับบุตรชายที่หายสาบสูญไปนาน นับว่าเป็นบั้นปลายชีวิตที่สงบสุขทีเดียว {PP 233.4}

ยาโคบสั่งลา

เมื่อยาโคบรู้ว่าตนใกล้จะตายจึงเรียกโยเซฟมาพบ ท่านยังยึดมั่นในพระสัญญาที่จะได้แผ่นดินคานาอันเป็นมรดกจึงกล่าวว่า “อย่าฝังศพเราไว้ในอียิปต์ เมื่อเราล่วงหลับไปอยู่กับบรรพบุรุษของเราแล้วจงนำเราออกจากอียิปต์ไปฝังไว้ ณ ที่ฝังศพบิดาเราเถิด” โยเซฟสัญญาว่าจะกระทำตาม แต่นั่นไม่พอ ยาโคบยังให้สาบานว่าต้องฝังศพของตนไว้กับบรรพบุรุษในถ้ำแห่งมัค-เปลาห์ {PP 234.1}

ก่อนที่พ่อจะจากไป โยเซฟเห็นว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องทำ บุตรชายทั้งสองของท่านจะต้องถูกนับรวมกับลูกหลานคนอื่นๆ ของยาโคบอย่างเป็นทางการ เมื่อโยเซฟเข้ามาหาบิดาเป็นครั้งสุดท้าย ก็ได้พาเอฟราอิมกับมนัสเสห์มาด้วย เด็กหนุ่ม 2 คนนี้สืบเชื้อสายตระกูลมหาปุโรหิตอียิปต์โดยทางมารดา และโดยทางบิดาเขาทั้งสองมีโอกาสมั่งคั่งด้วยทรัพย์สินและยศถาบรรดาศักดิ์หากเพียงพวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตกับชาวอียิปต์ แต่โยเซฟปรารถนาให้พวกเขาถูกนับเข้ากับชนชาติของตน โยเซฟได้แสดงให้เห็นถึงความเชื่อในพันธสัญญาของพระเจ้า โดยการสละเกียรติยศทั้งหมดที่คนอียิปต์มอบให้บุตรทั้งสองเพื่อแลกกับการอาศัยอยู่ท่ามกลางคนเลี้ยงแกะที่ถูกดูหมิ่น คือท่ามกลางคนที่พระเจ้าได้ทรงมอบหมายให้รักษาบรรดาพระดำรัสของพระองค์ {PP 234.2}

ยาโคบกล่าวว่า “ส่วนบุตรทั้งสองของเจ้าที่เกิดแก่เจ้าในประเทศอียิปต์ ก่อนพ่อมาหาเจ้าในอียิปต์ก็เป็นบุตรของเรา เอฟราอิมและมนัสเสห์จะต้องเป็นของพ่อเหมือนรูเบนและสิเมโอน” ยาโคบรับเขาทั้งสองไว้เป็นบุตรของตน พวกเขาจะเป็นต้นตระกูลของคนละเผ่าต่อไป ดังนั้นสิทธิบุตรหัวปีส่วนหนึ่งซึ่งพรากไปจากรูเบนจึงตกเป็นของโยเซฟ ผู้ได้รับ 2 เท่าในอิสราเอล {PP 234.3}

ยาโคบชรามาก สายตาพร่ามัว มองไม่เห็นเด็กหนุ่ม 2 คนนั้น แต่เมื่อจับภาพได้ลางๆ จึงถามว่า “นี่ใคร” เมื่อรู้ว่าเป็นบุตรโยเซฟจึงพูดต่อไปว่า “ขอเจ้าพาบุตรทั้งสองเข้ามาเพื่อเราจะได้ให้พรแก่เขา” เมื่อเข้ามาใกล้ ยาโคบก็จุบกอด วางมือบนศีรษะอย่างตั้งใจเพื่อให้พร แล้วกล่าวคำอธิษฐานว่า “ขอพระเจ้าที่อับราฮัมและอิสอัคบิดาข้าพเจ้าดำเนินอยู่เฉพาะพระพักตร์นั้น ขอพระเจ้าผู้ทรงบำรุงเลี้ยงชีวิตข้าพเจ้าตั้งแต่เกิดมาจนวันนี้ ขอทูตสวรรค์ที่ได้ช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความชั่วร้ายทั้งสิ้น โปรดอวยพรแก่เด็กทั้งสองนี้” บัดนี้ยาโคบถือว่าสิ่งดีทั้งหลายที่เกิดกับตนไม่ได้เกิดจากความสามารถของตนหรือการช่วยเหลือของมนุษย์หรือจากไหวพริบที่เฉียบแหลม แต่พระเจ้าทรงปกปักรักษาและช่วยเหลือท่านมาโดยตลอด ท่านไม่บ่นถึงอดีตที่โหดร้าย ไม่ได้ถือว่าการทดลองและความเศร้าโศกในอดีตเป็นความทุกข์ที่ต้องทน ท่านจดจำได้แต่พระคุณและพระเมตตาของพระเจ้าผู้ทรงสถิตกับท่านตลอดชีวิตการเดินทาง {PP 234.4}

คำอวยพรครั้งสุดท้าย

เมื่อให้พรเสร็จแล้วยาโคบเสริมความมั่นใจแก่โยเซฟ ซึ่งถ้อยคำเหล่านี้เป็นพยานถึงความเชื่อของท่านแก่ลูกหลานต่อมาในช่วงเวลาหลายปีแห่งการเป็นทาสที่ต้องทนต่อความทุกข์โศก ท่านกล่าวว่า “ดูเถิด เราจะตายแล้ว แต่พระเจ้าจะทรงสถิตอยู่กับพวกเจ้า จะพาพวกเจ้ากลับไปสู่ดินแดนของบรรพบุรุษของเจ้า” {PP 235.1}

ลูกๆ ของยาโคบทุกคนได้มาห้อมล้อมบิดาที่กำลังจะตาย “ยาโคบเรียกบรรดาบุตรของตนมา สั่งว่า ‘พวกเจ้ามาชุมนุมกัน แล้วเราจะบอกเหตุที่จะบังเกิดแก่เจ้าภายหน้า บุตรของยาโคบเอ๋ย จงมาประชุมกันฟัง จงฟังคำอิสราเอลบิดาของเจ้า’” บ่อยครั้งยาโคบกังวลถึงอนาคตของลูกๆ และพยายามนึกถึงอนาคตของเผ่าต่างๆ ที่จะสืบเชื้อสายต่อจากพวกเขา บัดนี้ลูกทุกคนรอฟังคำอวยพรครั้งสุดท้าย พระวิญญาณของพระเจ้าได้สถิตอยู่กับท่านและทรงสำแดงนิมิตเรื่องอนาคตของพงศ์พันธุ์เหล่านั้นให้ท่านเห็น แล้วท่านได้เอ่ยชื่อของลูกแต่ละคนขึ้น บอกถึงลักษณะนิสัยของแต่ละคน และสรุปอนาคตของแต่ละเผ่าที่จะสืบตระกูลต่อไป {PP 235.2}

“รูเบนเอ๋ย เจ้าเป็นบุตรหัวปีของเรา เป็นกำลังและเป็นผลแรกแห่งเรี่ยวแรงของเรา เป็นยอดแห่งความเย่อหยิ่งและยอดของความรุนแรง” {PP 235.3}

ถ้อยคำดังกล่าวได้เผยถึงอนาคตที่ควรจะเกิดกับรูเบน แต่เพราะความบาปช้าของเขาซึ่งกระทำเมื่อพวกเขาอาศัยอยู่ใกล้หอคอยเอเดอร์ ทำให้รูเบนไม่คู่ควรที่จะรับพรแห่งสิทธิบุตรหัวปี ยาโคบกล่าวต่อไปดังนี้ {PP 235.4}

“เจ้าเดือดดาลอย่างน้ำเชี่ยวจึงเป็นยอดไม่ได้” {PP 235.5}

พระเจ้าทรงเลือกเผ่าเลวีให้ทำหน้าที่ปุโรหิต และทรงสัญญาว่าจะมีพระราชาผู้ครองแผ่นดินและพระเมสสิยาห์บังเกิดมาจากเผ่ายูดาห์ ส่วนโยเซฟจะรับมรดก 2 เท่า ต่อมาเผ่ารูเบนก็ไม่ได้โดดเด่นท่ามกลางเผ่าพันธุ์อิสราเอล มีประชากรน้อยกว่าเผ่ายูดาห์ เผ่าโยเซฟหรือเผ่าดาน และยังเป็นหนึ่งในเผ่าแรกๆ ที่ถูกกวาดไปเป็นเชลย {PP 235.6}

ถัดมาจากรูเบนคือสิเมโอนและเลวีตามลำดับอายุ พวกเขารวมหัวกันทำทารุณกรรมต่อชาวเมืองเชเคม และในเรื่องการขายโยเซฟก็มีความผิดมากกว่าพี่น้องคนอื่น ถ้อยคำของยาโคบเกี่ยวกับบุตรทั้ง 2 คนนี้มีดังนี้ {PP 235.7}

“เราจะให้เขาแตกแยกกันในพวกยาโคบ จะให้เขาพลัดพรากกันไปในคนอิสราเอล” {PP 235.8}

เมื่อนับจำนวนคนอิสราเอลก่อนที่จะเข้าในแผ่นดินคานาอัน เผ่าสิเมโอนมีจำนวนคนน้อยที่สุด ซึ่งต่อมาครั้นโมเสสกล่าวคำอวยพรเป็นครั้งสุดท้ายก็ไม่ได้เอ่ยถึงเผ่านี้เลย ในการตั้งถิ่นฐานในแผ่นดินคานาอันเผ่านี้ได้รับอาณาเขตเพียงส่วนน้อยในดินแดนของยูดาห์ ภายหลังครอบครัวที่พอจะมีอำนาจก็ไปตั้งอาณานิคมอยู่นอกเขตอิสราเอล ส่วนเผ่าเลวีก็ไม่ได้รับมรดกเช่นกัน นอกจาก 48 เมืองที่กระจัดกระจายอยู่ในที่ต่างๆ ของแผ่นดินนั้น แต่ในกรณีของเผ่านี้ พวกเขาสัตย์ซื่อในพระเยโฮวาห์ในขณะที่เผ่าอื่นๆ ละทิ้งพระเจ้า จึงได้รับหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ในพลับพลา ฉะนั้นคำสาปแช่งจึงกลายเป็นพระพร {PP 235.9}

พยากรณ์ถึงเผ่ายูดาห์

พระพรแห่งสิทธิบุตรหัวปีส่วนที่สำคัญที่สุดถูกมอบให้แก่ยูดาห์ ชื่อนี้มีความหมายว่า “การสรรเสริญ” และมีความสำคัญ ดังจะเห็นได้จากคำทำนายที่กล่าวต่อไปนี้ {PP 236.1}

“ยูดาห์เอ๋ย พวกพี่น้องจะสรรเสริญเจ้า มือของเจ้าจะจับคอของศัตรู บุตรชายของบิดาจะกราบเจ้า ยูดาห์เป็นลูกสิงห์ ลูกเอ๋ย เจ้าขึ้นไปจากเหยื่อ เขาก้มลง เขาหมอบลงเหมือนสิงห์ตัวผู้ และเหมือนสิงห์ตัวเมีย ใครจะกล้าแหย่เขาให้ลุกขึ้น ธารพระกรจะไม่ขาดไปจากยูดาห์ ทั้งไม้ถือของผู้ปกครองจะไม่ขาดไปจากหว่างเท้าของเขาจนกว่าชีโลห์จะมา และชนชาติทั้งหลายจะเชื่อฟังผู้นั้น” {PP 236.2}

สิงโตคือเจ้าป่า เหมาะที่จะเป็นสัญลักษณ์ของเผ่านี้ เพราะในเวลาต่อมากษัตริย์ดาวิดก็ถือกำเนิดจากเผ่านี้ และชีโลห์คือพระเมสสิยาห์ผู้เป็น “สิงห์แห่งเผ่ายูดาห์” ที่แท้จริงนั้น ได้สืบเชื้อสายจากเผ่ายูดาห์เช่นกัน แล้วในที่สุดอำนาจทั้งหลายและชนชาติทั้งปวงจะก้มกราบต่อพระพักตร์พระองค์ {PP 236.3}

พิเศษเพื่อโยเซฟ

ยาโคบทำนายว่าลูกๆ ส่วนใหญ่จะมีอนาคตที่เจริญ และในที่สุดเมื่อมาถึงชื่อของโยเซฟ หัวใจของผู้เป็นพ่อก็เปี่ยมล้นขณะที่ขอพรให้ “อยู่เบื้องบนหน้าผากของผู้ที่ต้องพรากจากพี่น้อง” ดังนี้ {PP 236.4}

“โยเซฟเป็นกิ่งที่เกิดผล เป็นกิ่งที่เกิดผลอยู่ริมน้ำพุ มีกิ่งพาดข้ามกำแพง พวกทหารธนูโจมตีเขาอย่างโหดร้ายทั้งยิงและข่มขู่เขา แต่ธนูของเขาเองยืนหยัดต่อสู้ ลำแขนของเขามีกำลังขึ้นโดยพระหัตถ์ของพระผู้ทรงเดชานุภาพของยาโคบ (โดยพระนามของผู้เลี้ยงแกะคือศิลาแห่งอิสราเอล) โดยพระเจ้าของบิดาเจ้าผู้ทรงช่วยเจ้า โดยพระเจ้าองค์ทรงศักดานุภาพใหญ่ยิ่งผู้ทรงอวยพระพรแก่เจ้า ด้วยพรที่มาจากฟ้าเบื้องบน พรที่มาจากใต้ทะเลเบื้องล่าง พรที่มาจากนมและครรภ์ ส่วนพรที่มาจากบิดาของเจ้า ศักดิ์สิทธิ์มากกว่าพรที่มาจากภูเขาถาวร คือจากความสมบูรณ์แห่งเนินเขาเนืองนิตย์ ขอพรเหล่านั้นอยู่บนศีรษะของโยเซฟ และอยู่เบื้องบนหน้าผากของผู้ที่ต้องพรากจากพี่น้อง” {PP 236.5}

ยาโคบเป็นคนที่รักผู้อื่นอย่างทุ่มเทใจ ท่านรักใคร่เอ็นดูลูกๆ มาก คำกล่าวสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจไม่ได้แฝงความลำเอียงหรือความขุ่นเคืองประการใด ท่านได้ยกโทษให้หมดแล้วและรักพวกเขาจนถึงที่สุด ด้วยความรักของผู้เป็นพ่อท่านคงกล่าวเฉพาะคำที่ให้กำลังใจและความหวัง แต่ฤทธานุภาพของพระเจ้าสวมทับตัวท่านจึงกล่าวความจริงถึงแม้จะเจ็บปวดก็ตาม {PP 237.1}

เมื่อกล่าวคำอวยพรสุดท้ายเสร็จสิ้นลง ยาโคบได้กำชับเรื่องสถานที่ฝังศพของตนว่า “เราจะไปอยู่ร่วมกับคนของเรา จงฝังเราไว้กับบรรพบุรุษของเรา…ในถ้ำที่อยู่ในนาชื่อมัคเป-ลาห์” “ณ ที่นั่นเขาฝังศพอับราฮัมและซาราห์ภรรยา ที่นั่นเขาได้ฝังศพอิสอัคและเรเบคาห์ภรรยา และที่นั่นเราฝังศพเลอาห์” ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่ท่านทำคือการแสดงถึงความเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า {PP 237.2}

พักอย่างสันติ

บั้นปลายชีวิตของยาโคบนับเป็นช่วงเวลาที่สุขสงบ ท่านได้พักผ่อนหลังจากที่ต้องผจญกับความทุกข์ยากลำบากมานาน ถึงแม้ชีวิตเคยมืดมนแต่สุดท้ายก็จบลงด้วยดี สันติสุขแห่งสวรรค์ทอแสงในช่วงสุดท้ายของชีวิต พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “เวลาเย็นจะมีแสงสว่าง” (เศคาริยาห์ 14:7 TH1971) “จงหมายคนไร้ตำหนิไว้ และมองดูคนเที่ยงธรรม เพราะสันติชนจะมีอนาคต” (สดุดี 37:37 TH1971) {PP 237.3}

ยาโคบได้ทำบาปและต้องทนทุกข์อย่างหนัก ท่านต้องตรากตรำ วิตก และเศร้าโศกเป็นเวลาหลายปีนับตั้งแต่ที่ทำบาปอันใหญ่หลวงซึ่งเป็นเหตุให้ต้องหนีไปจากเต็นท์ของบิดา ท่านต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยไร้ที่พักอาศัย พลัดพรากจากมารดาโดยไม่มีโอกาสได้พบกันอีกเลย แล้วมาทำงาน 7 ปีเพื่อให้ได้คนที่ตนรักแต่กลับถูกหลอกและกลายเป็นว่าต้องทำงาน 20 ปีให้กับญาติผู้โลภมากและหวังเพียงเพื่อกอบโกยเท่านั้น ท่านร่ำรวยขึ้นและมีบุตรชายหลายคน แต่ชีวิตครอบครัวมีแต่ความแตกแยก จึงไม่มีความสุข ท่านต้องทุกข์ใจเพราะเกิดเรื่องน่าอับอายกับบุตรสาวและต้องสลดใจกับการแก้แค้นของบุตรชาย ท่านเป็นทุกข์เมื่อราเชลตายและในเรื่องความต่ำช้าอุตริของรูเบน ความบาปผิดของยูดาห์ การประทุษร้ายต่อโยเซฟและการปิดบังเรื่องไว้ เมื่อทบทวนชีวิตแล้วท่านเห็นว่าสิ่งเลวร้ายที่ผ่านมาช่างมืดมนและเนิ่นนานเสียเหลือเกิน ท่านต้องเก็บเกี่ยวผลแห่งความผิดที่ได้ทำไปครั้งแรกมาโดยตลอด อีกทั้งยังเห็นลูกๆ ทำบาปเช่นเดียวกันกับที่ตนเคยกระทำ ถึงแม้ความทุกข์เหล่านี้ได้ตีสอนท่านให้ขมขื่นแต่ก็กลับกลายเป็นผลดี การตีสอนนั้นถึงจะทำให้ปวดร้าวใจแต่ได้ “ก่อให้เกิดความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง” (ฮีบรู 12:11 TH1971) {PP 237.4}

รางวัลผู้ชอบธรรม

พระคัมภีร์ได้บันทึกความผิดของผู้ชอบธรรมผู้ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้าไว้อย่างตรงไปตรงมา แท้จริงพระคัมภีร์เปิดเผยความผิดของพวกเขามากกว่าความดีด้วยซ้ำไป หลายคนสงสัยเรื่องนี้และเป็นเหตุให้คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าดูถูกพระคัมภีร์ แต่นี่คือหลักฐานอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ความจริงของพระคัมภีร์ได้อย่างหนักแน่น นั่นคือเรื่องที่เสียหายไม่ได้ถูกปิดบังและความบาปของบุคคลสำคัญไม่ได้ถูกกลบเกลื่อน มนุษย์มีใจไม่เป็นกลางจึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเขียนประวัติศาสตร์โดยไม่ลำเอียง หากว่าผู้เขียนพระคัมภีร์ไม่ได้รับการดลใจแล้วก็คงได้ยกยอปอปั้นบุคคลเหล่านั้นเป็นแน่ แต่อย่างที่เห็นอยู่ เราจึงมีบันทึกประสบการณ์ที่ถูกต้องของคนเหล่านั้น {PP 238.1}

บุคคลต่างๆ ที่พระเจ้าทรงโปรดปรานและทรงมอบหน้าที่อันยิ่งใหญ่ให้ดูแล บางครั้งพ่ายแพ้ต่อการทดลองและทำบาป เหมือนกับเราในปัจจุบันที่พยายามต่อสู้ บางครั้งก็สั่นคลอนและล้มในความบาป ชีวิตของพวกเขารวมถึงความผิดและความโง่เขลาได้ถูกเปิดเผยเพื่อให้กำลังใจและตักเตือนเรา ถ้าหากพระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกความบาปของพวกเขา เราผู้ซึ่งมีธรรมชาติของความบาปอาจหมดหวังเพราะความผิดพลาดล้มเหลวของเราเอง แต่เมื่อได้เห็นบุคคลที่แม้ต้องสู้ทนต่อความท้อแท้และพ่ายแพ้การทดลองเหมือนเราแต่กลับเข้มแข็งและเอาชนะได้ด้วยพระคุณของพระเจ้า เราจึงมีกำลังใจที่จะสู้เพื่อเป็นคนชอบธรรม คนเหล่านั้นเคยล้มลงแต่กลับลุกขึ้นใหม่และได้รับพระพรจากพระเจ้าฉันใด พวกเราสามารถมีชัยโดยฤทธิ์อำนาจของพระเยซูฉันนั้น แต่ถ้าจะมองอีกนัยหนึ่ง ชีวประวัติของพวกเขายังช่วยตักเตือนเรา แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้คนผิดพ้นโทษ พระองค์ไม่ทรงมองข้ามความบาปแม้แต่ในผู้ที่พระองค์ทรงโปรดปรานและทรงจัดการกับความผิดเหล่านั้นหนักยิ่งกว่าของผู้ที่รู้ความจริงหรือมีหน้าที่รับผิดชอบน้อยกว่า {PP 238.2}

ระแวงหวาดหวั่น

หลังจากที่ฝังศพบิดาแล้วพี่ๆ ของโยเซฟเกิดความกลัวขึ้นอีก แม้ว่าโยเซฟจะเมตตาและช่วยเหลือพวกเขาเพียงไร แต่ความรู้สึกผิดทำให้ไม่แน่ใจว่าโยเซฟรอจังหวะหลังบิดาตายเพื่อจะแก้แค้นหรือเปล่า และบัดนี้อาจถึงเวลาแล้วที่โยเซฟจะลงโทษความผิดของพวกเขาหลังจากที่ผัดผ่อนมานาน พวกเขาไม่กล้าเข้าไปหาโยเซฟโดยตรงจึงใช้คนไปเรียนว่า “บิดาท่านเมื่อก่อนจะสิ้นใจนั้นสั่งไว้ว่า ‘พวกเจ้าจงเรียนโยเซฟว่า เราขอท่านโปรดให้อภัยความผิดและบาปของพวกพี่ชายที่ประทุษร้ายท่าน’ บัดนี้ขอท่านโปรดให้อภัยความผิดของข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้รับใช้ของพระเจ้าของบิดาท่าน” ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้โยเซฟถึงกับร้องไห้ เมื่อพี่ชายเห็นเป็นอย่างนี้พวกเขาจึงมากราบลงต่อหน้าโยเซฟพร้อมกับกล่าวว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้รับใช้ของท่าน” โยเซฟรักพี่ๆ มากและรักอย่างไม่เสแสร้ง ท่านรู้สึกชอกช้ำเมื่อรู้ว่าพวกพี่ชายมองตนเป็นคนอาฆาตและคอยจองล้างจองผลาญ โยเซฟจึงกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นดังพระเจ้าหรือ พวกท่านคิดร้ายต่อเราก็จริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดีอย่างที่บังเกิดขึ้นนี้แล้ว คือช่วยชีวิตคนเป็นอันมาก ดังนั้นพี่อย่ากลัวเลย เราจะบำรุงเลี้ยงพี่ทั้งบุตรด้วย” {PP 239.1}

ชีวิตของโยเซฟสะท้อนถึงชีวิตของพระเยซู ความอิจฉาเป็นเหตุผลักดันให้พี่ชายขายโยเซฟไปเป็นทาส พวกเขาหวังจะขัดขวางไม่ให้น้องชายเป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อโยเซฟถูกขายไปยังอียิปต์ พวกเขารู้สึกหายห่วงที่จะไม่ต้องรำคาญใจเรื่องความฝันเหล่านั้นอีกแล้ว เพราะความฝันนั้นจะไม่มีทางเป็นจริงได้ แต่พระเจ้าทรงพลิกแผนการของพวกเขาและทรงทำให้เหตุการณ์ที่พวกเขาพยายามขัดขวางนั้นสำเร็จ เช่นเดียวกันกับที่ปุโรหิตและธรรมาจารย์อิจฉาพระเยซู กลัวว่าพระองค์จะทรงดึงความสนใจของประชาชนไปเสียจากพวกตน พวกเขาปลงพระชนม์พระองค์เพื่อป้องกันไม่ให้พระองค์ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์ แต่การกระทำของพวกเขาทุกอย่างกลับทำให้พระองค์ทรงได้รับการเชิดชู {PP 239.2}

พลิกผันเพื่อระยะยาว

การที่โยเซฟผ่านการเป็นทาสในอียิปต์ทำให้ท่านสามารถช่วยครอบครัวบิดาได้ แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ได้ทำให้พี่ๆ ผิดน้อยลงแต่อย่างใด เช่นเดียวกัน การที่ศัตรูของพระเยซูตรึงพระองค์บนไม้กางเขนทำให้พระองค์ได้เป็นพระผู้ไถ่มวลมนุษย์ที่จมอยู่ในความบาป และเป็นเจ้าผู้ครองแผ่นดินโลก แต่ความบาปชั่วของผู้ที่ปลงพระชนม์พระองค์นั้นหนักหนามาก ถึงแม้พระเจ้าจะทรงควบคุมสถานการณ์ให้ผลออกมาดีก็ตาม {PP 239.3}

โยเซฟถูกพี่ชายขายไปให้กับคนที่ไม่นับถือพระเจ้า เช่นเดียวกับที่สาวกคนหนึ่งได้ขายพระเยซูให้กับศัตรูที่โหดร้าย โยเซฟถูกกล่าวหาและถูกคุมขังเพราะความซื่อตรงของตน ฉันใดฉันนั้น ศัตรูได้เกลียดชังและปฏิเสธพระเยซูเพราะชีวิตที่ชอบธรรมและไม่เห็นแก่ตัวของพระองค์ทำให้พวกเขาประจักษ์ในความบาปของตน และแม้ว่าพระองค์จะปราศจากความผิดก็ยังถูกตัดสินตามพยานเท็จที่ปรักปรำพระองค์ ความอดทนและความถ่อมตัวของโยเซฟต่อความไม่เป็นธรรมและการถูกบีบบังคับ รวมถึงการให้อภัยและความเมตตาต่อพวกพี่ชายที่ทำตัวไม่สมกับเป็นพี่ เป็นตัวอย่างถึงความอดทนของพระเยซูที่ไม่ทรงปริปากบ่นต่อว่ามนุษย์ที่มุ่งทำร้ายพระองค์ และยังทำให้เห็นถึงการที่พระองค์ทรงให้อภัยไม่เพียงคนเหล่านั้น แต่รวมถึงทุกคนที่เข้ามาสารภาพบาปและแสวงการอภัยจากพระองค์ {PP 239.4}

หลังจากบิดาเสียชีวิตโยเซฟมีชีวิตอยู่ต่ออีก 54 ปี ท่านได้เห็น “ลูกหลานเหลนของเอฟราอิม บุตรของมาร์คีผู้เป็นบุตรของมนัสเสห์ก็เกิดมาบนเข่าของโยเซฟ” ท่านเห็นลูกหลานเจริญและเพิ่มพูนขึ้น และตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นความเชื่อของท่านที่ว่าพระเจ้าจะทรงนำคนอิสราเอลกลับสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาก็ไม่เคยสั่นคลอนเลย {PP 240.1}

เมื่อโยเซฟรู้ว่าตนใกล้จะจากโลกนี้แล้วจึงเรียกญาติทั้งหมดเข้ามา แม้ว่าท่านจะได้รับเกียรติและศักดิ์ศรีในแผ่นดินอียิปต์ แต่สถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวสำหรับท่าน สิ่งสุดท้ายที่ท่านกระทำแสดงให้เห็นว่าท่านขอร่วมชะตากับคนอิสราเอล คำพูดสุดท้ายของท่านคือ “พระเจ้าจะเสด็จมาช่วยพวกท่านอย่างแน่นอน พระองค์จะพาพวกท่านออกจากดินแดนนี้ไปยังดินแดนซึ่งทรงสัญญาโดยปฏิญาณไว้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ” (ปฐมกาล 50:24 TNCV) ท่านให้ลูกหลานอิสราเอลสาบานว่าจะนำกระดูกของท่านไปฝังที่แผ่นดินคานาอัน แล้ว “โยเซฟสิ้นชีพเมื่ออายุได้ 110 ปี เขาก็อาบยารักษาศพไว้แล้วบรรจุไว้ในโลงที่อียิปต์” ถึงแม้เวลาผ่านไปหลายศตวรรษที่พงศ์พันธุ์อิสราเอลต้องตรากตรำสู้ทน แต่โลงศพของโยเซฟเป็นเครื่องเตือนสติให้พวกเขาระลึกถึงคำพูดสุดท้ายของท่าน อียิปต์เป็นเพียงที่อาศัยชั่วคราวและจะต้องรักษาความหวังในแผ่นดินแห่งพระสัญญาเพราะเวลาแห่งการปลดปล่อยจะมาถึงอย่างแน่นอน {PP 240.2}